ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 736 ทัดเทียมเทพเจ้า
ทุกคนหัวเราะ และต่างก็แยกย้ายจากไปพลางโคลงหัวไปมา สิ่งที่วิญญูชนสวรรค์หลิงกล่าวนั้นทั้งลี้ลับและลึกซึ้งจนเกินไป พวกเขาไม่เข้าใจนางเลยสักนิด
เดิมทีพวกเขาเข้ามารวมตัวกันรอบๆ วิญญูชนสวรรค์หลิงเพื่อรับฟังยอดอัจฉริยะสาวผู้นี้กล่าวถึงปฏิภาณความเข้าใจและการเรียนรู้ของนางตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่อที่พวกเขาจะสามารถเรียนรู้มรรคา วิชา และทักษะเทวะของนางได้
แต่ตอนนี้ สิ่งที่วิญญูชนสวรรค์หลิงอธิบายไปนั้นเกินกว่าคำว่าลี้ลับ อันแสดงให้เห็นได้ชัดว่านางเสียสติไปแล้ว หากว่าพวกเขายังรับฟังคนบ้าพูดจาเหลวไหลต่อไป นี่จะไม่เท่ากับพลาดจุดประสงค์ในการเข้าร่วมชุมนุมสระหยกหรอกหรือ
ไม่นาน บริเวณโดยรอบวิญญูชนสวรรค์หลิงก็โล่งว่าง มีก็แต่ฉินมู่ จักรพรรดิก่อตั้ง และวัวแก่ที่ยังอยู่
จักรพรรดิก่อตั้งลดเสียงของเขาลงและกล่าว “แม่น้ำหย่ง”
ฉินมู่แตกตื่น และเขาก็พยักหน้า เขาเองก็งงงันไม่แพ้กัน
แม่น้ำหย่งนั้นไหลจาทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก ไม่เคยหยุดไหลทั้งวันทั้งคืน แม่น้ำใหญ่สายนี้อาจจะเป็นแม่น้ำสวรรค์ที่พวกเขาเห็นอยู่ในตอนนี้ แต่จากการไหลของแม่น้ำ มันไม่ตรงกับทักษะเทวะที่วิญญูชนสวรรค์หลิงบรรยาย ว่าเป็นสสารแข็งค้างที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปชั่วนิรันดร์
ยกเว้นก็แต่ว่าอนุภาคของน้ำที่ก่อขึ้นมาเป็นแม่น้ำหย่ง อยู่ในสภาพแข็งค้างตลอดเวลา ทำให้การไหลของน้ำเป็นแค่ปรากฏการณ์ภายนอก แต่จริงๆ แล้ว แม่น้ำนี้กำลังไหลจากอดีตไปยังอนาคต
น้ำในแม่น้ำนิ่งอยู่ตลอดเวลา และที่เคลื่อนไหวคือสสารที่อยู่รอบๆ มวลน้ำในแม่น้ำ
แต่ทว่า ทักษะเทวะแบบนี้มันเหลือเชื่อเกินจินตนาการจนเกินไป และหลักกฎที่เกี่ยวข้องนั้นเป็นบางอย่างอันฉินมู่ไม่อาจเข้าใจได้
บางที อาจจะไม่ใช่แม่น้ำหย่งที่ไม่เคลื่อนไหว แต่คือหมอกนั้น… เขามีความคิดรางๆ ในหัว แต่เขาไม่รู้ว่าจะสร้างสรรค์ทักษะเทวะเช่นนั้นขึ้นมาได้อย่างไร
แม่น้ำหย่งดูเหมือนว่าจะเป็นจุดเชื่อมต่ออดีต ปัจจุบัน และอนาคต เขาได้เดินทางย้อนเวลากลับมาสองครั้งเพราะว่าได้ย่างเท้าเข้าสู่ต้นธารแม่น้ำหย่งและพบกับหมอกนั้นเข้า
การเดินทางข้ามเวลาเช่นนี้ หากมิใช่เพราะแม่น้ำหย่ง ก็ต้องเป็นเพราะหมอก!
วิญญูชนสวรรค์หลิงยังคงโมโหอยู่เล็กน้อย และนางก็ยิ้มหยัน “มีแต่พวกไม่ได้เรื่อง อัจฉริยะไม่ได้เรื่อง! เมื่อข้าคิดค้นทักษะเทวะที่สสารไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เคลื่อนไหว ไม่เปลี่ยนรูป ไม่เพิ่ม และไม่ลด พวกเจ้าทั้งหมดก็จะรู้ว่าของอย่างเวลาน่ะไม่มีจริงหรอก! ศิษย์พี่ผู้นี้ เจ้าเข้าใจข้าใช่ไหม”
นางเผยสายตาคาดหวัง
“พี่หลิง ข้าเข้าใจเจ้าเป็นอย่างยิ่ง”
ฉินมู่พลันกล่าว “ข้าเข้าใจแนวคิดของเจ้า เมื่อสสารเปลี่ยนแปลงและย้อนกลับคืนสู่อดีต มันจะทำให้ชายชราย้อนวัยกลับไปเป็นคนหนุ่มได้ และแม้แต่คนตายก็สามารถย้อนคืนกลับมา แต่ทว่า นี่ไม่ใช่การย้อนกลับเวลา แต่เป็นการย้อนกลับสสาร”
จักรพรรดิก่อตั้งผงกศีรษะ “ข้าก็เข้าใจเหมือนกัน พวกเราใช้ทักษะเทวะเสกสรรเพื่อช่วยปลูกพืช เพื่อเลี้ยงสัตว์ให้เติบโต แต่นี่ไม่ใช่ทักษะเทวะกาลเวลา พวกมันคือทักษะเทวะเสกสรร ทักษะเทวะเสกสรรเปลี่ยนแปลงการจัดเรียงของสสารข้างในพืชและสัตว์เพื่อทำให้มันเจริญเติบโตเร็วขึ้น นี่ไม่ใช่ว่าพวกเราพาพวกมันข้ามไปยังอนาคต”
วัวแก่ไม่เข้าใจ ดังนั้นเขาได้แต่กระดิกหูไปมาและจ้องมองข้างหน้าด้วยสีหน้าว่างเปล่า
วิญญูชนสวรรค์หลิงเหนื่อยใจเป็นอย่างยิ่ง และนางก็เตะรองเท้าเก่าๆ ที่เท้าของนาง เผยให้เห็นหัวแม่เท้า นางกล่าวด้วยสีหน้ายุ่งยาก “แต่พวกเขาไม่เข้าใจข้าเลยสักนิด แม้แต่วิญญูชนสวรรค์อวี้และคนอื่นๆ ก็คิดว่าข้าเสียสติ หรือข้าจะต้องหยุดยั้งสสารทุกอย่างในโลกและย้อนกลับกระแสของสสาร เพื่อทำให้พวกเขาตระหนักว่าผิดไปแล้ว และข้ากล่าวถูก จะดีไหม”
ฉินมู่ตัวสั่นเทา ย้อนกลับกระแสสสารทุกอย่างในจักรวาลงั้นหรือ
แต่ทว่า ไม่มีใครที่มีพลังวัตรอันน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น
“พี่หลิง เจ้าควรมุ่งหน้าไปตามมรรคานี้ต่อ บางทีในกาลข้างหน้า เจ้าก็จะพบกับใครบางคนที่เดินทางย้อนอดีตด้วยทักษะเทวะของเจ้า และพิสูจน์ให้โลกรู้ว่าความคิดเห็นของพวกเขาที่มีต่อเจ้านั้นผิดพลาด”
ฉินมู่เผยยิ้มและกล่าวให้กำลังใจนาง “ดำเนินไปตามมรรคานี้ต่อ พิสูจน์ว่าเจ้าคิดถูก!”
วิญญูชนสวรรค์หลิงมีแรงใจขึ้นมาอย่างใหญ่หลวง แต่นางก็ส่ายศีรษะและกล่าวอย่างเศร้าใจ “ข้าไม่รู้ว่าข้าจะพิสูจน์เรื่องนี้ได้หรือไม่ ข้านั้นโดดเดี่ยวจนเกินไป แทบจะทุกคนพูดแต่ว่าวิญญูชนสวรรค์หลิงจากเมื่อก่อนนั้นไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว เหลือก็แต่หญิงบ้าคนหนึ่ง…เจ้าทั้งสองเป็นหนึ่งในบรรดาผู้คนไม่มากที่เข้าใจข้า พวกเรามาศึกษาค้นคว้าด้วยกันเถอะ!”
ดวงตาของนางเป็นประกายอีกครั้ง และสายตาเปี่ยมความหวังก็จับจ้องมองพวกเขา นางกล่าวอย่างเร่าร้อน “หากว่าข้าศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง และไม่มีสหายที่ข้าสามารถสนทนาด้วยได้ ข้าเกรงว่าสักวันหนึ่งข้าจะยอมแพ้ล้มเลิก ข้าไม่อยากจะกลายเป็นหญิงบ้าในสายตาของคนอื่นๆ!”
ฉินมู่ลังเลไปครู่หนึ่งและส่ายศีรษะ “ข้าไม่มีเวลาอยู่ที่นี่นานนัก พี่หลิง ทำไมไม่ทำแบบนี้ล่ะ พวกเราจะอยู่กับเจ้าในช่วงหลายวันนี้เพื่ออภิปรายและค้นคว้าไปด้วยกัน แม้ว่าปัญญาของเขาและข้าจะไม่สูงล้ำเท่ากับเจ้า แต่พวกเราก็ยังสามารถช่วยเจ้าแก้ปัญหาบางอย่างได้ หลังจากเวลาไม่กี่เดือนเมื่อพวกเราจากไป เจ้าก็สามารถตัดสินใจได้ว่าอยากจะเป็นหญิงบ้าหรือไม่ แบบนี้ดีไหม”
จักรพรรดิก่อตั้งหัวใจสะท้านและมองไปที่เขา เขารู้ว่าพวกเราจะออกไปจากที่นี่ภายในเวลาไม่กี่เดือนงั้นหรือ เขารู้อะไรอีก เจ้าหมอนี่ดูเหมือนจะเข้าใจข้าเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีความขุ่นข้องหมองใจบางอย่างกับข้า หรือว่าเขาจะเป็นศัตรูในอนาคต คนที่เข้าใจข้าดีที่สุด ย่อมไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจากศัตรูของข้า
วิญญูชนสวรรค์หลิงตาเป็นประกาย และนางก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตราบเท่าที่พวกเจ้าไม่คิดว่าข้าบ้าบอและงุ่มง่ามจนเกินไป ข้าก็จะอยู่กับพวกเจ้าทั้งสองในช่วงไม่กี่เดือนถัดไป ในช่วงวันเวลาที่ผ่านมานี้ สหายเก่าของข้าล้วนแต่มองข้าอย่างดูแคลน…”
ฉินมู่กล่าว “ข้าเห็นวิญญาณของพี่สาว ไม่ใช่แค่รูปโฉม ในสายตาของข้า พี่สาวคือเทพนารีที่ไร้ผู้ใดปานเปรียบ!”
วิญญูชนสวรรค์หลิงปลื้มใจ และนางก็ยังใช้ไม้ต้นท้อนั้นเกล้าผมเอาไว้ “วังของข้านั้นก็อยู่ในชุมนุมสระหยก พวกเราไปที่นั่นเพื่อค้นคว้ากันเถอะ แม้ว่าวิญญูชนสวรรค์อวี้จะรู้สึกว่าข้าคิดผิด แต่เขาก็ยังคงดีกับข้าอยู่ เขาให้ที่พักแก่ข้า”
ทั้งสามคนติดตามนางไป และจักรพรรดิก่อตั้งก็ถาม “วันนี้มีเทพบรรพกาลมากมาย และมันก็เป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายที่สุดของมหาสมาคมสภาสวรรค์ แล้วทำไมวิญญูชนสวรรค์อวี้ถึงสามารถจัดงานชุมนุมสระหยกในสระหยกได้ล่ะ สระหยกนี่น่าจะเป็นที่พักอาศัยของเทพบรรพกาลบางตนมิใช่หรือ”
“สระหยกนั้นเป็นสถานที่พักผ่อนแสวงความสำราญของตำหนักสนม”
วิญญูชนสวรรค์หลิงก้าวไปข้างหน้าและกล่าว “จักรพรรดิฟ้าชื่นชมวิญญูชนสวรรค์อวี้เป็นอย่างยิ่ง และในเมื่อจักรพรรดิฟ้าและจักรพรรดินีฟ้าจะต้องไปอยู่ที่มหาสมาคมสภาสวรรค์ นางจึงมอบสระหยกให้แก่วิญญูชนสวรรค์อวี้และอนุญาตให้เขาจัดงานชุมนุมสระหยก”
จักรพรรดินีฟ้าชื่นชมวิญญูชนสวรรค์อวี้ ดังนั้นนางจึงมอบสระหยกให้เขาจัดงานชุมนุมสระหยก? ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งหันไปมองตากัน พวกเขาเริ่มจะครุ่นคิด
พวกเขายังไม่ได้พบกับวิญญูชนสวรรค์อวี้ แต่ถ้าสามารถสร้างสัมพันธ์กับจักรพรรดินีฟ้าได้ เขาก็จะต้องเป็นคนที่ลื่นไหลและคล่องแคล่ว อันมีเงินตราและอำนาจช่วยเกื้อหนุนเขา เขาคงมิใช่เพียงยอดอัจฉริยะที่สามารถเปิดสมบัติเทวะทารกวิญญาณ
ขณะที่พวกเขาสนทนากันอยู่นั้น ก็มีเสียงดังมา “วิญญูชนสวรรค์หลิง เจ้ายังค้นคว้าเรื่องทักษะเทวะที่เวลาไม่มีอยู่จริงอีกหรือ”
วิญญูชนสวรรค์หลิงชะงักเท้า และนางก็มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ หญิงสาวผู้นี้ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม คิดอะไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าจนหมด นางกล่าวอย่างไม่ชอบใจ “วิญญูชนสวรรค์หั่ว ที่เจ้าว่าทักษะเทวะที่เวลาไม่มีอยู่จริงนั้นหมายความว่าอย่างไร”
ฉินมู่ จักรพรรดิก่อตั้ง และวัวแก่มองไปยังผู้ที่พูด และพวกเขาก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมา เขามีรอยประทับอักษรรูนสีแดงฉานรอบๆ ตัว และพวกมันก็เข้ามาก่อรูปกันเป็นเสื้อผ้าอันดูเหมือนเพลิงไฟแต่ก็ไม่ใช่ไฟ
รูปเงาแปลกประหลาดปรากฏข้างหลังศีรษะของเขา และมันสร้างขึ้นมาเป็นรัศมีแสงที่ดูเหมือนจะก่อขึ้นมาจากไฟ พวกเขาไม่รู้ว่านั่นมันคือไฟจริงๆ หรือไม่
มิน่าล่ะเขาถึงเรียกว่าวิญญูชนสวรรค์หั่ว
ฉินมู่มองสำรวจเพ่งพิศอย่างสนอกสนใจ และคิดอยู่ในใจ นี่คือผู้ก่อตั้งสมบัติเทวะชาวสวรรค์อย่างนั้นหรือ พรสวรรค์ของวิญญูชนสวรรค์หลิงก็ได้ทำให้ข้าลืมหายใจไปแล้ว ดังนั้นวิญญูชนสวรรค์หั่วนี้จะต้องเหนือธรรมดาด้วยเช่นกัน!
เขานั้นได้พบกับสองในเจ็ดวิญญูชนสวรรค์แล้ว และสองคนนี้น่าจะอยู่ในขั้นสะพานเทวะ เมื่อเทียบกับเทพบรรพกาลทั้งหลายอันมีกำลังฝีมือล้ำเลิศในสภาสวรรค์ วรยุทธของพวกเขาไม่นับว่าสูง
แม้แต่เมื่อไปเทียบกับครึ่งเทพทั้งหลาย กำลังฝีมือของเจ็ดวิญญูชนสวรรค์ก็ยังไม่ดีพอ
กระนั้น ผู้ที่ถูกยกย่องให้เป็นวิญญูชนสวรรค์ ก็คือคนหนุ่มสาวพวกนี้
สาเหตุที่พวกเขาถูกเรียกว่าวิญญูชนสวรรค์ มิใช่เพราะวรยุทธ แต่เพราะความสำเร็จที่พวกเขากระทำ
เมื่อวิญญูชนสวรรค์หั่วเห็นว่ามีฉินมู่ จักรพรรดิก่อตั้ง และวัวแก่อยู่ด้วย เขาก็ผงะไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก “เจ้านั้นสิ้นเปลืองสติปัญญาไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องนานเกินไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อเจ้าเปิดสมบัติเทวะหกทิศ เจ้าก็ไม่มีความสำเร็จใดอื่นอีก ก็เพราะว่ามัวแต่ไปทุ่มเทพยายามที่จะพิสูจน์ว่าเวลาไม่มีอยู่จริง! ด้วยสติปัญญาและความสามารถของเจ้า หากว่าเจ้าไม่เอาความพากเพียรไปหมดเปลือง และเพ่งสมาธิกับการคิดว่าจะทลายฝ่าเจ็ดมหาสมบัติเทวะได้อย่างไร คนแรกที่จะทลายฝ่าขั้นวรยุทธก็คงจะเป็นเจ้า!”
วิญญูชนสวรรค์หลิงส่ายศีรษะและกล่าว “วิญญูชนสวรรค์อวี้ฉลาดกว่าข้า และเขานั้นเก่งกาจกว่าในการศึกษาเรื่องราวอันลึกซึ้ง เขานั้นเป็นบุคคลแรกที่เปิดสมบัติเทวะ และสาเหตุที่เขาไม่มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา ก็เพราะว่าเขาจดจ่ออยู่กับการก้าวไปสู่เขตขั้นต่อไป เขานั้นถูกลิขิตเอาไว้แล้วว่าจะเป็นผู้ที่ก้าวล้ำไปจากสมบัติเทวะ ไม่ใช่ข้าหรอก”
วิญญูชนสวรรค์หั่วแค้นเหล็กดิบที่ไม่ยอมเป็นเหล็กกล้า และกล่าวอย่างขุ่นเคือง “วิญญูชนสวรรค์อวี้บอกข้าว่า เจ้าคือคนที่สติปัญญาสูงล้ำที่สุดในเจ็ดวิญญูชนสวรรค์ หากว่าเจ้าทุ่มเทความพยายามลงไปในเขตขั้นถัดไป เขาก็คงไม่มีทางเทียบเจ้าติดได้ เขาพูดแบบนี้ด้วยตนเอง! ตอนนี้ เขาได้ทลายฝ่าการศึกษาค้นคว้า และประสบความสำเร็จอันเลิศล้ำ และนั่นก็คือทำให้ผู้ฝึกวิชาเทวะสามารถดำรงชีวิตไปชั่วนิรันดร์ เพื่อให้ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายทัดเทียมกับเทพบรรพกาล ความสำเร็จนี้มันน่าจะเป็นของเจ้า!”
ปิ่นปักผมไม้ท้อบนศีรษะของวิญญูชนสวรรค์หลิงตกลงมาจากรัศมีของเขา และผมเผ้าของนางก็กระจัดกระจาย นางนำเอาแถบแพรออกมาและมัดเส้นผมของนางเป็นหางม้า นางส่ายศีรษะและกล่าว “นั่นเป็นเพียงเขตขั้นวรยุทธเดียว หากว่าเพียงแค่ความอมตะก็หมายความว่าผู้คนสามารถบรรลุเป็นเทพเจ้า ข้าก็คงหยุดยั้งผู้ฝึกวิชาเทวะจากความตายไปตั้งนานแล้ว เมื่อครู่นี้ ศิษย์พี่ผู้นี้บอกข้าว่าทักษะเทวะที่ข้าคิดค้นขึ้นมาเรียกว่าทักษะเทวะเสกสรร ตราบเท่าที่ใครฝึกปรือทักษะเทวะของข้า กายเนื้อของพวกเขาก็ไม่มีวันตายลงไปง่ายๆ”
วิญญูชนสวรรค์หั่วขมวดคิ้ว และวงแหวนไฟข้างหลังศีรษะของเขาก็แกว่งไปมาเล็กน้อย เขามองไปยังฉินมู่และส่ายศีรษะ “เจ้าเชื่อคำพูดของพวกต้มตุ๋นในยุทธจักรด้วยหรือ”
ฉินมู่แย้มยิ้มและคารวะทักทาย “นักเรียนผู้โง่เขลาน้อมคารวะวิญญูชนสวรรค์หั่ว วิญญูชนสวรรค์หั่ว ข้ามีกระดาษและพู่กันอยู่ที่นี่ เจ้าสามารถลงนามไว้ในนี้ได้หรือไม่ ข้ามาจากสถานที่เล็กๆ ต่ำต้อยและไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน หากว่าข้าสามารถได้ลายเซ็นของวิญญูชนสวรรค์หั่ว ก็จะเป็นเกียรติยศต่อบรรพชนยิ่งนัก!”
เขานำกระดาษและพู่กันออกมา ยื่นมันไปข้างหน้าวิญญูชนสวรรค์หัวด้วยสีหน้าคาดหวัง
เมื่อวิญญูชนสวรรค์หั่วเห็นสีหน้าอันจริงใจของเขา เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้นจึงยกพู่กันขึ้นมาเขียนชื่อของเขาลงไปในกระดาษอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะมาจากที่ไหน แต่หากว่าเจ้าหลอกล่อวิญญูชนสวรรค์หลิงให้ออกนอกลู่นอกทาง ข้าไม่ยอมเจ้าแน่! เลิกให้นางเสียเวลาไปศึกษาค้นคว้าว่าเวลาไม่มีอยู่จริงอย่างไร และหมดเปลืองวัยเยาว์ของนางไปเปล่าๆ! วิญญูชนสวรรค์อวี้ได้สร้างสรรค์เขตขั้นวรยุทธที่สามารถทำให้ผู้ฝึกวิชาเทวะเป็นอมตะไม่มีวันตายเหมือนเทพบรรพกาล กระนั้นที่นี่เจ้าก็ยังบอกเรื่องเหลวไหลกับวิญญูชนหลิงว่าทักษะเทวะเสกสรรก็ทำได้ไม่ต่างกัน! หากว่าเจ้าหลอกล่อนางไปมากกว่านี้ ข้าจะกระทืบเจ้าให้ตาย!”
ฉินมู่หน้าแดงอายขึ้นมาและกล่าว “ทักษะเทวะเสกสรรนั้นข้าเป็นคนพูดถึงก็จริง แต่ข้าไม่ได้บอกว่าทักษะเทวะเสกสรรสามารถทำให้ผู้คนกลายเป็นอมตะได้”
วิญญูชนสวรรค์หั่วสีหน้าอ่อนลง เขากล่าว “ข้าได้กล่าวหาเจ้าผิดไป…”
ฉินมู่กล่าวต่อ “แต่ทว่า ทักษะเทวะเสกสรรสามารถบรรลุความเป็นอมตะไม่มีวันตายได้เหมือนกับเทพเจ้าทั้งหลายได้จริงๆ ต่อให้ผู้ใช้มิได้ฝึกฝนจนบรรลุเป็นเทพเจ้า พี่หลิงกล่าวไม่ผิดในเรื่องนี้”
วิญญูชนสวรรค์หลิงกล่าวด้วยความลิงโลด “เจ้านั้นเป็นผู้ที่เข้าใจข้ามากที่สุดจริงๆ!”
วิญญูชนสวรรค์หั่วสีหน้ามืดทะมึน และเขากล่าว “คืนลายเซ็นให้กับข้า ข้าไม่ให้เจ้าแล้ว!”
ฉินมู่รีบเก็บพู่กันกับกระดาษด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีทาง ข้ายังต้องใช้มันอยู่”
วิญญูชนสวรรค์หั่วเดือดดาล และเขายื่นมือออกไปพลางกู่ตะโกน “ข้าจะกระทืบเจ้า ไอ้คนลวงโลกผู้นี้ ให้ตายไปเสียก่อน!”
ร่างของฉินมู่พลันสั่นเทิ้มและเผยร่างสามเศียรหกกร ด้วยเสียงปะทะกันเป็นตับๆ วิญญูชนสวรรค์หั่วก็พุ่งเข้าชนกับโถงวังใหญ่และหายวับไปในรวดเดียว ทิ้งไว้แต่เส้นทางเพลิง
จักรพรรดิก่อตั้งตกตะลึง และแทบจะร่ำร้องออกมา วิญญูชนสวรรค์ที่อยู่ในขั้นสะพานเทวะจะอ่อนแอขนาดนี้ได้อย่างไร
ฉินมู่เองก็ตื่นตระหนก เขามิได้ใช้กำลังเต็มที่ ใช้เพียงแปดเก้าส่วนเท่านั้น แต่ทว่าความเร็วการโจมตีของเขารวดเร็วเกินไป ทำให้วิญญูชนสวรรค์หั่วถูกเป่ากระเด็นก่อนที่วิชาฝีมือของเขาจะถูกปลดปล่อยออกมาเสียอีก
แต่ถึงอย่างไร ในฐานะวิญญูชนสวรรค์ขั้นสะพานเทวะคนหนึ่ง กำลังฝีมือของเขาจะอ่อนแอเกินไปไหม
ต่อให้เอาไปเทียบกับผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นสะพานเทวะทั่วไป เขาก็ด้อยกว่ามาก
ยุคสมัยนี้โบราณจนเกินไป ทำให้มรรคา วิชา และทักษะเทวะต่างๆ ยังคงหยาบกร้าน
เขาอุทานกับตนเอง ข้าไม่อาจใช้กำลังทั้งหมดได้ หากว่าข้าใช้กำลังทั้งหมดที่มี ข้าก็คงจะกลายเป็นคนที่กระทืบตัวตนระดับบรรพบุรุษคนหนึ่งไปจนตาย…
จักรพรรดิก่อตั้งถลึงตาจ้องเขา และข่มเสียงลอดไรฟัน “หากว่าเจ้ากล้าโจมตีอีก ข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า!”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม และแค่นเสียงน้อยๆ “ข้าไม่ได้กะจะเป่าวิญญูชนสวรรค์หั่วจนปลิวไปเสียหน่อย อีกอย่าง กำลังฝีมือของเจ้าเหนือกว่าข้างั้นหรือ”
ข้างหลังพวกเขา หนิวซานตัวรู้สึกสมองโป่งพอง นี่คือบุรุษเพศ ฉีกหน้าเปลี่ยนท่าทีกันยังกับพลิกหนังสือ!
วิญญูชนสวรรค์หลิงตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อนางจ้องไปที่สามเศียรหกกรของฉินมู่ นางถูมือไปมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่คือทักษะเทวะเสกสรรใช่ไหม ทักษะเทวะเสกสรรของเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าเสียอีก! แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้ฝึกวรยุทธไปจนถึงขั้นที่วิญญูชนสวรรค์อวี้เพิ่งเปิดขึ้นใหม่ เจ้าก็สามารถกลายเป็นผู้อมตะและทัดเทียมกับเทพเจ้าได้!”