ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 751 หน้ากากมาร
“พี่ชาย มีคนมาเยี่ยมผู้ต้องขังแน่ะ นางมาส่งอาหารให้เจ้า!”
ฉินมู่เปิดใบหลิวที่หว่างคิ้วของเขาออก และเห็นทารกยักษ์ที่ถูกตรึงสะกดเอาไว้ใจกลางแผ่นดินรูปตัวฉิน “เป็นสาวน้อยกำดัด หน้าตาสะสวย มีหางงู แถมยังมีเสียงของบุรุษเพศ”
“ข้าไม่เคยเกี่ยงเลือกกินอาหาร!”
ทารกเงยศีรษะขึ้นมาและลิงโลดดีใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาก็พลันถามด้วยความสงสัย “เจ้าไม่ได้โกหกข้าแน่หรือ หากว่าเจ้าโกหกข้า ข้าจะอัดเจ้าให้ตายแล้วก็จับเจ้ากินซะ หากว่าเจ้าไม่ได้โกหก ข้าก็จะกินเจ้าตอนที่ยังเป็นๆ”
ไม่ทันที่ฉินมู่จะได้พูดอะไร เสียงหยาบกร้านของลู่หลีก็ดังมาจากแม่น้ำจนปัญญา นางหัวเราะคิกคักและกล่าว “ฉินเฟิงชิง ข้าไม่ได้มาหาเจ้า คราวนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล เจ้าจะต้องตกมาในเงื้อมมือข้าในสักวัน”
นางมีเรือนร่างของสตรีชัดๆ แต่นางก็มีเสียงอันหยาบกร้านของบุรุษ นี่มันพิลึกกึกกือจริงๆ
หางของลู่หลีเลื้อยไป และนางก็แหวกว่ายไปข้างหน้าแม่น้ำจนปัญญา
ในแผ่นดินรูปตัวฉิน “น้องชายนิสัยไม่ดี เจ้าโกหกข้าจริงๆ ด้วย! เข้ามาสิ มาดูกันหน่อยว่าข้าจะกระทืบเจ้าให้ตายอย่างไร! ข้าจะเด็ดหัวและขาของเจ้าออกก่อนแล้วกินมันเข้าไป!”
ที่ข้างๆ นั้น ร่างแยกของเทพสรรพชีวิตและสำนึกรู้ของจักรพรรดิแดงฉานได้เข้าไปซ่อนในเทือกเขาแห่งแผ่นดินรูปตัวฉินแล้ว พวกเขากลัวว่าทารกจะระบายโทสะใส่
ฉินมู่แปะใบหลิวกลับไปคืนที่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทำไมลู่หลีถึงดูพูดจาง่ายจังล่ะวันนี้”
ขณะที่เขากล่าวอยู่นั่นเอง เรือนกายมหึมามากมายก็แหวกว่ายอยู่ใต้ผิวน้ำแห่งแม่น้ำจนปัญญา พวกมันเคลื่อนผ่านสะพานจนปัญญาไปอย่างรวดเร็ว
ฉินมู่สีหน้าว่างเปล่า พวกมันคือสัตว์ประหลาดใต้พิภพและมารเทวะใต้พิภพจำนวนนับไม่ถ้วน!
มารเทวะใต้พิภพที่ลู่หลีนำไปนั้นก็ได้พาเอาสัตว์ประหลาดมากมายไร้คณามาด้วย และพวกมันก็กำลังเดินทางผ่านมาทางแม่น้ำจนปัญญา
ร่างกายอันลื่นเมือกและใหญ่มหึมาใต้ผิวแม่น้ำเหล่านั้น มโหฬารอย่างไร้ปานเปรียบ กระนั้นพวกมันก็คล่องแคล่วราวกับปลาในแม่น้ำ อันประกอบไปด้วยทั้งมวลน้ำและไฟเพลิง จำนวนสัตว์ประหลาดที่แหวกหว่ายมาทำให้หนังหัวเขาลุกวูบวาบไปหมด
“สี่มหาผู้บัญชาการแคว้นที่สภาสวรรค์ส่งมาประจำการในแดนใต้พิภพอยู่ที่นี่หมดแล้ว!”
วัวแก่มองลงไปจากสะพานแล้วกล่าว “การบุกเบิกยมโลกในคราวนี้ นั่นคือความพยายามที่จะเปลี่ยนยมโลกให้กลายเป็นแดนบาดาลอีกแห่ง ทันทีที่มันถูกก่อสร้างขึ้นมา ยมโลกก็จะกว้างใหญ่ไพศาลเท่าๆ กับแดนบาดาล ข้าคะเนว่า ไม่เพียงแต่ลู่หลี เสวียนหมิง หานเหลย และเจว้หวงที่ลงมือ แม้แต่โอรสหยินสวรรค์ก็คงไม่อยู่เฉย”
เขาต่อยลงไปยังแม่น้ำจนปัญญา แต่เขาทำได้แค่ทำให้น้ำกับไฟแยกออกจากกัน แต่ไม่สามารถทำอันตรายมารเทวะและสัตว์ประหลาดที่อยู่ใต้น้ำได้เลยสักนิด
นี่เพราะว่าแม่น้ำจนปัญญาเป็นเส้นกั้นเขตระหว่างแดนใต้พิภพและยมโลก แม้ว่าสัตว์ประหลาดเหล่านั้นจะดูเหมือนแหวกว่ายมาใต้น้ำ แต่จริงๆ แล้วพวกมันกำลังแหวกว่ายอยู่ในแดนใต้พิภพ
แม้ว่าหนิวซานตัวจะเป็นยอดยุทธในขั้นตำหนักชิดฟ้าแห่งมรรคาบู๊ และเพลงหมัดของเขาก็ขั้นเขื่องโขและดุดัน เขาก็ยังไม่อาจทะลวงข้ามโลกมิติไปโจมตีมารเทวะและสัตว์ประหลาดเหล่านั้น
เขารู้จักแต่ทักษะเทวะในมรรคาบู๊ ดังนั้นเขาจึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับทักษะเทวะใต้พิภพเท่าใดนัก
“โอรสหยินสวรรค์ก็จะลงมือด้วยหรือ”
ฉินมู่ถามด้วยความกังขา “พี่สาวตี้อี้เยว่อยู่ที่นี่ เขายังจะกล้าเสนอหน้ามาอีกหรือ”
ฉินมู่เองก็ได้รับฟังถึงความรักและความแค้นระหว่างตี้อี้เยว่และโอรสหยินสวรรค์ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกลอบบอกเล่าเขาถึงเรื่องราวระหว่างสองคนนั้น
ตอนนี้เมื่อตี้อี้เยว่บุกเบิกยมโลก โอรสหยินสวรรค์ยังจะกล้ามาปรากฏตัวอีกหรือ
“หากว่าเขากล้าเสนอหน้ามา ข้าก็คงจะประทับใจกับความหนาของหนังหน้าของเขามาก”
ขณะที่ฉินมู่คิดมาถึงตรงนี้ ห้วงมิติแห่งยมโลกก็สั่นสะเทือนไม่หยุดยั้ง ท้องฟ้าผ่าแยกออก และใบหน้าของโอรสหยินสวรรค์ก็ปรากฏออกมาจากรอยแยกบนท้องฟ้า ดวงตาใหญ่มหึมาสองลูกของเขากลอกไปมามองดูบริเวณโดยรอบ
ฉินมู่ตกตะลึง
วัวแก่กล่าว “เจ้าประมาทความหน้าหนาของเขาเกินไป ด้วยการปรากฏตัวของโอรสหยินสวรรค์ มารเทวะและสัตว์ประหลาดพวกนี้ก็น่าจะสามารถเริ่มโจมตียมโลกได้”
ไม่ทันที่เขาจะกล่าวจบ โอรสหยินสวรรค์ในท้องฟ้าก็อ้าปากออกมา และเริ่มสวดท่องภาษาใต้พิภพอันลึกซึ้งและซับซ้อน ปราณมารใต้พิภพเข้ามารวมตัวกันและก่อตัวขึ้นมาเป็นดวงตาตั้งที่หว่างคิ้วของเขา
ดวงตาตั้งนั้นลืมขึ้นมา และลำแสงรังสีทมิฬก็ยิงลงมาจากท้องฟ้า มันเฉือนตัดบนแม่น้ำจนปัญญา และแม่น้ำก็แหวกแยกออกเป็นสองฝั่ง จากผิวแม่น้ำที่ปริเปิด มารเทวะมากมายกระโจนออกมาและร้องคำรามอย่างกึกก้อง
รังสีเนตรของโอรสหยินสวรรค์ตกลงมาจากท้องฟ้าและเฉือนตัด รังสีเนตรนั้นไปถึงสะพานแห่งระหว่างเป็นตายอย่างรวดเร็ว
หนิวซานตัวคำรามไปอย่างเกรี้ยวกราด และร่างกายของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรุนแรง เขาแปลงร่างเป็นเทพยดาหัววัวและบดขยี้รังสีเนตรของโอรสหยินสวรรค์ด้วยหมัดเดียว
ฉินมู่มองตรงไปยังแม่น้ำจนปัญญาและเห็นสัตว์ประหลาดนับไม่ถ้วนที่คลานไต่ออกมาราวกับฝูงมดอันแตกพล่านจากรัง พวกมันปีนออกมาจากแดนใต้พิภพ และเข้ามายังยมโลกผ่านรอยแยกนั้น
“ที่แท้ก็เป็นสัตว์ขี่ของชาวนาเฒ่า วัวแก่ตัวนั้น”
โอรสหยินสวรรค์พลันสังเกตเห็นสะพานและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเจ้านายเจ้ามาเองคงจะดีกว่านี้ ฮี่ ฉินเฟิงชิงก็อยู่ที่นี่ด้วย กายเนื้อของเจ้าเป็นของข้า…”
ในตอนนั้นเอง ลำแสงมีดก็พวยพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า มันคือการสะบัดดาบของเถียนฉู่ที่เฉือนตัดไปยังโอรสหยินสวรรค์ โอรสหยินสวรรค์ยิ้มหยันและปล่อยให้มีดของเถียนฉู่ฟันมาที่ใบหน้าของเขาตามสบาย
เมื่อใบหน้าของเขาถูกผ่าแหวกออก ใบหน้าบนท้องฟ้าก็จะหายไป จากนั้นก็จะมีใบหน้าใหม่ปรากฏขึ้นมา และมันก็ยังคงเป็นใบหน้าของโอรสหยินสวรรค์
เถียนฉู่กำลังจะฟันไปอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นก็มีใบหน้าปรากฏเหนือท้องฟ้าอันมืดมนของยมโลกมากขึ้นทุกที มีใบหน้าหล่อเหลาเป็นร้อยที่ปรากฏขึ้นมาในชั่วพริบตา ปิดกั้นทั้งฟากฟ้าแห่งยมโลก!
ใบหน้านับร้อยบนท้องฟ้าอ้าปากออกมาพร้อมๆ กัน และแขนก็ถึงกับเอื้อมออกมาจากในปาก แขนเป็นร้อยคว้าจับลงมาข้างล่าง
เถียนฉู่ใช้ดาบเทวะประตูสวรรค์เพื่อป้องกัน และตัดเอามือมหึมานั้นอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าก็มีมือที่คว้าขย่มลงมามากขึ้นทุกที
หนิวซานตัวยืนอยู่บนสะพาน และเพลงหมัดของเขาก็ดุดันและทรงพลัง เขาสามารถป้องปัดมือใหญ่ยักษ์ที่คว้ามาใส่ได้ แต่ทว่าบนท้องฟ้ามีมือมากมายเกินไป ยากที่เขาจะป้องกันได้หมด
ในเวลาเดียวกันนั้น สี่มหาผู้บัญชาแคว้นแห่งแดนใต้พิภพก็ข้ามแม่น้ำจนปัญญามาแล้ว พวกเขาจัดทัพมารเทวะหลายหมื่นตนและนำมารสัตว์ประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามาโจมตีเทพเจ้าแห่งยมโลกในเมือง
ในเมืองเทพยดายมโลก เสียงคำรามของเทพเจ้ากึกก้องไปทั่วเวหา พวกเขาดาหน้าเข้ามาต่อสู้ ทุกคนจากทั้งสองฝั่งแม่น้ำจนปัญญาพลันตกอยูในการศึกชุลมุน
ทันใดนั้น ท้าวยมราชผู้ซึ่งกำลังบุกเบิกยมโลก ก็สะบัดเปิดผ้าคลุมหลังของเขา เมืองเทพยดายมโลกพลันอยู่ใต้การครอบงำของผ้าคลุม
เมื่อท้าวยมราชยกผ้าคลุมขึ้นมาอีกครั้ง ก็หลงเหลือเพียงแต่โครงกระดูกที่สองฝั่งแม่น้ำจนปัญญา
สัตว์ประหลาดและมารเทวะมากมายถูกเขาเปลี่ยนให้กลายเป็นโครงกระดูกขาว
“บุตรที่เก็บมาได้ของจักรพรรดิก่อตั้งนับว่ามีฝีมืออยู่ไม่น้อย! แต่ทว่า ทักษะเทวะใต้พิภพของเจ้า ยังมิได้ฝึกฝนจนสมบูรณ์แบบ!”
บนท้องฟ้า มือมหึมาเอื้อมลงมาจับชายผ้าคลุมของท้าวยมราช มือเหล่านั้นดึงร่างของท้าวยมราชขึ้นไป และเขาก็แตกตื่น เขาร้องคำรามและชักกระบี่ออกมาเพื่อเฉือนตัดมือยักษ์เหล่านั้น!
ลู่หลี เจว้หวง เสวียนหมิง หานเหลย สี่มหาผู้บัญชาการแคว้นแห่งแดนใต้พิภพฉวยโอกาสนี้เพื่อบุกเข้าไปเข่นฆ่าในเมือง เทพเจ้าแห่งยมโลกส่วนใหญ่เป็นเพียงจิตวิญญาณดั้งเดิม และแม้ว่าพวกเขาจะฟื้นฟูกายเนื้อกลับมาในแดนเป็นของคนตาย พวกเขาก็ยังไม่อาจรบพุ่งป้องกันสี่มหาผู้บัญชาการแคว้นได้ ผู้คนมากมายถูกบดขยี้ดวงวิญญาณไป
ทันใดนั้น ประตูก็ลอยเข้ามาและตกลงใจกลางระหว่างฟ้าและดิน
“ประตูสวรรค์แดนบาดาล!”
ลู่หลีและเทพเจ้าตนอื่นๆ ร้องออกมา พลานุภาพของประตูสวรรค์แดนบาดาลกดข่มลง และจิตวิญญาณดั้งเดิมของทุกๆ คนก็ถูกกดลงไปกับพื้น พวกเขาถูกตรึงสะกดเอาไว้ไม่อาจขยับเขยื้อน
ตี้อี้เยว่เหาะขึ้นมา และยืนด้วยเท้าเปลือยเปล่าบนประตูสวรรค์แดนบาดาล นางเงยศีรษะขึ้นและเผยรอยยิ้มที่ไม่เชิงยิ้มบนใบหน้า “สามี ทำไมเจ้าไม่มาด้วยร่างที่แท้จริงสักหน่อยล่ะ ทำไมเจ้าเพียงแค่ฉายภาพตนเองมาด้วยทักษะเทวะ ข้าอยากจะฟังคำหวานหูของเจ้าอีกครั้งเสียจริง”
บนท้องฟ้าอันมืดมิดเบื้องบน ใบหน้าของโอรสหยินสวรรค์บิดเบี้ยวไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง ทันใดนั้น ใบหน้าทั้งหมดก็รวบรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ใบหน้านี้ค่อยๆ จางหาย และลับลาไปในที่สุด
“ตี้อี้เยว่ ข้าได้ทำผิดต่อเจ้าจริงๆ ดังนั้นข้าจะไม่ต่อสู้กับเจ้า นี่ไม่ใช่เพราะว่าข้ากลัวเจ้าหรอกนะ”
เสียงของเขาเดินทางห่างไกลไปๆ ทุกที “แต่ทว่า ภารกิจของข้าเสร็จสิ้นแล้ว สาเหตุที่ข้าเฉือนเปิดยมโลกนั้นมิใช่ว่าเพราะว่าต้องการมาหยุดยั้งพวกเจ้าด้วยตนเอง ข้าเพียงแต่ทำให้พลังอำนาจแห่งแดนใต้พิภพไหลเข้ามาได้ ราชาสวรรค์แดนบาดาล เจ้าก็เตรียมสะสางความแค้นกับภูติบดีที่ไปเฉือนตัดเขามาก่อสร้างยมโลกเสียเถอะ! ตอนนี้ งานของข้าสำเร็จและข้าก็สามารถล่าถอยได้…”
ตี้อี้เยว่หัวใจโลดเต้น และนางก็รีบหันไปมองยังแม่น้ำจนปัญญา
แม่น้ำจนปัญญาเงียบกริบไร้สุ้มเสียง
สัตว์ประหลาดและมารเทวะที่หลั่งไหลออกมาจากแม่น้ำหยุดต่อสู้และไม่ขยับเขยื้อน สี่มหาผู้บัญชาการแคว้นกำลังป้องกันอยู่ข้างหน้าทัพมารเทวะและกำลังรออยู่
จากแม่น้ำจนปัญญา เรือกระดาษลำหนึ่งลอยออกมา และตะเกียงที่หัวเรือก็เหมือนกับเสาแสงอันจุดสว่างให้แก่ยมโลก
ที่หัวเรือนั้น ผู้เฒ่าอันมีใบหน้าที่มองเห็นได้ไม่ชัดยกมือของเขาขึ้นมาและปลดตะเกียงที่แขวนลง สีหน้าของเขาไร้อารมณ์
ถัดไปน้ำ เรือกระดาษก็ลอยออกมาสมทบมากขึ้นทุกทีจากแม่น้ำจนปัญญา และบนเรือกระดาษแต่ละลำก็ล้วนแต่เป็นผู้เฒ่าที่มีใบหน้าอันรางเลือน พวกเขาล้วนแต่ถือตะเกียงอันสามารถกรีดผ่านความมืดทมิฬได้!
เรือกระดาษนับไม่ถ้วนล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า และแสงตะเกียงก็สาดส่องออกไปในทุกทิศทาง ท้องฟ้าสั่นสะเทือน บิดเบี้ยว และหดย่น แผ่นดินก็สะเทือนเลื่อนลั่นและหดเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ภูเขาในความมืดก็หดกลับเข้าไปในแผ่นดิน และพวกมันก็แปรเปลี่ยนกลับมาเป็นพื้นดินเรียบ!
มิติอวกาศที่ตี้อี้เยว่ ราชาสวรรค์เถียนฉู่ และท้าวยมราชได้ลงแรงบุกเบิกออกไป ก็ถูกฟาดกลับมาเป็นรูปเดิมด้วยผู้เฒ่านำทางความตายในชั่วพริบตา!
“วังสวรรค์ขอบทราย!”
ท้าวยมราชกู่ร้อง และแผ่นดินก็สะท้านหวั่นไหวอย่างไม่หยุดหย่อน เมืองเทพยดาหนึ่งปรากฏขึ้นมาในความมืด และกำแพงเมืองอันดำดิบก็ดูราวกับว่าจะถูกหลอมขึ้นมาจากเหล็กดำ พวกมันตั้งตระหง่านอยู่ในก้นบึ้งของยมโลก และมันก็คือวังสวรรค์ขอบทราย หนึ่งในสามสิบหกวังสวรรค์แห่งสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง
“วีรชนแห่งจักรพรรดิก่อตั้งทั้งหลายที่พลีกายในศึก!”
ท้าวยมราชจ้องไปยังเรือกระดาษอันล่องลอยเต็มน่านฟ้า และชูกระบี่ขึ้นสูง “โครงกระดูกแห่งจักรพรรดิก่อตั้งทั้งหลายที่สิ้นลมหายใจในรณยุทธ! ข้าร้องขอเจ้า ต่อสู้เพื่อจักรพรรดิก่อตั้งอีกครั้งหนึ่ง!”
ครืน ครืน
เสียงกัมปนาทอันน่าสะพรึงกลัวดังออกมาจากเมืองเทพยดาที่หล่อหลอมขึ้นมาจากเหล็กดำ โครงกระดูกใหญ่มหึมามากมายค่อยๆ ลุกขึ้นยืน และคว้าจับศาสตราวุธอันเก่าพังของพวกมัน ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ ไฟผีสางสีฟ้าแผดเผาอยู่ใบเบ้าตาของพวกมัน
พวกมันเหล่านี้คือเทพเจ้าทั้งหลายที่ได้ตกตายไปในศึกอันยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งถูกทำลายล้าง โครงกระดูกของพวกเขาล้วนแต่ถูกกลบฝังเอาไว้ในยมโลก และบัดนี้เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงเพรียกขานของท้าวยมราช พวกเขาก็ฟื้นตื่นขึ้นมาจากความตาย
ทันใดนั้น ประตูแห่งเมืองเทพยดาเหล็กดำก็เปิดออก และสัตว์พิสดารสามหัวตัวหนึ่งก็วิ่งตะบึงออกมา มันแบกโครงกระดูกเทพเจ้าวิ่งไปข้างหน้า และเสียงแกลบๆ ของกีบเท้ามันก็ดังมาถี่ยิบ
โครงกระดูกเทพเจ้านั้นยังคงถือธงอันขาดวิ่น และผืนธงก็คลี่ออกมาในสายลง คำว่า ‘เยว่’ ยังคงปรากฏให้เห็น
บนประตูสวรรค์แดนบาดาล ตี้อี้เยว่มองไปยังคำว่า ‘เยว่’ บนผืนธง และน้ำตาก็พลันหลั่งไหล
นั่นคือธงของนาง
ในฐานะราชาสวรรค์อันดับหนึ่ง นางเองก็มีกองทัพเทพยดาของตนเอง แต่ทว่า ก่อนที่ภัยพิบัติจะปะทุขึ้นมา นางได้จากไปเพื่อแต่งงานกับโอรสหยินสวรรค์
บัดนี้นางได้เห็นธงศึกของตนเองอีกครั้ง แต่ผู้ใต้บัญชาของนางล้วนแต่กลายเป็นโครงกระดูกไปหมดแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นโครงกระดูก แต่ก็ยังแบกถือธงศึกของนาง!
โครงกระดูกเทพเจ้าพุ่งไปข้างหน้า และสัตว์พิสดารสามหัวที่แบกเขาอยู่ก็พลันหยุดชะงัก เทพเจ้านั้นปักธงลงไปกับพื้นอย่างหนักหน่วงที่ตีนประตูสวรรค์แดนบาดาล และเงยศีรษะขึ้นมาด้วยความหยิ่งผยอง
ข้างหลังเขา โครงกระดูกเทพเจ้านับไม่ถ้วนกรูกันมาด้วยเสียงกลอกแกลก และพวกเขาก็หยุดอยู่ข้างหลังด้วยกระบวนทัพอันเป็นระเบียบ
ประตูเหล็กดำของเมืองเทพยดาแห่งนี้เปิดออก และโครงกระดูกเทพเจ้าก็กรูกันออกมามากยิ่งขึ้น พวกเขาจัดเรียงกันเป็นกระบวนทัพและยืนประจันหน้ากองเรือกระดาษทั้งหลายอย่างเงียบงัน
ผู้เฒ่าบนเรือกระดาษสะบัดแขนเสื้อ คนกระดาษและม้ากระดาษมากมายพรั่งพรูออกมาจากแขนเสื้อของเขา แปรเปลี่ยนเป็นเทพเจ้านับไม่ถ้วน
ทั้งสองฝ่ายยืนอยู่ตรงนั้นโดยไร้สุ้มเสียง
“ตัดเขาของภูติบดีย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย”
บนเรือกระดาษลำหนึ่ง ผู้เฒ่านำทางความตายยกตะเกียงขึ้นและกล่าวอย่างเยือกเย็น “กฎแห่งแดนใต้พิภพมิอาจฝ่าฝืน หากว่าเจ้าคืนยมโลกกลับไปวันนี้ ย่อมไม่มีชีวิตใดต้องสูญเสีย แต่หากว่าไม่ แม้แต่หญ้าสักใบก็จะไม่หลงเหลือ”
ตี้อี้เยว่และคนอื่นๆ รู้สึกหวาดหวั่น เถียนฉู่กอดไหสุราเดินมาพลางกรอกเหล้าเข้าปากอั้กๆ เขาตะโกน “ราชันย์ขุนนาง ข้าคือผู้ที่ตัดเขาของภูติบดี ถ้าเจ้าแน่จริง ก็มาเอาเรื่องกับข้าสิ!”
“เจ้าเมาอีกแล้ว”
ผู้เฒ่าบนเรือกระดาษปรายตามองเขา และกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ไม่ต้องพยายามป้องกัน หนึ่งล้านปีที่ผ่านมา โลกมิตินับไม่ถ้วนถูกทำลายล้างเพราะพยายามต่อสู้กับข้า เมื่อใดที่กฎแห่งแดนใต้พิภพถูกล่วงละเมิด ย่อมไม่มีผู้บริสุทธิ์”
ตี้อี้เยว่ยิ้มหยันและกล่าว “แดนบาดาลก็เป็นเขาของภูติบดี! ทำไมราชันย์ขุนนางไม่ไปทำลายล้างแดนบาดาลด้วยเล่า ทำไมเจ้าถึงมาข่มเหงรังแกพวกข้าแทน กฎแดนใต้พิภพมันเหลวไหลทั้งนั้น ใครที่แข็งแกร่งกว่าพวกเจ้า ก็เล่นตลกกับกฎเหลวไหลของพวกเจ้าตามแต่ใจพวกเขา!”
ผู้เฒ่านำทางความตายขมวดคิ้วและหยุดพูด
แสงจากตะเกียงยังคงส่องไป และยมโลกก็กำลังจะถูกฟาดให้กลับไปเป็นรูปดั้งเดิม
ท้าวยมราชกัดฟันกรอดและกำกระบี่ในมืออย่างแน่นหนัก เขากล่าวด้วยความเคร่งขรึม “เตรียมสู้จนตัวตาย!”
ผู้เฒ่านำทางความตายถอนหายใจ “ดื้อด้าน”
ทันใดนั้น บนสะพานระหว่างเป็นตาย ฉินมู่แกะสลักหน้ากากและโยนมันลงไปบนเรือกระดาษใต้สะพาน
ผู้เฒ่านำทางความตายก้มหน้าลงมองหน้ากาก มันคือหน้ากากมารอันคุ้นเคยที่มีน้ำตาสองสายประดับอยู่
ผู้เฒ่านำทางความตายเงยหน้าขึ้นมองบนสะพาน และฉินมู่กล่าวอย่างแผ่วเบา “ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ข้ากลับมาแล้ว”
ผู้เฒ่านำทางความตายร่างสั่นเทิ้มอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ และเรือกระดาษที่เกลื่อนฟ้าอยู่นั้นก็พลันเข้ามาชนกันและกัน ผู้เฒ่านำทางความตายจำนวนมากมายไร้ประมาณก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน และแปรเปลี่ยนเป็นบุคคลเพียงคนเดียว เขาก้มลงและหยิบหน้ากาก
ผู้เฒ่านี้มองไปที่หน้ากากอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะสวมมันเอาไว้ที่หลังศีรษะ
“มู่”
เขาเงยศีรษะขึ้นมองไปยังชายหนุ่ม “เจ้ากลับมาแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเวลาผ่านไปกี่ปีแล้ว”