ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 760 กระถางสังหาร ตาข่ายสวรรค์
ข้างนอกด่านกุญแจหยกแดนใต้พิภพ ธงอันขาดวิ่นผืนหนึ่งปลิวสะบัดในสายลมเย็นเยือก ธงนี้เก่าคร่ำคร่าจนเกินไปและดูเหมือนว่าจะผ่านสงครามมาก่อน บนผืนธงมีร่องรอยของทักษะเทวะ และรอยไหม้ที่ทิ้งไว้จากอัคคี
บนธง มีกระทั่งสนิมที่เหมือนรอยเลือด
ผู้ที่ถือธงอยู่คือมารเทวะสี่แขนอันสูงร้อยห้าสิบวา แขนหนาใหญ่ทั้งสี่ของเขาถือจับเสาธง และสายตาของเขาก็คมกริบและแน่วแน่ เขาจ้องไปยังประตูใหญ่ด่านกุญแจหยกอย่างไม่ละสายตา
วิ้ว
ธงมหึมาปริแยกออกจากลมหนาวเหน็บอันดุดัน ริ้วผ้ายาวสะบัดปลิวไปในสายลมอันร้ายกาจ
ไม่ว่าริ้วผ้านั้นจะลอยไปที่ใด เทพเจ้าผู้ยิ่งยงก็ยืนอยู่อย่างขึงขังในกระบวนแถว พวกเขาสวมใส่เสื้อเกราะอันเก่าพังบนร่างกาย และถือเทพศาสตราและมารศาสตราที่แตกหักอยู่ในมือ พวกเขาล้วนแต่ยืนอยู่อย่างเงียบกริบข้างหลังธงใหญ่
จำนวนของเทพเจ้าที่มานั้นมากมายเกินไป พวกเขาเรียงราวกันยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา
และที่ใจกลางของกองทัพ มันก็มีฉัตรจักรพรรดิอันมีรูโหว่ใหญ่ๆ มากมาย ฉัตรนี้คลี่คลุมพื้นที่รัศมีหลายสิบลี้ และภายใต้ฉัตรก็มีเสาอันหนาใหญ่เท่าเสาค้ำฟ้า ข้างๆ มันนั้นคือบัลลังก์ที่ก่อขึ้นจากกระดูกมังกรขนด
สายลมนั้นรุนแรงเกินไป
ตัวตนมหึมาอันนั่งอยู่บนบัลลังก์สะบัดผ้าคลุมสีแดงเลือดของเขาเพื่อป้องกันไม่ให้มันถูกเป่าหลุดไปกับลมหนาว ใบหน้าของเขาซีดขาว และเขาไออย่างหนักหน่วงอยู่หลายครั้ง
“หลังจากจักรพรรดิแดงได้รับบาดเจ็บจากโอรสหยินสวรรค์ในคราวนั้น เจ้ายังไม่ฟื้นกลับมาดีอีกหรือ” หญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งมีร่างงูและศีรษะของมนุษย์เลื้อยเข้ามาใกล้เขา แต่นางกล่าวด้วยเสียงของบุรุษ
สีหน้าของจักรพรรดิแดงดูไม่ดีเท่าไรนัก และเขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “จักรพรรดิแดง? ข้าตายไปแล้ว ข้าไม่คู่ควรกับคำเรียกหาว่าจักรพรรดิแดง จักรพรรดิแดงคนปัจจุบันคือฉีเสียอวี๋ เด็กสาวคนนั้น เรียกข้าว่าเอี๋ยนเชียนจ้งเถอะ”
ลู่หลียิ้มอย่างหวานหยด “ในช่วงปลายยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง จักรพรรดิแดงต่อสู้กับฉีเสียอวี๋ แม้พ่ายแพ้ก็ยังสมเกียรติยศ แม้ว่าจักรพรรดิแดงจะตายไป ฉีเสียอวี๋ก็ได้แต่ต้องยอมแพ้ให้แก่เจ้า…”
เอี๋ยนเชียนจ้งไม่สบอารมณ์ “ไสหัวไป”
“รับทราบ”
ลู่หลีใบหน้าเกลื่อนยิ้มและนางเดินไปยังค่ายทัพอื่น กองทัพเทพเจ้าที่มีไพร่พลนับไม่ถ้วนเหล่านี้มิใช่กำลังรบทั้งหมดที่มาในคราวนี้ พวกเขาเป็นเพียงแค่กองทัพเทพยดาภายใต้บัญชาของเอี๋ยนเชียนจ้ง
เดิมทีเอี๋ยนเชียนจ้งเป็นจักรพรรดิแดงแห่งสภาสวรรค์เดิม ในช่วงปลายยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง สภาสวรรค์เดิมหมายที่จะทำลายล้างสภาสวรรค์จักรพรรดิสูงส่ง จักรพรรดิแดงเอี๋ยนเชียนจ้งเผชิญหน้ากับฉีเสียอวี๋ และแม้ว่าทั้งสองยอดยุทธระดับบัลลังก์จักรพรรดินี้จะแข็งแกร่งไร้ปานเปรียบ แต่ฉีเสียอวี๋ก็เก่งกาจกว่าเล็กน้อย และนางก็สามารถสังหารเอี๋ยนเชียนจ้งได้สำเร็จ
แต่ทว่า ฉีเสียอวี๋ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และถูกสภาสวรรค์เดิมจับตัวไป นางถูกบังคับให้ศิโรราบและกลายมาเป็นจักรพรรดิแดงสวรรค์ทักษิณคนใหม่
นี่คือเรื่องราวที่ลู่หลีฟื้นฝอยขึ้นมาเมื่อครู่นี้
เดิมทีเอี๋ยนเชียนจ้งเป็นจักรพรรดิแดง และหลังจากที่เขาตายไป เขาก็ลงมาเป็นจักรพรรดิภูตผีในแดนโบราณวินาศ แต่ทว่าเขานั้นห่างไกลจากความสำราญทางเนื้อหนัง หลังจากที่เขากลายเป็นภูตผี เขาก็ได้สูญเสียสัมผัสเนื้อหนังทั้งหมด สิ่งใดที่เขากินไม่มีรสชาติ และเขาไม่อาจได้กลิ่นหอมของดอกไม้ แม้ว่าเขาจะอยู่เลิศล้ำเหนือผู้คนทั้งหลาย เขาก็ยังคงต้องรับคำสั่งจากสภาสวรรค์ ดังนั้นเขาย่อมอารมณ์ไม่ดี
ลู่หลีกระตุ้นเตือนเขา และยิ่งทำให้เขาหงุดหงิด
ลู่หลีมายังค่ายทัพข้างๆ เขา และนางก็เห็นเทพเจ้าผู้ใหญ่โตมโหฬารเกินจะเทียบเทียมยืนอยู่ตรงนั้น ร่างของเขาเหมือนกับหินผา นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รัชทายาทจิ่วซี บุตรแห่งพระแม่ธรณี อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“ในช่วงหลายปีมานี้ ข้าได้กลืนกินดวงวิญญาณไปมากมาย และก็ฟื้นฟูกลับมาในที่สุด”
ยักษ์หินเอี๋ยนจิ่วซีฉีกยิ้มและกล่าว “การศึกในวันนี้ ข้าจะต้องเด็ดหัวโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพมาให้จงได้!”
เทพเจ้าที่อยู่ใต้บัญชาของเขาล้วนแต่เป็นครึ่งเทพ และเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นครึ่งเทพตนหนึ่งอันเป็นทรราชย์ที่ปกครองแดนดินในช่วงยุคสมัยหลงฮั่น!
ลู่หลีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รัชทายาทจิ่วซี คราวนี้พวกเรามิได้พยายามสังหารโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ พวกเราเพียงแต่จะช่วงชิงชะตา และแย่งชิงกายเนื้อของเขาเท่านั้น”
เอี๋ยนจิ่วซีแค่นเสียง และคำพูดของเขาก็กึกก้องไปดุจอสุนีบาต “ลู่หลี่ อย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ากำลังวางแผนอะไรอยู่ เมื่อครั้งกระโน้น ตอนที่เจ้าเชื้อเชิญเทพเจ้าทั้งหมดในแดนใต้พิภพเพื่อล้อมปราบโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ เจ้าก็ลงเอยด้วยการสูญเสียผู้คนของพวกข้า และแม้กระทั่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ในภายหลัง เจ้าก็รวบรวมอิทธิพลอำนาจของพวกข้าเพื่อสร้างสรรค์เทพศาสตราที่เรียกว่าตาข่ายสวรรค์สะกดเทพยดา และบอกว่าเจ้าต้องการจับตัวโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพมาให้พวกข้าจัดการตามใจ แต่ทว่า หลังจากที่สร้างตาข่ายสวรรค์สยบเทพยดาขึ้นมาแล้ว เจ้าก็ถ่วงเวลาไม่ลงมือเสียที ความทะเยอทะยานของเจ้าสูงล้ำ และเจ้าก็กำลังคิดที่จะกลายเป็นภูติบดีอีกคน!”
ลู่หลีผงกศีรษะและยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขากล่าว “ข้าไม่เคยมีโอกาสลงมือในโลกแห่งคนเป็น และตาข่ายสวรรค์สยบเทพยดาอาจจะไม่สามารถกำจัดเขาได้”
นางมายังอีกค่ายทัพหนึ่งและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เทพีเสวียนอู่จี!”
เทพีอู่จีเหลือบแลนางและกล่าวอย่างชืดชา “ไม่จำเป็นต้องพูดจาให้มากความ โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพและข้ามีความแค้นอันลึกล้ำ พวกข้ามิอาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน แต่ถึงอย่างไร ลู่หลี เจ้าก็ไม่ใช่ตัวดีอันใดเช่นกัน หากว่าไม่ใช่เพราะเจ้าเอาชนะโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพไม่ได้ และมาเรียกบุตรของข้าไปช่วย บุตรของข้าจะถูกเขาจับกินไหม”
ลู่หลีกล่าวอย่างเที่ยงธรรม “บาปกรรมของโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพท่วมฟ้า และเขาก็เป็นความชั่วร้ายอันมหันต์ในแดนใต้พิภพ เทพีอู่จีกระเดื่องเลื่องลือในการศึกสงคราม ทำลายล้างสภาสวรรค์มากมายจนกระทั่งดับสิ้นกันไปข้าง ลู่หลีเคารพเลื่อมใสท่านอยู่เสมอ แล้วทำไมข้าถึงจะจงใจปล่อยให้องค์ชายไปทิ้งชีวิตเสียล่ะ”
นางไปยังอีกค่ายทัพหนึ่งและโค้งคารวะ “เทพครองดาวมหาตะวัน”
นั่นคือจิตวิญญาณดั้งเดิมที่มีเพียงสามวิญญาณของเทพเจ้าก่อนฟ้าดิน เทพบรรพกาลอันปราศจากจิตทั้งเจ็ด พวกเขามีเพียงแค่วิญญาณทั้งสาม
เทพครองดาวมหาตะวันคนปัจจุบันในสภาสวรรค์เป็นยอดฝีมือจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ในขณะที่จิตวิญญาณดั้งเดิมในแดนโบราณวินาศนี้ คือเทพครองดาวมหาตะวันตัวจริง
เทพครองดาวมหาตะวันเหมือนกับนกตัวใหญ่มหึมาที่ยืนอยู่บนขาทั้งสามข้าง ขนนกของเขาเรียบลื่นไปกับร่างกายและไม่ปัดเป๋เลยแม้แต่น้อย “ผู้บัญชาการแคว้นไม่ต้องกังวล พวกเราจะไม่ปล่อยให้โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพหลบหนีไปได้ในคราวนี้”
“ความเร็วของเทพครองดาวมหาตะวันไร้เทียมทานในโลกหล้า เจ้าจะต้องไล่ต้อนจนเขาไม่มีที่ซุกหัวหนีแน่นอน”
ลู่หลียังคงเดินต่อไปเพื่อเยือนคารวะแก่ผู้มีอิทธิพลในแดนใต้พิภพ ผู้มีอิทธิพลบางคนก็ถึงกับแปลงร่างเนื้อเป็นปราสาทสวรรค์ และจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาก็นั่งอยู่บนบัลลังก์จักรพรรดิในปราสาทสวรรค์นั้น ดูน่าเกรงขามและประทับใจ
ผู้มีอิทธิพลเหล่านี้คือยอดฝีมือในขั้นตำหนักชิดฟ้าและบัลลังก์จักรพรรดิที่ได้ตายลงไปในช่วงหนึ่งล้านปีที่ผ่านมา และก็ยังมีครึ่งเทพบางตนที่ตายไปก่อนนั้นเสียอีก เนื่องจากความชราภาพเสียก่อนที่จะระบบการฝึกวรยุทธทักษะเทวะและปราสาทสวรรค์จะปรากฏขึ้นมาในโลก
แต่ถึงอย่างไร กำลังฝีมือของพวกเขาก็น่าตื่นตระหนก แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีเขตขั้นวรยุทธ แต่กำลังฝีมือของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่ายอดฝีมือขั้นตำหนักชิดฟ้าและบัลลังก์จักรพรรดิ
ลู่หลีเยือนคารวะตลอดทางและพบกับผู้มีอิทธิพลหนึ่งร้อยตน ก่อนที่จะมายังค่ายทัพของนางเอง
ในค่ายนี้ มีมารเทวะใต้พิภพเหลืออยู่เพียงร้อยตน และสัตว์ประหลาดเพียงไม่กี่พัน
การโจมตียมโลกเมื่อคราวก่อน ผู้เฒ่านำทางความตายจู่ๆ ก็ย่องออกไป และทำให้นางต้องทิ้งกองทัพเพื่อหลบหนีกลับเข้ามาในแดนใต้พิภพ ที่เหลือนั้นถูกเข่นฆ่าไปเกือบหมด
เจว้หวง เสวียนหมิง และหานเหลยลุกขึ้นมา มารเทวะหนึ่งร้อยและสัตว์ประหลาดหลายพันพวกนี้คือกำลังทหารทั้งหมดเท่าที่สี่มหาผู้บัญชาการแคว้นครอบครองอยู่
เสวียนหมิงเต็มไปด้วยความกังวล และเขาก็ขมวดคิ้ว “คราวก่อนก็มียอดยุทธฝีมือแกร่งมากมาย แต่พวกเขาก็ถูกฆ่าล้างผลาญอย่างน่าสังเวชไปเมื่อคราวก่อนไม่ใช่หรือ คราวนี้พวกเราจะจับเขาได้จริงๆ หรือ”
ลู่หลีเต็มไปด้วยความมั่นใจ ยิ้มกล่าว “คราวนี้มันต่างออกไป เมื่อคราวก่อนพวกผู้มีอิทธิพลมั่นใจในตนเองมากเกินไป และคิดว่าจะเอาชนะเขาได้ จึงล้วนแต่ไปสู้กับเขาตัวต่อตัว และไม่มีใครที่เข้ากลุ้มรุมต่อสู้กับเขา ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงสูญเสียความได้เปรียบ โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพสู้ไปพลางหนีไปพลาง ดังนั้นเขาจึงง่ายที่จะลงมือร่ายกระบวนท่า”
นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มหัวและกล่าว “ตอนนี้พวกวัตถุโบราณพวกนั้นคงจะหน้าด้านกว่าเดิม ตราบใดที่พวกเราตั้งทัพอยู่ที่นี่และขัดขวางหน้าประตูด่านกุญแจหยกเอาไว้ เขาก็ไม่มีทางหนีไปไหนรอด ด้วยยอดฝีมือขั้นตำหนักชิดฟ้าและบัลลังก์จักรพรรดิมากมายขนาดนี้ ชีวิตเขาก็ไม่ได้อยู่ในกำมือเขาอีกต่อไป! ยิ่งไปกว่านั้น…”
นางมองไปยังค่ายทัพ และที่ใจกลางค่าย มารเทวะและสัตว์ประหลาดมากมายกำลังอารักขาเทพศาสตรามหึมาชิ้นหนึ่ง
รูปทรงของเทพศาสตรานี้เหมือนกับกระถางยักษ์ และผนังของมันตราประทับเอาไว้ด้วยอักษรรูนทุกชนิด ก่อขึ้นมาเป็นภาพของดิน น้ำ ลม ไฟ ภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ และมหาสมุทร ทั้งยังมีภาพของครึ่งเทพ มนุษย์หัวมังกร มนุษย์หัวหงส์เพลิง มนุษย์หัวพยัคฆ์ ฯลฯ
บนผนังข้างในกระถางคือสุริยันจันทรา และดวงดาวทั้งหลาย ขณะที่ใต้กระถางนั้นคือเวทปิดผนึกจำนวนนับไม่ถ้วน
ลู่หลีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กระถางนี้จะเป็นสมบัติวิเศษที่ใช้เคี่ยวหลอมเขา เมื่อภูติบดีกลับชาติไปเกิด เขาก็ได้หลอมสร้างกระถางสังหารนี้ เขาสังหารเทพบรรพกาลและครึ่งเทพมากมายเหลือคณานับในตอนนั้น และสามารถใช้พวกนั้นเพื่อหลอมสร้างมารเทวะศาสตราอันแข็งแกร่งที่สุดในแดนใต้พิภพ! กระถางสังหารใต้พิภพสามารถกักขังเขาเอาไว้ได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนี่”
นางนำเอาฝาสี่เหลี่ยมออกมา และฝานั้นประทับรอยเอาไว้ด้วยสวรรค์กลมและพิภพจัตุรัสจำนวนมาก
ในสวรรค์กลมคือแดนปริศนาและพิภพจัตุรัสคือแดนใต้พิภพ
“ตราบเท่าที่เราฉวยโอกาสระหว่างที่โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพเริ่มต่อสู้กับพวกเขา เพื่อลอบดูดเขาเข้าไปในกระถางสังหารใต้พิภพ เขาก็จะทำอะไรไม่ได้เลยเมื่อพวกเราปิดทับลงไปด้วยตาข่ายสวรรค์สะกดเทพยดา!”
ในจังหวะนั้นเอง ประตูแห่งด่านกุญแจหยกก็เปิดออก และเสียงแตรเขาสัตว์ลั่นมา มันตามด้วยเสียงตีกลองศึกที่กึกก้องสะเทือนอก
สายตานับไม่ถ้วนมองไปยังประตูที่เปิดอ้า และพวกเขาก็เห็นเทพเจ้าสามเศียรหกกรตนหนึ่งเดินออกมาอย่างเยือกเย็น
“โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ!”
เทพและมารจากค่ายทัพส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ และรัศมีอันเข้มงวดเปี่ยมวินัยที่กดทับลงมายังทุกๆ คนก่อนหน้านี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวที่แพร่กระจายไปท่ามกลางทวยเทพ
ความกลัว
กาลครั้งหนึ่ง ไม่มีใครใส่ใจโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ แต่หลังจากการต่อสู้อันดุเดือดเมื่อยี่สิบสองปีก่อน ที่สัประยุทธ์กันลงมาจากเขาเก้าบิดจนกระทั่งถึงซากสมรภูมิข้างหลังพวกเขา มีตัวตนอันสลักสำคัญสังเวยชีวิตมากมายเกินไป พวกเขาถูกโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพกลืนกินเข้าไป และดวงวิญญาณก็ถูกย่อยสลาย!
โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพได้ลบล้างตัวตนอันทรงอำนาจจำนวนนับไม่ถ้วนออกไปจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง!
ความโหดเหี้ยมของเขาทำให้แม้แต่มารเทวะที่ดุร้ายที่สุดก็ไม่กล้าเอ่ยนามของเขาแม้ว่าเขาจะถูกเนรเทศออกไปยี่สิบสองปีก่อน!
ฉินมู่ก้าวไปทีละก้าวออกไปจากประตูเมือง ข้างหลังเขา ประตูอันหนาหนักแห่งด่านกุญแจหยกค่อยๆ ปิดลงไป ทันใดนั้น สายตาของเขาก็จ้องเขม็งไปยังค่ายทัพ และเขาก็เห็นเทพเจ้าที่ดูเหมือนกับมนุษย์ต้นไม้
ฉินมู่ตกตะลึงขณะที่ประตูปิดเสียงดังสนั่น ลมแรงกระโชกออกมา
“พี่ชาย ดูเหมือนว่าข้าจะเห็นท่านพ่อ” เขากล่าวอย่างแผ่วเบา
“ท่านพ่อ?”
ทารกหัวโตข้างๆ คอของเขายังคงทำหน้าบูดอยู่ และเขาก็แค่นเสียงเฮอะ “ท่านพ่อคงจะชอบเจ้ามากกว่าใช่ไหมล่ะ หากว่าท่านพ่อเห็นข้าแล้วก็เห็นเจ้า เขาก็จะต้องไปอุ้มเจ้าขึ้นมากอดมาหอม เขาจะไม่กอดไม่หอมข้า ท่านพ่อ ท่านช่างลำเอียงนัก”
ฉินมู่ระเบิดหัวเราะออกมา และเขามองไปกระบวนทัพเทพเจ้าตรงหน้า มันกว้างใหญ่ไพศาลและไม่มีจุดสิ้นสุด มีก็แต่ธงศึกอันขาดวิ่นและเรือเหาะที่มองเห็นอยู่บนอากาศ
“พี่ชาย ทักษะเทวะที่เจ้าร้องเสียง อา อา อา มันขับเคลื่อนออกมาอย่างไร” เขาถามด้วยรอยยิ้ม
ทารกหัวโตกอดอกและยิ้มหยัน “อา อา อา อะไร”
ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและกล่าว “มันน่าจะเป็น ชี่ ชี่ ชี่ เหมือนกับดูดลมเข้าไปเพื่อดึงดูดดวงวิญญาณและจิตวิญญาณดั้งเดิมเข้ามา ทักษะเทวะที่ใช้สำหรับกลืนกิน ข้าเห็นเทพเจ้าหลายพันเหลือเพียงแต่เปลือกอันว่างเปล่าในปราสาทสวรรค์แห่งหนึ่งในแดนใต้พิภพ จิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาถูกเจ้ากินเข้าไปหมด”
“เจ้าหมายถึงอันนั้นหรือ”
ทารกยักษ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้านี่โง่จริงๆ เจ้าก็แค่สูดลมหายใจเข้าไป”
ฉินมู่ตะลึง และเขาก็ร้องออกมา “ข้าก็แค่สูดลมหายใจงั้นหรือ เจ้าเคยคิดดูถึงหลักเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังมันไหม เส้นทางไหนที่เจ้าใช้เวลาสูดลมหายใจ อักษรรูนพื้นฐานไหนที่เจ้าใช้สอย”
ทารกหัวโตเหม่องง
ฉินมู่ถอนหายใจและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พี่ชาย เพราะพลังอำนาจของเจ้ามีคุณภาพอันเลิศล้ำจนเกินไป ทำให้เมื่อเจ้ายกมือวาดเท้า ก็เท่ากับร่ายทักษะเทวะออกมาไปหมด ข้านั้นไม่เก่งกาจเท่า ดังนั้นข้าจึงต้องเค้นสมองคิดและตรึกตรองทำความเข้าใจทักษะเทวะ ดังนั้นข้าจะต้องขบคิดถึงหลักเหตุผล ขบคิดการใช้สอยมรรคา วิชา และทักษะเทวะ และยังรวมถึงอักษรรูนพื้นฐาน ทักษะเทวะใต้พิภพและหลักกฎแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ล้วนแต่อยู่ในนิพนธ์ใต้พิภพ เจ้ารู้แต่ว่าจะใช้มันอย่างไร แต่เจ้าไม่รู้หลักเหตุผลว่ามันมาได้อย่างไร”
เขาก้าวออกไปข้างหน้า ร่างกายของเขาสูงใหญ่ขึ้นและสูงใหญ่ขึ้น เขาแบ่งสองแขนให้ฉินเฟิงชิงควบคุม ขณะที่เขาควบคุมอีกสี่แขน
เขายืดแขนทั้งสี่ออกไปราวกับว่าเขาพยายามจะโอบอุ้มสวรรค์และพิภพ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ชาย เบิ่งตาดูให้ดีๆ ถึงทักษะเทวะใต้พิภพที่ข้าตรึกตรองเข้าใจมา”
บนแผ่นดินอันดึกดำบรรพ์ที่สุดใต้ฝ่าเท้าของภูติบดี ปราณมารอันเข้มข้นและดิบดำที่สุดไหลพรั่งพรูมายังเขาอย่างเชี่ยวกราก ประกายสายฟ้าและเสียงฟ้าคำรามปรากฏให้เห็นและให้ได้ยินมาจากความมืด
“ตายซะ!”
เสียงร้องเกรี้ยวกราดราวกับคลื่นอสุนีบาตดังมาจากค่ายทัพฝั่งตรงข้าม และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพเจ้านับไม่ถ้วนก็พลันกรูกันเข้ามาพร้อมกับศาสตราวุธในมือ ทักษะเทวะมากมายไร้ประมาณสร้างแสงสว่างอาบย้อมไปทั้งด่านกุญแจหยก และหลังจากแสงของทักษะเทวะ มันก็คือเทพศาสตราจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยังคงมีฤทธานุภาพอยู่แม้ว่ามันจะแตกหักไปแล้ว!
ทารกหัวโตตื่นเต้นขึ้นมา และเขาก็ทำท่าจะลงมือใช้กระบวนท่า แต่ทันใดนั้นฉินมู่ก็หันกลับไป ปากบนใบหน้าเขาอ้าออก และภาษาเทพใต้พิภพก็ดังออกมาจากปากของเขา
วูชชช
เทพเจ้านับไม่ถ้วนที่กำลังวิ่งตะบึงเข้ามาพลันร่วงล้มราวกับฟองคลื่นขาวในมหาสมุทร สิ่งที่ร่วงล้มอยู่กับพื้นล้วนแต่เป็นโครงกระดูกขาวโพลนปานหิมะ เทพเจ้าที่ตายไปแล้วเหล่านี้ก็ได้นำซากสังขารของตนเข้ามาในแดนใต้พิภพ และจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาก็สิงสถิตอยู่ในซากศพเหล่านั้น ทว่าในตอนนี้ ร่างกายของเทพเจ้านับไม่ถ้วนกำลังเน่าเปื่อยด้วยความเร็วที่ตามองเห็น!
เพราะว่าพวกเขากำลังวิ่งฮือเข้ามา โครงกระดูกจึงได้แต่กลิ้งม้วนไปข้างหน้าทำให้พวกเขาก่อขึ้นเป็นคลื่นกระดูกขาวที่เหยียดยาวไปหลายพันลี้
ใบหน้าอีกหน้าของฉินมู่หันมา และเขาสูดลมหายใจลึก ใบหน้าก่อนยังคงร่ายมนตรา และจิตวิญญาณดั้งเดิมจำนวนนับไม่ถ้วนจากโครงกระดูกขาวก็โบยบินกลับมา ทักษะเทวะมากมายไร้ประมาณ เทพศาสตรา มารศาสตรา ต่างก็สูญเสียการควบคุมและระเบิดออกอย่างไม่หยุดหย่อนกลางอากาศ อาวุธแตกหักปลิวว่อนและร่วงไปทั่วสารทิศ
จิตวิญญาณดั้งเดิมเหล่านี้มีจำนวนหลายหมื่น และพวกมันก็พรั่งพรูเข้ามาโดยควบคุมตนเองไม่ได้!
ฉินมู่หันกลับไป “พี่ชาย ตาเจ้าแล้ว!”
ทารกหัวโตนั้นตื่นเต้นอย่างฉุดไม่อยู่ เขาอ้าปากกว้างราวกับปลาวาฬและกลืนเอาจิตวิญญาณดั้งเดิมหลายหมื่นตนของเทพเจ้าเหล่านั้นเข้าไปทั้งหมด!
ฉินมู่หันไปอีกครั้ง และยกฝ่ามือขึ้น เทพศาสตราและมารศาสตราจำนวนนับไม่ถ้วนแข็งค้างอยู่บนเวหา
เขาสืบเท้าออกไปหนึ่งก้าว และอาวุธมากมายไร้ประมาณบนท้องฟ้าก็ตามการเคลื่อนไหวของเขาไปเพื่อวกกลับกดดันฝ่ายตรงข้าม