ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 764 อาโฉ่ว (2)
พลังอำนาจของตาข่ายสวรรค์ถูกเร่งเร้าจนถึงขีดสุด และดาราจักรก็โถมซัดเข้ามาเพื่อแปรเปลี่ยนไปเป็นรอยประทับฝ่ามือยักษ์โดยฉับพลัน ฝ่ามือนั้นกดลงมาและฉินมู่ก็ยกแขนทั้งสี่ของเขาขึ้นสูงเพื่อยันดาราจักรอันมโหฬารนี้เอาไว้ ร่างของเขาก็จมลงไปข้างล่างอย่างต่อเนื่องจากแรงกดดัน
ในจังหวะนั้นเอง ดวงตาที่สามบนศีรษะภูติบดีทั้งสี่หัวก็เปิดออก และลำแสงสี่ลำยิงกรีดมา แผ่นดินใต้เท้าของฉินมู่ถูกเฉือนตัดเป็นเสี่ยงๆ และร่วงแตกจากกัน
มือดาราจักรนั้นตบฟาดลงมายังฉินมู่อย่างไร้ปรานี และฉินมู่ก็ถูกกดลงไปยังก้นบึ้งของฝ่ามือ เสียงลมหวีดหวือข้างๆ หูเขา และเสียงต่างๆ ก็ซ้อนทับกันเป็นหนึ่งเดียว ปราณมารถูกกดกระแทกลงไปจนกระทั่งมันหนาราวกับกำแพง ก่อขึ้นมาเป็นแผ่นดินอันบดอัดเขาเอาไว้ระหว่างกลาง
ตูม!
พลังอำนาจของมือดาราจักรแผ่พุ่งออกไป และพลังฝ่ามือก็ฟาดลงไปยังก้นกระถาง กระถางยักษ์สั่นสะเทือนอย่างร้ายกาจ กระดูกและเส้นเอ็นของฉินมู่แตกหักไปหมด คอของเขาหัก แขนขาก็บิดเบี้ยว เขานอนแผ่อยู่กับพื้นด้วยสารรูปอันผิดประหลาด อีกด้านหนึ่งนั้น ฉินเฟิงชิงยังคงดูดหัวแม่มือและหลับสนิท
ฉินมู่ริเริ่มต่อสู้กับพลังอำนาจของฝ่ามือดาราจักรด้วยตนเอง และช่วยป้องกันพลังอำนาจของมันให้แก่ฉินเฟิงชิงด้วยกำลังทั้งหมดที่เขามี ทำให้ฉินเฟิงชิงไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ในทางตรงข้ามฉินมู่กลับเต็มไปด้วยบาดแผล
ฝ่ามือดาราจักรสลายไป และแสงดาวก็ไหลขึ้นไปอย่างเร็วรี่ประดุจพายุหมุน พวกมันหายวับไปอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินมู่ถูกทุบตีจนยับเยินขนาดนี้ เขานอนแผ่อยู่ที่นั่นโดยไม่ไหวติง และพลังวัตรในร่างกายของเขาก็แล่นสะเปะสะปะไปหมด จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และในตอนนั้นเอง พลังอำนาจของกระถางสังหารก็พลันเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างดุเดือด และปราณมารใต้พิภพก็เห่อเหิมมา ปราณมารไหลเข้าไปเติมเต็มทั้งร่างกายของเขา
ฉินมู่ประหลาดใจแกมยินดี ใครน่ะที่มารักษาอาการบาดเจ็บให้กับข้า คือภูติบดีหรือ เขาไม่ได้ดูจะเป็นคนดีขนาดนั้นหรอกนะ…
พลังวัตรของเขาฟื้นฟูกลับมาเต็มเปี่ยมในพริบตา และเขาก็รีบขับเคลื่อนวิชาเสกสรรเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บของตน
ด้วยพลังอำนาของกระถางสังหารที่ไหลบ่าเข้ามาอย่างแข็งแกร่งมากขึ้นทุกทีๆ ก็มีพลังวัตรไหลเข้ามาในตัวเขามากขึ้นและมากขึ้น บาดแผลของฉินมู่ทั้งหลายฟื้นฟูกลับมาดีอย่างรวดเร็ว แต่พลังอำนาจของกระถางสังหารก็ยังเพิ่มพูนไปอย่างเชี่ยวกราก!
มีบางอย่างผิดปกติ…
กายเนื้อของฉินมู่โป่งพองขึ้นมาจากปราณมารอันรุนแรง และร่างกายของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว้าวุ่น และรีบร้องเรียก “พี่ชาย พี่ชาย ตื่นเร็วเข้า เจ้าย่อยอาหารเสร็จหรือยัง ข้าน่ะเกือบจะไม่ไหวแล้ว…”
เขานั้นถูกยัดพลังเข้าไปจนรู้สึกมึนงง และสายตาของเขาก็กลายเป็นพร่าเลือน ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเฒ่าชรากล่าวกลั้วหัวเราะ “อาโฉ่ว อย่ามัวแต่ง่วนเป็นผึ้งงาน ภรรยาเจ้าท้องโตขนาดนี้แล้ว แต่เจ้าก็ยังปล่อยให้นางทำงานบ้านอีกหรือ เจ้าจะไม่ไปช่วยนางสักหน่อยหรือ”
สายตาของฉินมู่กลายเป็นชัดเจนขึ้น และเขาก็สามารถมองเห็นเนินเขาเขียวและธารน้ำใส ได้ยินเสียงของนก และได้กลิ่นหอมของดอกไม้ หญิงชราผมขาวผู้หนึ่งแย้มยิ้มพลางมองมาที่เขา ขณะที่นางยืนอยู่หน้าบ้านพลางค้ำยันร่างกายเอาไว้ด้วยไม้เท้า
ฉินมู่ตกตะลึง เขาได้ยินเสียงของเขากลายเป็นหยาบกร้านและแหบพร่า “ท่านแม่ ข้ารู้ เดี๋ยวข้าจะไปช่วยนาง”
ฉินมู่ตะลึงไป มีก็แต่ตอนนี้ที่เขาเพิ่งสังเกตพบว่าเขากำลังพรวนดินด้วยด้วยจอบเหล็ก
เขามองไปยังมืออันหยาบกร้านที่กำลังวางจอบเหล็กลงไปพลางลุกขึ้นยืนตรง เขานั้นสูงเป็นอย่างยิ่ง ถึงราวๆ สิบสองคืบ
ฉินมู่ฉงนฉงาย และเขาก้มลงมองเงาสะท้อนบนพื้น จิตคิดของเขากระเจิดกระเจิงไปหมด
เงาร่างบนพื้นนั้นมีเขาวัวที่ศีรษะ และยังมีหางวัวที่ท้ายสะโพกของเขาอีกต่างหาก!
นี่ไม่ถูกต้อง นี่ไม่ใช่ข้า…
เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถควบคุมกายเนื้อของตนเองได้ เมื่อเขาเดินตรงไปยังบ้านหลังนั้น ในเรือนตึก อันไม่ได้ใหญ่โต เขาเห็นสตรีอ่อนโยนและเป็นแม่ศรีเรือนคนหนึ่ง กำลังซักผ้าอยู่ด้วยท้องโตๆ ด้วยความยากลำบาก
เขารีบเดินเข้าไปและพยายามที่จะใช้น้ำเสียงอันอ่อนโยนที่สุดเพื่อกล่าววาจา “ที่รัก ระวังจะกระเทือนเด็กในท้อง ให้ข้าเป็นคนทำเถอะ!”
หญิงผู้นั้นพยายามอย่างดีที่สุดที่จะยืดหลังให้ตรงขึ้นมา และเขาก็ช่วยพยุงนางลุกขึ้น ส่วนตัวเขาเองนั่งลงไปเพื่อซักผ้า
ตอนนี้เอง ฉินมู่มองเห็นใบหน้าของเขาอยู่ในน้ำ
เขามีดวงตาของเสือ และลายพาดกลอนบนใบหน้า บนศีรษะของเขาคือเขาวัวคู่หนึ่งที่มีเก้าบิด
แม้ว่าเขาจะมีดวงตาเสือ แต่ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ภูติบดี…
ฉินมู่จิตคิดโล่งขาว และเขาฟื้นสติกลับมาได้หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หรือนี่จะเป็นความทรงจำของกระถางสังหาร อันหมายความว่าตอนนี้ข้ากำลังอยู่ข้างในความทรงจำของกระถางสังหารของภูติบดี กระถางสังหารนี้มีพรายวิญญาณเกิดขึ้นแล้ว…
ภูติบดีได้กลับชาติไปเกิดเป็นมนุษย์ในยุคสมัยหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว และเมื่อผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายกล่าวถึงเรื่องนี้ เขายังพูดอีกว่าภูติบดีนั้นอัปลักษณ์เกินไปจนไม่เป็นที่ต้อนรับของผู้คน หลังจากนั้นเทพบรรพกาลบางพวกก็ได้วางแผนร้ายตลบหลังเขา และสังหารภรรยาและบุตรสาวของเขา เป็นผลให้สันดานมารของภูติบดีสูญเสียการควบคุม และเขาก็สังหารตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวไปมากมาย
ความทรงจำของกระถางสังหารคงจะเป็นเหตุการณ์นี้
ฉินมู่รู้สึกราวกับว่าเขาได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นภูติบดี และเขานั้นก็กำลังเข้าไปใช้ชีวิตในความทรงจำนั้นอีกครั้ง
ภูติบดีอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง และแม้ว่าเขาจะดูป่าเถื่อนดุร้าย แต่เขาก็ดีกับภรรยาเป็นอย่างมาก นางนั้นเป็นแม่ศรีเรือนที่กตัญญูต่อผู้เฒ่าในบ้านยิ่งนัก หญิงชราผู้นี้คือมารดาของภูติบดี และนางได้ตั้งครรภ์มาเป็นเวลาหลายปีโดยมิได้ให้กำเนิด เมื่อในที่สุดนางให้กำเนิดภูติบดีออกมา นกกาก็บินว่อนเกลื่อนท้องฟ้านอกหน้าต่าง และเมื่อนางมองไปยังทารกของตนเอง ทารกของนางก็ถึงกับเป็นสัตว์ประหลาดที่มีใบหน้าเสือและมีเขาของวัว
ทุกคนล้วนกล่าวว่าเขาเป็นร่างอวตารของราชามาร และหมายที่จะสังหารทารก แต่หญิงชราผู้นี้เก็บเขาเอาไว้ นางให้ชื่อเล่นกับเขา อาโฉ่ว นางเลี้ยงเขามาด้วยความเหนื่อยยากและทำให้เขาสามารถเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ได้
เมื่อภูติบดีเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เขาก็สำแดงพละกำลังอันโดดเด่นและทักษะเทวะอันเหนือธรรมดา แต่ทว่า เขาคิดถึงบ้านและไม่อาจจะหักใจไปจากมารดาเฒ่าของเขาได้
แต่ถึงกระนั้น แม้ว่าหน้าตาของเขาจะอัปลักษณ์ แต่ก็ยังมีบางคนที่ตกหลุมรักเขา และนั่นก็คือภรรยาของเขา
“แม้แต่คนอัปลักษณ์ก็ยังเป็นที่ต้องการ” หญิงเฒ่ามีความสุขเป็นอย่างยิ่ง และนางคอยถนอมเอ็นดูบุตรชายและลูกสะใภ้ของนางเป็นอย่างมาก
ครอบครัวนี้อยู่เป็นสุข และไม่นานนักภรรยาของเขาก็ตั้งครรภ์ นางให้กำเนิดทารกหญิงและชาย ภูติบดีร่ำไห้จากความสุขที่ล้นทะลัก และเขาก็อุ้มเด็กทั้งสองด้วยความยินดี และสอนพวกเขาทั้งคู่ให้ฝึกวิทยายุทธ ชีวิตของพวกเขาสุขสันติไร้กังวล
แม้ว่าภูติบดีจะหน้าตาอัปลักษณ์ ตอนนี้เขากลับดูเหมือนมนุษย์มากกว่าแทนที่จะเป็นเทพบรรพกาลอันไร้ความลำเอียงแห่งแดนใต้พิภพ
ชื่อเสียงของเขาโด่งดัง แต่เขานั้นก็พึงพอใจกับสิ่งที่เขามีเป็นอย่างยิ่ง และไม่เคยสร้างความบาดหมางต่อใครๆ ภูติบดีนั้นคอยแต่จะช่วยผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือ และช่วยชีวิตผู้คนที่อยู่รอบข้าง ไม่นานนัก ผู้คนก็ปฏิบัติต่อเขาดียิ่งขึ้นๆ
“ข้าได้ยินชาวบ้านจากหมู่บ้านใกล้ๆ กล่าวว่าไม่นานมานี้ แถวๆ นี้มีครึ่งเทพมาปรากฏตัว”
ภรรยากล่อมเด็กอยู่และกล่าวกับเขา “เขากินคนไปไม่น้อย และดูเหมือนว่ากำลังไต่ถามไปทั่วถึงข้อมูลของเจ้า”
ภูติบดีส่งเสียงรับคำ และเมื่อเขาเงยศีรษะขึ้นมา เขาก็เห็นครึ่งเทพที่ภรรยาของเขากล่าวถึง
“อาโฉ่ว อาหนิว”
ร่างของครึ่งเทพตนนั้นยิ่งใหญ่ปานขุนเขา ทำให้เรือนหลังเล็กๆ ของพวกเขายิ่งดูกระจ้อยร่อย ครึ่งเทพตนนั้นคว้าจับผู้คนจำนวนหนึ่งเข้ามาในมือและฉีกยิ้มให้แก่เขา ส่งคนเหล่านั้นเข้าไปในปาก ก่อนที่จะกัดเคี้ยวกร้วมๆ ด้วยกำลังแรง เขาหัวเราะและกล่าว “ใครจะไปคิดว่าจ้าวผู้ปกครองแห่งแดนใต้พิภพจะกลับชาติมาเกิดและแต่งงานกับสตรีเผ่ามนุษย์ได้ ภูติบดี ในเมื่อเจ้ากลับชาติมาเกิดแล้ว ก็ส่งแดนใต้พิภพมาซะ อย่างไรเจ้าก็ไม่ได้ใช้มันอยู่ดี!”
ภูติบดีไม่ตอบเขา และเขามองไปยังข้างหลังครึ่งเทพตนนั้น ปรากฏว่ามีครึ่งเทพโผล่มาทีละตนสองตนจนมากขึ้นทุกที และพวกเขาก็ล้วนแต่ดูทรงพลัง
หมู่บ้านรอบๆ ถูกพังราบเป็นหน้ากลองจากครึ่งเทพเหล่านี้
“อาโฉ่ว”
มารดาเฒ่าของเขาเดินเข้ามาด้วยร่างอันสั่นเทิ้มและถาม “เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่เป็นไร”
ฉินมู่ได้ยินเสียงอู้ทึบของเขาตอบไป “ท่านแม่กลับเข้าไปก่อน ทุกคน พวกเจ้าอยากจะเป็นจ้าวผู้ปกครองแห่งแดนใต้พิภพหรือ ตอนนี้แดนใต้พิภพว่างเปล่า พวกเจ้าก็แค่ไปขึ้นครองแดนใต้พิภพเสียเลยสิ จะมารบกวนข้าทำไม”
“หากว่าเจ้ายังไม่ตาย พวกเราก็ไม่กล้าหรอก!” ครึ่งเทพเหล่านั้นเริ่มหัวเราะ
“พี่อาหนิว…” เสียงของภรรยาเขาดังมาจากข้างหลัง
ฉินมู่หันศีรษะกลับไปและเห็นครึ่งเทพตนหนึ่งแปลงร่างเป็นงูขนนกเพื่อม้วนพันรอบๆ ภรรยาของเขาและคว้ารัดเด็กทั้งสองของเขา
ฉินมู่หัวใจสั่นเทิ้ม และเขาแทบจะหักใจทนดูไม่ได้อีกต่อไป