ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 756 พี่น้องสองประสาน
มารเทวะทั้งสองหันไปมองหน้ากันและกัน และหนึ่งในนั้นกล่าวอย่างเกียจคร้าน “เจ้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนแม่ของเจ้างั้นหรือ เจ้ามีใบผ่านทางไหม”
ฉินมู่ส่ายหัว “ข้าไม่มี”
มารเทวะอีกตนเหลียวซ้ายแลขวา และเขาก็หรี่เสียงลง “เจ้ามีอะไรวิบวับๆ ไหม”
ฉินมู่ฉงนใจ “อะไรคือวิบวับๆ”
“เจ้าจะทึ่มอะไรขนาดนี้ วิบวับๆ หมายถึงสมบัติล้ำค่าจากฟ้าและดิน สิ่งที่มองแล้วสบายตา”
มารเทวะนั้นตะคอก “ที่นี่คือสถานที่ที่ป้องกันภยันตรายและความชั่วร้ายอันยิ่งใหญ่ แต่เจ้าไม่มีใบผ่านทางหรือของล้ำค่าใดๆ ที่จะมาติดสินบนพวกเรา นี่เจ้าต้องการจะเข้าไปจริงๆ แน่หรือเนี่ย ทำไมเจ้าไม่ไสหัวไปไกลๆ เสียล่ะ”
ฉินมู่รีบยิ้มและกล่าว “ข้ามีสมบัติอยู่บ้าง เรือของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์เป็นอย่างไรล่ะ ข้าสามารถใช้เรือนี้เพื่อแลกเปลี่ยนกับโอกาสที่ข้าจะเข้าไปในด่านได้ไหม”
มารเทวะนั้นยิ้มหยันและกล่าว “พวกข้าจะเอาเรือไปทำอะไร พวกข้าก็ไม่สามารถออกไปจากที่นี่…”
มารเทวะอีกคนมีสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นเรือนี้ เขารีบห้ามสหายของตนและแย้มยิ้มอย่างประจบแก่ฉินมู่ “เขาแค่ล้อเล่นเท่านั้น เจ้าเข้าไปได้”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณและเดินเข้าไปในด่านกุญแจหยก
“เจ้ารำคาญชีวิตแล้วหรืออย่างไร!”
เสียงของมารเทวะทั้งสองดังมาจากข้างหลัง “นั่นคือเรือของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์! เขาเคยให้ใครอื่นยืมเรือหรือ คนชื่อฉินเฟิงชิงผู้นี้จะต้องเป็นบริวารคนสนิทของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ถึงได้เรือมา หากว่าเจ้าตะเพิดไล่เขาไปและเขาไปประท้วงราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ เจ้าและข้าก็จะต้องโดนเล่นงานแน่!”
“พี่ท่านก็ยังคงเป็นคนเฉียบแหลมว่องไว ข้านั้นมุทะลุไปหน่อย แล้วเด็กหนุ่มคนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกับราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ถึงกับสามารถยืมเรือของเขาได้ เขาจะต้องมีความเป็นมาไม่ใช่เล่นแน่นอน”
“เขานั้นน่าจะเป็นอาคันตุกะจากสภาสวรรค์…ช้าก่อน พูดชื่อเขาอีกทีซิ? ข้านั้นมัวแต่คิดที่จะรีดไถเงินทองจากเขาเลยไม่ทันได้ฟังถนัด”
มารเทวะทั้งสองหันไปสบตากันด้วยความหนักอึ้ง หนึ่งในมารเทวะปลุกปลอบตนเองและเรียกฉินมู่กลับมา “นี่ เจ้า หยุดไว้ก่อน เมื่อกี้เจ้าพูดว่าเจ้าชื่ออะไรนะ เจ้าพูดซ้ำอีกทีได้ไหม”
ฉินมู่เหลียวหลังกลับไป และรอยยิ้มของเขาก็แจ่มจ้าเป็นอย่างยิ่ง “เทพสูงส่ง ชื่อของข้าคือฉินมู่ ฉินเฟิงชิง”
จิตคิดของมารเทวะทั้งสองกระเจิดกระเจิง พวกเขามองตาค้างไปยังชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้าไปในด่ากุญแจหยก ในตอนนั้นนั้น มารเทวะอีกสองตนก็รุดมาและเตรียมที่จะเปลี่ยนกะรักษาการณ์ พวกเขาโคลงหัวด้วยรอยยิ้ม “มีคนมาที่ด่านกุญแจหยกนี่ ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกเจ้าได้ตรวจสอบคนผู้นี้ไหม”
เทพทั้งสองยืนอ้าปากค้าง มารเทวะที่มาเปลี่ยนกะขมวดคิ้วและสามารถได้กลิ่นเหม็นของฉี่เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปใกล้ พวกเขาแน่ใจเมื่อเห็นกองน้ำสีเหลืองที่นองอยู่ใต้เท้า
“ฉิน…”
หนึ่งในทั้งสองนั้นติดอ่าง “ฉิน ฉิน ฉิน…คนที่เจ้าก็รู้ว่าใครกลับมาแล้ว!”
เสียงนั้นกลายเป็นกึกก้องและกรีดแหลม “ฉิบหายแล้ว! คนที่เจ้ารู้ว่าใครกลับมาแล้ว และเขาก็ได้บุกเข้าไปในด่านกุญแจหยก! เตรียมให้พร้อม! เตรียมให้พร้อม!”
“รีบไปรายงานเทพเจ้าทุกหนแห่ง! คนที่เจ้ารู้ว่าใครกลับมาแล้วเพื่อมาชิงตัวมารดาของเขา!”
…
ในด่านกุญแจหยก ฉินมู่ได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากข้างหลังและตื่นตระหนก เขาหันกลับไป และเมื่อมารเทวะทั้งสี่เห็นเขาเหลียวหลังมามอง พวกเขาก็กลัวจนจับขั้วหัวใจ ด้วยเสียงตึงๆๆ มารเทวะทั้งสี่ก็เป็นลมสลบ
คนที่เจ้าก็รู้ว่าใคร? หรือว่านั่นจะเป็นข้า
ฉินมู่อึ้งกิมกี่ จากนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมา เขาได้แต่โคลงหัวหลังจากครู่หนึ่งและใคร่ครวญอยู่ในใจ ยี่สิบสองปีก่อน? ถ้าเช่นนั้น ตอนนี้ข้าก็อายุยี่สิบสองปีแล้ว ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าข้าอายุยี่สิบสองปี ขณะที่ท่านยายบอกว่าข้าอายุยี่สิบเอ็ด ตอนนี้เราก็ได้คำตอบแล้วในที่สุด พวกเขาไม่ต้องเถียงกันแล้ว
“เฮ้ พวกเจ้าทั้งสี่!”
เขาตะโกนและบอกเตือนไปด้วยใจเมตตา “พวกเจ้าไม่หนีหรืออย่างไร หรือว่าเจ้าจะรอให้ข้าจับกิน”
มารเทวะทั้งสี่ที่หมดสติไปพลันดีดตัวตีลังกาขึ้นมาจากพื้น และหายวับไปด้วยลำแสงเทวะสี่สาย
นามอันโหดเหี้ยมของพี่ชายข้านี่ไม่ใช่เล่นๆ เลยจริงๆ
ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน การเดินทางมายังด่านกุญแจหยกในคราวนี้ราบรื่นอย่างผิดปกติ และก็เหนือความคาดหมายของเขา
เสียงตีเกราะเคาะกลองดังมาจากเมืองด่าน และรังสีสังหารก็คุกรุ่นในอากาศ เขาสามารถรู้สึกได้ทันทีถึงรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่สยายออกมาจากด่าน นี่เห็นได้ชัดว่ามีทหารราบและทหารม้ามากมายประจำการอยู่ที่นี่ พวกเขารักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวตนทั้งหลายที่อยู่ข้างในหลบหนีออกมาได้
ฉินมู่ปลุกปลอบตนเองและลอบปลดใบหลิวออกจากหว่างคิ้ว เขากล่าวด้วยเสียงเบา “พี่ชาย ข้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมท่านแม่…”
เบ้าตาเขาพลันแดงก่ำ และเขาก็เผยรอยยิ้มอบอุ่น “เจ้าเคยได้พบกับท่านแม่มาก่อน แต่ข้าไม่เคยเจอหน้านางเลยสักครั้ง ท่านแม่อุ้มเจ้าและจุมพิตเจ้ามาก่อน และนางไม่เคยอุ้มและจุมพิตข้าเลยสักครั้ง หากว่าไม่ใช่เพราะความผิดพลาดครั้งใหญ่ของเจ้า ข้าก็คงไม่ต้องมาพรากจากท่านพ่อและท่านแม่แบบนี้…”
ในดวงตาที่สามที่หว่างคิ้วของเขา ทารกประหลาดหัวโตนั่งอยู่ตรงนั้นและมองไปยังท้องฟ้า
เทพสรรพชีวิตและจักรพรรดิแดงฉานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระสับกระส่าย ร่างแยกของเทพสรรพชีวิตตะโกนไป “ฉินเฟิง…ฉินมู่ เจ้ากำลังจะทำอะไรน่ะ! อย่าบุ่มบ่ามนะ!”
เสียงของฉินมู่ออกมา “ใครล่ะจะไม่อยากมีความสุขหัวเราะร่าใต้เข่าของพ่อและแม่เมื่อพวกเขายังเด็ก ใครกันจะไม่อยากมีพ่อแม่อยู่ใกล้ๆ เมื่อครั้งยังเยาว์ แต่ข้าไม่มีโอกาสนั้น พี่ชาย ข้ามาที่นี่เพื่อมาหาท่านแม่ เจ้าจะต้องชดเชยให้กับข้า ในวันนี้…”
ร่างของเขาสั่นเทิ้ม และเสียงของเขาก็แหบพร่าไปเล็กน้อย “ข้าจะต้องยืมพลังอำนาจของเจ้า พี่ชาย! ข้าไม่อาจควบคุมสันดานมาร แต่เจ้าทำได้ เจ้าไม่อาจควบคุมทักษะเทวะ แต่ข้าทำได้ พี่ชาย ฉินเฟิงชิง ออกมาเถอะ!”
ร่างแยกของเทพสรรพชีวิตและสำนึกรู้ของจักรพรรดิแดงฉานตวาดไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “อย่าบุ่มบ่ามนะ…”
เหนือแผ่นดินรูปตัวฉิน ท้องฟ้าสั่นสะเทือน และสำนึกรู้ของฉินมู่ก็ทะลวงทะลุท้องฟ้าเข้ามา “พี่ชาย พวกเรามารวมกันเป็นหนึ่ง และไปพบท่านแม่ด้วยกันเถอะ!”
ทารกหัวโตทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและเหาะออกไป
“ไม่…”
ร่างแยกของเทพสรรพชีวิตและสำนึกรู้ของจักรพรรดิแดงฉานไหลออกไปจากท้องฟ้า และพลันพบว่าเวทปิดผนึกแข็งแกร่งขึ้นอีกหน ก็เพราะว่าฉินมู่ปิดใบหลิวลงไป และปิดผนึกพวกเขาเอาไว้ในแผ่นดินรูปตัวฉิน
ทั้งสองคนร่วงลงกับพื้น และพวกเขารู้สึกเย็นเยียบในหัวใจ
“ฉินมู่ ไอ้เด็กแสบ เขาไม่สามารถควบคุมสันดานมารเลยสักนิด เขาไม่สามารถควบคุมฉินเฟิงชิง!”
ร่างแยกของเทพสรรพชีวิตโมโหเดือดดาล และเขาเดินไปเดินมาด้วยความกระวนกระวาย เขาพลันเงยศีรษะขึ้นเพื่อมองไปยังพุทธเจ้าบนอากาศ เขาตะโกนด้วยความร้อนใจ
“พุทธเจ้าเฒ่า รีบตื่นเร็วเข้า กำลังจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
พุทธเจ้ายังคงหลับใหลและไม่ได้ยินคำพูดของเขา
“พุทธเจ้าเฒ่านี่มาเพื่อตรึงสะกดฉินเฟิงชิงหรือมาหลับกันแน่?” สำนึกรู้จักรพรรดิแดงฉานร้องออกไปด้วยความโมโห
ร่างของฉินมู่สั่นเทิ้ม และกายเนื้อของเขาก็ขยายขนาดออกไปทีละขั้นๆ แขนของเขาเริ่มจะงอกออกมาเพิ่มอีกสี่ข้าง และในเวลาเดียวกัน คออีกสองข้างก็งอกออกมา เขามีไหล่หกอันและแขนหกข้างที่กำลังประคองศีรษะของตนเองเอาไว้
หนึ่งในศีรษะเหล่านั้นแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นศีรษะของเด็ก ฉินมู่พลันรู้สึกถึงพลังอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวที่ไหลบ่าออกมา!
พลังอำนาจนี้มิได้มาจากการเปิดปราสาทสวรรค์ การเพิ่มพูนขั้นวรยุทธขั้นเดียวมิอาจมอบพลังอำนาจระดับนี้ได้ มันคือพลังอำนาจแห่งหลักกฎ หลักกฎแห่งแดนใต้พิภพ มันคือพลานุภาพแห่งฟ้าและดิน พลานุภาพแห่งเต๋าแดนใต้พิภพ!
เขานั้นเหมือนกับเทพบรรพกาลที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากฟ้าและดิน เหมือนกับครึ่งเทพที่แข็งแกร่งขึ้นมาจากการเติบโต เขามีข้อได้เปรียบจากทั้งเทพบรรพกาลและครึ่งเทพ!
“น้องชายตัวร้าย ให้ข้าควบคุมพลังอำนาจ และเจ้าก็ไปควบคุมหลักกฎ!” ทารกนั้นส่งเสียงเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมา
ฉินมู่รู้สึกถึงพลังอำนาจที่ไหลบ่าเข้ามาในร่างเนื้อของเขาประดุจมหาสมุทร และร่างกายของเขาก็ขยายออกไปอีกครั้ง กล้ามเนื้อของเขาปูดโปนขึ้นมาไม่หยุดหย่อน และเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งแดนใต้พิภพทั้งหลายก็แปรเปลี่ยนไปเป็นข้อมูลมากมายนับไม่สิ้น ข้อมูลหลั่งไหลเข้ามาในจิตคิดของเขา ทำให้เขาเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบาย
หัวโตๆ ของทารกที่แปรเปลี่ยนมาจากฉินเฟิงชิงควบคุมสันดานมาร ขณะที่เขาควบคุมพลานุภาพแห่งหลักกฎ
เขายิ่งตัวใหญ่มากขึ้นทุกๆ จนกระทั่งสูงเหยียดเมฆ เขาสูงตระหง่านปานขุนเขา
ฉัวะ
ฉินมู่ดึงใบหลิวลงมาอีกครั้ง และในแผ่นดินรูปตัวฉินตอนนี้ เทพสรรพชีวิตและจักรพรรดิแดงฉานสามารถมองเห็นโลกภายนอกได้ ผนึกได้กลายเป็นบางอย่างยิ่ง และจักรพรรดิแดงฉานก็พยายามที่จะลองทลายฝ่าเวทปิดผนึก ร่างแยกของเทพสรรพชีวิตส่ายหัวและกล่าว “อย่าเสียแรงพยายามหลบหนีเลย เจ้าทำไม่ได้หรอก ฉินมู่และฉินเฟิงชิงได้ร่วมประสานพลังแล้ว และพวกเขาก็เชี่ยวชาญพลังอำนาจแห่งโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพโดยสมบูรณ์ สาเหตุที่เขาเปิดผนึกนั่นก็เพราะว่า เขาไม่กลัวพวกเรายื่นมือเข้าไปสอดอีกต่อไป”
สำนึกรู้จักรพรรดิแดงฉานเหาะเข้าไปในท้องฟ้า และเขาก็พบจริงๆ ว่าเวทปิดผนึกบนนั้นหนาแน่นอย่างไร้ปานเปรียบ ไม่มีหนทางที่จะทลายฝ่าไปได้จริงๆ
“ยอมแพ้เถอะ”
เทพสรรพชีวิตถอนหายใจ “พวกเราได้แต่หวังว่าฉินมู่จะยังมีเหตุมีผล และไม่ถูกพี่ชายของเขาควบคุม”
ในด้านกองทัพเทพยดาที่อารักขาด่านกุญแจหยกได้เปล่งรัศมีอันเข้มงวดขึงขังออกมา พวกเขายืนอยู่บนป้อมปราการสูง ในมือมีธนูและลูกศร สายตาของพวกเขาคมกล้า พวกเขารอรับคำสั่งอย่างเคร่งครัด
ตึง ตึง ตึง
เสียงฝีเท้าหนักหน่วงดังมาเมื่อแผ่นดินและขุนเขาสั่นสะท้าน เม็ดเหงื่อเย็นเยียบร่วงลงจากหน้าผากของเทพเจ้าทั้งหลาย
“อย่าไปกลัว!”
แม่ทัพมารตนหนึ่งน่าเกรงขามและมีท่วงทีอันเหนือธรรมดา วรยุทธของเขาสูงล้ำเลิศ และเห็นได้ชัดว่าเขาคือผู้บัญชาการทัพที่นี่ เขาปกป้องสถานที่แห่งนี้ภายใต้คำสั่งของภูติบดี เขาตะโกนไป “ไม่ต้องกลัว! ภูติบดีได้ปิดผนึกเขาเอาไว้มากว่ายี่สิบปี ต่อให้เขาทลายฝ่าเวทปิดผนึกออกมาในตอนนี้ อย่างมากเขาก็มีกำลังฝีมือระดับเดียวกับเมื่อยี่สิบปีก่อน ด้วยสมบัติวิเศษที่ภูติบดีมอบให้พวกเรา พวกเราไม่ต้องไปกลัวเขา!”
เขาตะโกน “พวกเรา กองทัพแห่งด่านกุญแจหยกไม่เคยกริ่งเกรงเทพโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ! เขามาที่นี่แล้ว ปราบเขาให้ล้ม!”
ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นเทพเจ้าสามเศียรหกกรเดินเข้ามา และเทพตนนั้นก็เต็มไปด้วยรอยประทับอักขระใต้พิภพไปทั่วทั้งร่าง รอยประทับเหล่านั้นดูราวจะแปรเปลี่ยนไปเป็นเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งแดนใต้พิภพ และฝังประทับเข้าไปในผิวหนังของเทพตนนี้!
เขามีหัวงอกขึ้นมาสามหัว หนึ่งนั้นเป็นหัวของเด็ก และอีกสองนั้นเป็นหัวของชายหนุ่ม ท่ามกลางหัวสองข้างนี้ หนึ่งนั้นมีสายตาอันสงบนิ่งและเย็นชา ส่วนอีกข้างหนึ่งมีสายตาอันรุ่มร้อนและอบอุ่น
แม่ทัพเทพยดามีสายตาอันตะลึงลาน และหางตาของเขาก็กระตุกบิดเบี้ยว “พวกเราจบเห่ พวกเราจบเห่แล้ว เมื่อตอนที่เขายังไม่รู้จักทักษะเทวะ พวกเราก็ยังพอจะสู้ได้อยู่ แต่ตอนนี้ความสำเร็จในทักษะเทวะใต้พิภพของเขาเหนือล้ำยิ่งกว่าใครๆ ในที่นี้…พวกเราจบสิ้น”
ฉินมู่สามเศียรหกกรเดินเข้าไปตรงหน้าค่ายทัพเทพเจ้า และมองไปยังไพร่พลเทวะทั้งหลาย
ฉินเฟิงชิงหันหัวมามองและแลบลิ้นเลียปากด้วยความตื่นเต้น “น้องชายตัวร้าย ด้วยวิธีการของเจ้า พวกเราสามารถกลืนกินพวกเขาทั้งหมดได้ในคำเดียว! ตราบเท่าที่เจ้าได้ลิ้มลองของอร่อยพวกนี้ เจ้าก็จะยิ่งโหยหาและรักชอบที่จะกินพวกมัน พวกมันสุดยอดมากๆ เลยนะ!”
ฉินมู่พลันโค้งคารวะและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนมารดา หากว่าเจ้าไม่ขัดขวางข้า เจ้าก็จะไม่ตาย ขอให้พี่ทางเต๋าทั้งหลายโปรดเปิดทาง”
แม่ทัพมารเทวะตนนั้นร่างแข็งทื่อ และเขามีเสียงอันแหบพร่า “ข้าพิทักษ์สถานที่แห่งนี้ภายใต้บัญชาของภูติบดี…”
ตูม
ฉินมู่พลันระเบิดออกไปและขับเคลื่อนทักษะเทวะมรรคาบู๊ของเขาในเสี้ยวพริบตา ย้อนพันฝ่ามือเหนือยอดสวรรค์พิสดารถูกปลดปล่อย และฝ่ามือ หมัด มุทรา และดรรชนีอันยิ่งใหญ่ปานขุนเขาก็ถล่มลงมาในบริเวณโดยรอบ ท้องฟ้าและผืนดินถูกบดขยี้ เกิดเหวลึกมหึมาขึ้น!
แม่ทัพมารผู้นั้นมองไปยังเหวลึกตรงหน้าค่ายทัพ และดวงตาของเขาก็บิดกระตุกอย่างรุนแรง ขนาดของเหวลึกนี้มีขนาดเท่ากับค่ายทัพเทพยดาอย่างพอดิบพอดี!
นี่ก็หมายความว่า หากการโจมตีของฉินมู่ตกลงไปบนพวกเรา เขาสามารถทำลายล้างทุกๆ คนไปได้อย่างสบายๆ!
“โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ เชิญ…” แม่ทัพมารเทวะตนนั้นผายมือ
ฉินมู่เดินไปสองก้าวก่อนที่จะหยุดชะงัก เหงื่อเย็นเยียบร่วงลงจากหน้าผากของแม่ทัพมารเทวะ ฉินมู่กล่าว “ข้าไม่รู้ทาง ข้าต้องการผู้นำทาง เชิญ”
แม่ทัพมารเทวะกัดฟันกรอดและเหาะออกไปจากค่ายทัพ เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าจะนำทางให้แก่โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพด้วยตนเอง!”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณ
แม่ทัพมารเทวะตนนั้นปลุกปลอบตนเองเพื่อเดินนำทางไปข้างหน้า เขาคอยแต่รู้สึกถึงสายตาที่จ้องจับบนคอของเขา ดังนั้นเขาจึงเหลียวหลังกลับไปมอง เขาเห็นทารกอ้วนจ่ำม่ำกำลังจ้องมองเขาด้วยน้ำลายไหลยืด
“อ้วนท้วนชุ่มฉ่ำอะไรอย่างนี้ ฮี่ๆ…น้องชายคนดี ให้ข้าเลียสักหน่อยเถอะ ข้าไม่กินเขาหรอก แค่ชิมรสชาตินิดเดียว…”
ในแดนใต้พิภพ ปราสาทสวรรค์โบราณมากมายสะท้านหวั่นไหวไปตามๆ กัน ตัวตนอันแข็งแกร่งอย่างไร้เปรียบปานต่างก็ลืมตาตื่นขึ้นมาทีละตนๆ
“โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพกลับมาอีกแล้ว?”
“หากว่าพวกเราสังหารเขาในคราวนี้ ภูติบดีคงพูดอะไรไม่ออกสินะ?”
“ไปล้างแค้นที่ด่านกุญแจหยกกัน!”
แดนใต้พิภพ บนร่างกายของภูติบดี เส้นแสงมากมายพุ่งวาบ และพวกมันก็นำพารัศมีอันเขื่องโขไปยังด่านกุญแจหยก ทั่วทั้งแดนใต้พิภพกลายเป็นคึกคักในชั่วพริบตา
ที่ดวงตาของภูติบดี ผู้เฒ่านำทางความตายมองไปที่ความอึกทึกครึกโครมเบื้องล่าง และสัมผัสได้ถึงรัศมีอันเก่าแก่โบราณ เขารู้สึกกระวนกระวายและกล่าว “ภูติบดี พวกเราควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือไม่ ข้าเกรงว่าวิญญูชนสวรรค์มู่จะขัดขวางพวกเขาเอาไว้ไม่ได้”
“เขาคือภูติบดีอีกคน”
เสียงของภูติบดีดังมาจากโถงวัง “ภูติบดีที่ไร้ข้อจำกัดผูกมัดใดๆ จะไม่สามารถขัดขวางคนพวกนั้นได้อย่างไร”
ผู้เฒ่านำทางความตายหัวใจสะท้าน