ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 742 ฟื้นกลับจากความตาย
จักรพรรดิก่อตั้งกล่าวอย่างเคร่งขรึม “สิ่งที่เกิดไปแล้วในอดีตไม่มีความเที่ยงธรรม มีแต่ในอนาคตเท่านั้น พวกเราตอนนี้อยู่ในประวัติศาสตร์ และนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างไร มันก็ไม่ใช่การผดุงความเที่ยงธรรม! มีก็แต่ในอนาคตจึงเป็นเวลาที่เจ้าจะผดุงความเที่ยงธรรม! เจ้าน่าจะเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดนะ”
ฉินมู่ผงกศีรษะและกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ “ข้าเข้าใจ”
จักรพรรดิก่อตั้งปล่อยเขาไปอย่างเชื่องช้าและกล่าว “แม้แต่ในประวัติศาสตร์ ทุกทางเลือกที่เจ้าทำก็สามารถนำไปสู่ความตายได้ หากแม้แต่ผู้คนที่โดดเด่นเหนือธรรมดาอย่างวิญญูชนสวรรค์อวี้ยังถึงแก่กรรม เจ้าเข้าไปร่วมก็คงมีแต่ตายกับตาย”
ฉินมู่ผงกศีรษะ “ข้าเข้าใจ”
จักรพรรดิก่อตั้งระบายลมหายใจโล่งอกและกล่าว “แม้ว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีความบาดหมางอะไรกับข้า ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ใช่คนเลวร้าย เจ้าไม่ควรมาตายที่นี่”
สีหน้าไร้อารมณ์ของฉินมู่ค่อยๆ ละลายไป และคลี่คลายเป็นรอยยิ้ม “ขอบคุณมาก อันที่จริง การที่ข้าได้พบกับเจ้าข้าก็พอใจแล้ว การเดินทางของข้าไม่เสียเที่ยว”
จักรพรรดิก่อตั้งกล่าว “การที่ได้มาพบกับวิญญูชนสวรรค์ทั้งหลายและเจ้า ข้าก็รู้สึกว่าการเดินทางของข้าไม่เสียเปล่าเช่นกัน จากที่เจ้าบอกไป มันน่าจะเหลือเวลาอีกเดือนสองเดือน ใช่ไหม ในช่วงสองเดือนถัดไปนี้ พวกเรามาเฝ้ามองประวัติศาสตร์กันอย่างเงียบเชียบจะดีกว่า แม้ว่าวิญญูชนสวรรค์อวี้จะตายจากไป แต่วิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้าของเขาก็จะยังคงถูกส่งผ่าน นี่ไม่ใช่เหตุผลที่พวกเรามาที่นี่หรอกหรือ”
ฉินมู่ผงกศีรษะและกล่าวด้วยความเหม่อลอย “ก็ได้”
จักรพรรดิก่อตั้งยังคงไม่สบายใจเท่าใดนัก และเขากล่าวกับวัวแก่ “เจ้าเป็นศิษย์พี่ของเขา เจ้านั้นมีเหตุผลมากกว่าเขา เจ้าน่าจะรู้ว่าควรจะต้องทำอะไร นี่คือสภาสวรรค์ของเทพบรรพกาล แม้แต่ตัวเจ้าเองก็ไม่สามารถจะผลีผลามทำอะไรได้ หากว่าเจ้าผลีผลามมุทะลุ นั่นก็จะเป็นอันตรายใหญ่หลวง”
วัวแก่ลังเลแล้วจึงผงกศีรษะ “ไม่ต้องกังวล ข้าจะคอยดูแลเขา”
เสียงของวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวดังก้องและแผ่ออกไปทั่วตึกน้อยสระหยก “วิญญูชนสวรรค์อวี้เสียชีวิตแล้ว ยังไม่พบตัวฆาตกร แต่เขาซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวกเรา! ทุกคน ข้าได้ถวายฎีกาไปยังจักรพรรดิฟ้า ร้องขอให้ฝ่าบาทสืบหาตัวฆาตกรและจัดการกับเขา ทวงความเป็นธรรมให้แก่วิญญูชนสวรรค์อวี้ ทวงความเป็นธรรมให้แก่ผู้ฝึกวิชาเทวะทั่วหล้า!”
ทั่วตึกน้อยสระหยกเงียบงัน และทันใดนั้น เสียงร้องไห้แผ่วเบาก็ดังออกมา และเสียงร้องไห้ที่ดังมาจากความเงียบนั้นยิ่งบีบหัวใจ
วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวโกรธเกรี้ยว และเขากล่าวด้วยเสียงอันดัง “ทุกท่าน ข้าจะต้องไม่ปล่อยตัวฆาตกรผู้นี้ไปอย่างแน่นอน และข้าจะฉีกทึ้งเขาให้เป็นชิ้นๆ! โลหิตของวิญญูชนสวรรค์อวี้จะต้องไม่หลั่งไหลโดยเสียเปล่า! ไม่ต้องห่วง เชื่อมั่นในสภาสวรรค์ เชื่อมั่นในตัวฝ่าบาท!”
เสียงของเขาค่อยๆ ต่ำลึกลง แต่มันก็ยังเดินทางไปถึงหูของทุกๆ คน “แม้ว่าวิญญูชนสวรรค์จะสิ้นชีพ แต่มรรคาของเขาไม่ตายจาก วิญญูชนสวรรค์อวี้และข้าเป็นสหายสนิท และเขาก็ได้ถ่ายทอดวิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้าให้แก่ข้า เขาจะต้องหยั่งรู้ล่วงหน้าถึงเคราะห์กรรมอันกำลังจะมาถึง และดังนั้น เขาจึงสอนวิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้าให้ข้าเอาไว้ก่อน เพื่อว่าเขาจะไม่ทิ้งความย้อนเสียใจเอาไว้ข้างหลัง สำหรับตอนนี้ พวกเราจงมาร่วมกับไว้อาลัยให้กับวิญญูชนสวรรค์อวี้ เพื่อส่งดวงวิญญาณเขาไปสู่สุคติ”
เสียงของเขาแผ่วต่ำลงไปทุกที “เขาเหมือนกับทั้งพี่ชายและบิดา น่าเสียดายนักที่สวรรค์ริษยาผู้มีความสามารถ…งานศพจะดำเนินไปเป็นเวลาสิบวัน และข้าก็จะเฝ้าศพของพี่อวี้ด้วยตนเอง หลังจากสิบวันผ่านไป ข้าจะถ่ายทอดวิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้า”
เสียงของเขายิ่งแผ่วเบาลงไปทุกที และเสียงร่ำไห้ของเขาก็ดังออกมา “พี่อวี้…”
ฉินมู่มองไปยังวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวผู้ซึ่งเกลือกกลิ้งอยู่กับร่างของวิญญูชนสวรรค์อวี้และร้องคร่ำครวญ
ฉินมู่รั้งสายตากลับมาและมองไปยังโอรสหยินสวรรค์ที่กำลังมองไปยังมือของตนเอง
ฉินมู่หลับตาลงไป ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ลืมตาด้วยมาด้วยประกายอันเจิดจ้า
เมื่อจักรพรรดิก่อตั้งเห็นเขาเช่นนั้น ก็เผยสีหน้ากังวล
ในมหาสมาคมสภาสวรรค์ เทพบรรพกาลมากมายกำลังปรึกษาเรื่องบางอย่างอยู่ เรือนกายของจักรพรรดิฟ้าใหญ่มหึมา และวงรัศมีข้างหลังศีรษะของเขาก็เปล่งแสงสุริยะออกนับหมื่นแฉก ผู้ที่สามารถเข้ามาปรึกษาหารือในสถานที่นี้ได้ พวกเขาก็คือเทพบรรพกาลที่มีศักดิ์ฐานะอันสูงส่งและน่านับถือ แม้แต่เทพบรรพกาลอย่างเทพครองดาวมหาตะวันและเทพครองดาวธาตุทั้งห้าก็ยังไม่มีสิทธิเข้าร่วม
ทันใดนั้น เทพบรรพกาลตนหนึ่งก็รุดเข้ามารีบรายงาน “ฝ่าบาท วิญญูชนสวรรค์อวี้แห่งเผ่ามนุษย์ถูกฆาตกรรม เขาเสียชีวิตในตึกน้อยสระหยก วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวได้ถวายฎีกานี้มาเพื่อรายงานเรื่องดังกล่าวแก่ฝ่าบาท”
“วิญญูชนสวรรค์อวี้เสียชีวิตอย่างนั้นหรือ”
จักรพรรดิฟ้าตกตะลึงและกล่าว “ส่งมาให้ดู”
เทพบรรพกาลตนนั้นก้าวออกไปข้างหน้าและยกชูฎีกาของวิญญูชนสวรรค์ฮ่าว จักรพรรดิฟ้าอ่านดูและม้วนฎีกาปิดกลับไป “วิญญูชนสวรรค์อวี้ถูกสังหารโดยคนชั่ว นี่ช่างน่าเสียดายจริงๆ ข้ายังเต็มไปด้วยความหวังในตัวเขา พรสวรรค์ของเขาล้ำเลิศเหนือธรรมดา และเขาก็รู้จักกะประมาณความเหมาะสม ข้ายังคงรอที่จะได้เห็นยุคทองอันเขาสร้างสรรค์ขึ้นมาให้แก่ข้า แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาถูกฆาตกรรมไปเช่นนี้ ภูติบดี”
ในความมืด ภูติบดีโค้งกายเล็กน้อย “ฝ่าบาท”
จักรพรรดิฟ้ากล่าว “วิญญูชนสวรรค์อวี้ไม่อาจจะตายไปแบบนี้ ดวงวิญญาณของเขาน่าจะไปยังแดนใต้พิภพ ใช่ไหม นำดวงวิญญาณของเขามาแล้วไต่ถามเรื่องราวทั้งหมด”
ร่างของภูติบดีจมหายไป แต่หลังจากครู่หนึ่ง เขาก็ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่และส่ายศีรษะ “วิญญูชนสวรรค์อวี้มิได้อยู่ในแดนใต้พิภพ”
จักรพรรดิฟ้าขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามเทพีหยินสวรรค์ “เทพีหยินสวรรค์ วิญญูชนสวรรค์อวี้น่าจะกลายเป็นดวงวิญญาณแตกสลาย ดวงวิญญาณแตกสลายของเขาอยู่ในโลกของเจ้าหรือเปล่า”
เทพีหยินสวรรค์นั้นกำลังนั่งอยู่ในเงาเทพสรรพชีวิต และผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็กล่าวตอบ “ฝ่าบาท ดวงวิญญาณแตกสลายของวิญญูชนสวรรค์อวี้มิได้อยู่ในโลกหยินสวรรค์ของข้า”
จักรพรรดิฟ้าถอนหายใจ “ดวงวิญญาณของเขาคงจะกระจัดกระจายไป เทพสรรพชีวิต เจ้ามองเห็นภาพเหตุการณ์ตอนที่วิญญูชนสวรรค์อวี้ถูกประทุษร้ายหรือไม่”
เทพสรรพชีวิตส่ายศีรษะ “แดนปริศนานั้นเฝ้าควบคุมดูแลทุกโลกมิติ แต่สระหยกนั้นเป็นสถานพำนักของจักรพรรดินีฟ้า ข้าไม่อาจสาดแสงส่องไปที่นั่นได้”
จักรพรรดิฟ้าเงียบไปครู่หนึ่ง “ถ่ายทอดคำสั่งของข้าลงไป เรียกตัวแม่ทัพโสตสวรรค์และแม่ทัพจักษุพิภพมา ให้พวกเขาสืบสวนเรื่องนี้อย่างเข้มงวด และค้นหาฆาตกรตัวจริงที่สังหารวิญญูชนสวรรค์อวี้!”
“รับบัญชา!”
โถงตั้งศพของวิญญูชนสวรรค์อวี้ถูกจัดขึ้น และวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวก็มาเฝ้าศพด้วยตนเอง ผู้ฝึกวิชาเทวะจากทั่วโลกเดินขึ้นมาเพื่อร่ำลาชายหนุ่มผู้คิดค้นระบบฝึกวรยุทธสมบัติเทวะผู้นี้
ฉินมู่ จักรพรรดิก่อตั้ง และวัวแก่ก็มาเพื่อลาศพวิญญูชนสวรรค์อวี้ด้วยเช่นกัน เมื่อจักรพรรดิก่อตั้งเห็นฉินมู่ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น ตอนนั้นเขาถึงค่อยวางใจลง เขาคงจะฟังคำพูดของข้า นี่ดีที่สุดแล้ว ข้ากลัวจริงๆ ว่าเขาจะก่อเรื่องใหญ่
ฉินมู่มองไปยังวิญญูชนสวรรค์ฮ่าว วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวดูจะซูบผอมลงไปมากในช่วงหลายวันนี้
สิบวันของการเฝ้าศพได้ผ่านไป เทพบรรพกาลทั้งสองจากสภาสวรรค์ ก็ได้นำกองกำลังครึ่งเทพออกไปค้นหาเบาะแส แต่ก็คว้าน้ำเหลว
วิญญูชนสวรรค์อวี้ถูกกลบฝังเอาไว้ข้างๆ แม่น้ำสวรรค์
แม่น้ำสวรรค์ไหลเชี่ยวอย่างไม่หยุดนิ่ง
ในที่สุด ก็ถึงวันที่วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวจะถ่ายทอดสิ่งที่เขาเรียนรู้ออกมา วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวเต็มไปด้วยชีวิตชีวา และอันดับแรกเขาก็ถ่ายทอดวิธีการที่ครึ่งเทพจะสามารถฝึกปรือเป็นร่างมนุษย์ได้ เขานั้นเป็นอัจฉริยะที่เหนือธรรมดาอย่างแท้จริง และเมื่อเขาแก้ไขปัญหาที่ครึ่งเทพไม่อาจฝึกวรยุทธได้ เขาก็ทำให้ผู้คนโห่ร้องยินดี
เดิมทีจักรพรรดิก่อตั้งวางแผนที่จะไปยังราชวังข้างเพื่อเป็นประจักษ์พยานต่อวโรกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อไปในกาลข้างนี้ไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี แต่ทว่า ฉินมู่ วัวแก่ และวิญญูชนสวรรค์หลิง ล้วนแต่รั้งอยู่ในเรือนรุ่งโรจน์ ดังนั้นเขาจึงลังเล เขากล่าวกับวัวแก่ “เจ้าจะต้องคอยดูแลเขา และป้องกันไม่ให้เขาก่อเรื่อง หากว่าเขาก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวจะต้องผลักไสข้อหาฆาตกรรมวิญญูชนสวรรค์อวี้ให้แก่เขา!”
วัวแก่ผงกศีรษะ “ข้าเข้าใจ!”
จักรพรรดิก่อตั้งจึงค่อยจากไป
ฉินมู่ปรายตามองวิญญูชนสวรรค์หลิงที่กำลังเหม่อลอย และเขาก็นำถุงเต๋าตี้ออกมา เขาเทเอาสิ่งของในถุง และนำเอาโครเมี่ยมแดงพุทธชีวาออกมา หลังจากที่ตีเหล็กอย่างรวดเร็ว โลงศพอันทำมาจากโครเมี่ยมแดงพุทธชีวาบริสุทธิ์ก็ถูกหลอมสร้าง
“ศิษย์พี่ ข้าจะออกไปข้างนอกสักพัก ไม่ช้าก็จะกลับมา” ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
วัวแก่ตื่นตระหนกและถาม “เจ้าคิดจะทำอะไร อย่ามุทะลุนะ”
ฉินมู่ส่ายศีรษะ “ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่มุทะลุหรอก”
วัวแก่กล่าว “ข้าจะตามเจ้าไป!”
ฉินมู่เดินออกไป และวัวแก่ก็ประหลาดใจ ฉินมู่มิได้เดินไปยังโถงหลักของราชวังข้าง แต่กลับออกไปจากสระหยก
เขาไม่ได้จะไปกำจัดวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวหรอกหรือ
ฉินมู่มายังชายฝั่งแม่น้ำสวรรค์และค้นพบหลุมศพของวิญญูชนสวรรค์อวี้ วัวแก่ยิ่งพิศวง ฉินมู่ได้น้อมลาวิญญูชนสวรรค์อวี้แล้ว งั้นทำไมเขาจึงมาที่นี่อีก
ฉินมู่เดินตรงไปยังสุสานของวิญญูชนสวรรค์อวี้ และยกนิ้วทั้งห้าชูขึ้นสู่ท้องฟ้า ก้อนหินจากสุสานทั้งหลายคลอนคลายออกจากกันและแยกกระจายออกไปในบริเวณรอบๆ
ตึง
ตะปูของโลงศพหลุดออกมา และฝาโลงก็ลอยขึ้น
ศพของวิญญูชนสวรรค์อวี้ที่นอนอยู่ในโลงค่อยๆ ลอยขึ้นมา
ฉินมู่เดินวนไปรอบๆ ศพของวิญญูชนสวรรค์อวี้และเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพื่อใช้มุทราเสกสรรทุกชนิด ฟาดไปทั่วร่างของวิญญูชนสวรรค์อวี้ เสียงปึดๆ ดังออกมาจากร่างของวิญญูชนสวรรค์อวี้ในขณะที่กระดูกแตกหักของเขาเริ่มจะต่อเข้าด้วยกันใหม่
กระดูกแตกหักข้างในร่างถึงกับสมานเข้าด้วยกันใหม่จริงๆ และส่วนที่หักหายไปก็งอกกลับมา ไม่เพียงเท่านั้น เลือดและเนื้อในหัวใจที่แหลกเหลวของเขาก็ประกอบสร้างขึ้นมาใหม่
ไม่นาน ร่างของเขาก็ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บอีกต่อไป
นี่คือวิชาเสกสรร!
หากว่าเป็นเรื่องความสำเร็จในวิชาเสกสรรแล้ว ฉินมู่นับได้ว่าเป็นผู้อยู่บนจุดสูงสุดไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน!
และในท้ายที่สุด ฝ่ามือของฉินมู่ก็ผนึกเป็นมุทราหนึ่ง และเขาทาบมันลงไปที่หัวใจของวิญญูชนสวรรค์อวี้อย่างแผ่วเบา
พลังฝ่ามือของเขาแผ่พุ่งออกไป และร่างอันเย็นและแข็งทื่อของวิญญูชนสวรรค์อวี้ก็พลันสะดุ้ง โลหิตที่หยุดไหลเวียนพลันเริ่มไหวไปอีกครั้ง
ถัดไปนั้น วัวแก่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นออกมาจากร่างของวิญญูชนสวรรค์อวี้
ตามมาด้วยเสียงเต้นครั้งที่สองและครั้งที่สาม
เขาเผยสีหน้าไม่เชื่อสายตา เขามองไปยังฉินมู่ และจากนั้นเขาก็มองไปยังวิญญูชนสวรรค์อวี้ จิตคิดของเขากระเจิดกระเจิงไปหมด
ฉินมู่เปิดถุงเต๋าตี้ และนำเอาโลงศพที่เพิ่งหลอมสร้างออกมา ฝาโลงเปิดออก และร่างของวิญญูชนสวรรค์อวี้ก็ค่อยๆ ลอยเข้าไปในโลงอย่างนุ่มนวล
โลงศพปิดตัวลงไปอีกครั้ง และลอยกลับเข้าไปในถุงเต๋าตี้ของเขา
ฉินมู่หันกลับไปทางสระหยก วัวแก่รีบตามเขาไป และเขาก็หันหลังกลับไปพบว่าสุสานของวิญญูชนสวรรค์อวี้ฟื้นคืนกลับสู่สภาพเดิม เมื่อหินทั้งหลายเข้ามาประกอบเข้ากันใหม่
สุสานที่ประกอบคืนใหม่นั้นไม่มีสิ่งใดผิดสังเกต
หนิวซานตัวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะถาม “ศิษย์น้อง เจ้าฟื้นคืนชีพร่างกายของวิญญูชนสวรรค์อวี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาก็ยังตายอยู่ดี ดวงวิญญาณของเขากระจัดกระจายไปหมดแล้ว”
ฉินมู่ไม่ตอบเขา และเพียงแต่เดินดุ่มไปข้างหน้า
เขากลับไปยังเรือนรุ่งโรจน์และยิ้มให้แก่วิญญูชนสวรรค์หลิงผู้ยังคงเหม่อลอยอยู่ “พี่หลิง โปรดเก็บรักษาโลงศพนี้ไว้เป็นอย่างดี”
เขานำเอาโลงศพของวิญญูชนสวรรค์อวี้ออกมา และวางมันไว้ตรงหน้าวิญญูชนสวรรค์หลิง
สายตาไร้ชีวิตชีวาของวิญญูชนสวรรค์หลิงพลันเต้นระบัดเมื่อนางมองไปยังโลงศพ
“เมื่อเจ้าพบกับวิญญูชนสวรรค์โยวอีกครั้ง ให้ส่งมอบโลงนี้แก่เขา และให้เขานำมันไปซ่อนไว้ในแดนใต้พิภพ บอกเขาว่า ในอนาคต คนที่ชื่อมู่จะไปตามหาเขา”
ฉินมู่มีสีหน้าอบอุ่นและกล่าวอย่างนุ่มนวล “มู่จะบอกกับเขา ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ข้ากลับมาแล้ว เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น วิญญูชนสวรรค์โยวสามารถนำโลงศพออกมาได้ พี่หลิง ข้าจะไปละนะ”
เขาลุกขึ้นและเดินออกไปจากเรือนตึก
วิญญูชนสวรรค์หลิงลุกขึ้นยืน และถามด้วยเสียงแหบพร่า “เจ้าจะไปที่ไหน”
ฉินมู่หยุดเท้าและหันกลับมาด้วยรอยยิ้มแจ่มจ้า “เพื่อสิ้นสุดในเรื่องที่ข้าควรจะสิ้นสุด พี่สาว ไว้พวกเราพบกันใหม่ในอนาคต!”
เขาเดินออกไปจากเรือนและเงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงตะวันสาดแสงเจิดจ้าอยู่เบื้องบน
“จักรพรรดิฟ้ามีพระราชโองการ! มู่ชิง ฉินไค มรรคาและวิชาของทั้งสองลึกล้ำ และพวกเขาเป็นผู้เปี่ยมความสามารถอันอาจปกครองโลกหล้า ฉะนั้นบัดนี้จึงแต่งตั้งฉายานามให้พวกเขาดังนี้ มู่ชิง ฉายานามวิญญูชนสวรรค์มู่ ฉินไค ฉายานามวิญญูชนสวรรค์ฉิน!”
ในราชวังข้างแห่งตึกน้อยสระหยก วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวอ่านโองการของจักรพรรดิฟ้า และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยินดีด้วย พี่ฉินและพี่มู่! แต่บัดนี้เป็นต้นไป ก็จะมีเก้าวิญญูชนสวรรค์ น่าเสียดาย…”
สีหน้าของเขาหมองมัว และเขาดูเหมือนจะหวนรำลึกถึงวิญญูชนสวรรค์อวี้ที่สิ้นชีวิตไป “แต่ทว่า พี่อวี้คงไม่อาจจะเห็นสิ่งนี้ได้อีกต่อไป…พี่มู่? วิญญูชนสวรรค์มู่? วิญญูชนสวรรค์ฉิน วิญญูชนสวรรค์มู่อยู่ที่ไหน”
จักรพรรดิก่อตั้งกล่าว “เขาอยู่ในเรือนรุ่งโรจน์ เขาไม่ได้มาที่นี่”
วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยินดีด้วย วิญญูชนสวรรค์ฉิน จากวันนี้เป็นต้นไป ทั้งพี่ฉินและพี่มู่จะเป็นวิญญูชนสวรรค์ บัดนี้ พวกเรามาสนทนาถึงวิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้า ที่วิญญูชนสวรรค์อวี้ได้คิดค้นขึ้นมากันเถอะ!”
ในตอนนั้นเอง ดวงตาของเขาก็จ้องไปที่ประตูโถงวัง ปากของเขาอ้าค้าง และพูดอะไรไม่ออกสักคำ
ทุกๆ คนรอให้เขาสอนบรรยาย แต่เมื่อพวกเขาเห็นสีหน้าของเขาเป็นเช่นนี้ พวกเขาทั้งหมดจึงหันกลับไป และทั้งโถงวังก็ตกอยู่ในความเงียบ
ที่ประตูของราชวังข้าง ‘วิญญูชนสวรรค์อวี้’ ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบเชียบ และเขามองไปยังวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวข้ามห้องโถง
สักอึดใจหนึ่ง ‘วิญญูชนสวรรค์อวี้’ ก็ก้าวออกไปข้างหน้า และเดินตรงไปยังวิญญูชนสวรรค์ฮ่าว เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “วิญญูชนสวรรค์ฮ่าว ให้ข้าเป็นผู้อธิบายวิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้าที่ข้าคิดขึ้นมาด้วยตนเองเถอะ!”
จักรพรรดิก่อตั้งจิตคิดกระเจิดกระเจิงเมื่อเขามองไปยัง ‘วิญญูชนสวรรค์อวี้’ ที่กำลังเดินมาถึงข้างกายเขา หัวใจเขาสับสนไปหมด เป็นไปไม่ได้ เขาไม่มีทางมีชีวิตอยู่…หนิวเปิน!
เขามองออกไปนอกโถง และวัวแก่ก็ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างจนปัญญา เขาคิดในใจ จักรพรรดิก่อตั้ง ข้าขอโทษ ข้าเองก็หยุดเขาไว้ไม่ได้ เขามีนิสัยดื้อดึงเหมือนกับวัว…