ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 769 กายาจ้าวแดนดินแห่งหลงฮั่น
ภูติบดีมองไปที่หว่างคิ้วของเขาและกล่าว “แน่นอนว่าก็ต้องเป็นโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพที่อยู่ในใจกลางหว่างคิ้วของเจ้า ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรก็ในเมื่อข้าเป็นผู้ที่ตรึงสะกดเขาเอาไว้ด้วยตนเอง บนใบหลิวนี้ก็ยังมีเวทปิดผนึกของเทพสรรพชีวิต เจ้าได้พบกับเทพสรรพชีวิต และเขาก็ช่วยเจ้าปิดผนึกโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพตัวแสบ ข้าพูดถูกไหม แต่ทว่า ที่น่าแปลกก็คือ เจ้าสามารถควบคุมพลังอำนาจของโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพได้อย่างไร…”
เดิมทีเขาไม่ได้ขบคิดเรื่องนี้อย่างละเอียด แต่หลังจากที่คิดๆ ดูแล้ว มันก็เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่ฉินมู่สามารถขับเคลื่อนพลังอำนาจของโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพได้
ในสายตาของภูติบดี ฉินมู่ก็จะถูกแทรกซึมโดยโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพไม่ช้าก็เร็ว และในการศึกที่ด่านกุญแจหยกก่อนหน้านี้ ฉินมู่สามารถปลดปล่อยพลังอำนาของโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพได้ และกระทั่งปิดผนึกพลังอำนาจนี้กลับเข้าไปใหม่ นี่มันน่าสงสัยเอามากๆ
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ย่อมต้องมีใครบางคนที่ช่วยเหลือข้า”
ภูติบดีพึมพำกับตนเองครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ให้ข้าเข้าไปข้างในสักหน่อย เพื่อดูเป็นสหายเต๋าคนใด”
เขายืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ไหวติง และในแผ่นดินรูปตัวฉิน ลาวาก็พันผุดพลุ่งขึ้นมาจากพื้น และแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นทะเลสาบหินหลอมเหลว ลาวาในทะเลสาบหมุนวน และเขาคู่หนึ่งอันมีเก้าบิดก็ผุดขึ้นมาจากทะเลสาบ ถัดจากนั้นก็เป็นร่างลาวาอันใหญ่โตของภูติบดี
ภูติบดีลาวาหยุดหมุนวน และร่างกายมหึมาของเขาก็เดินออกมาจากทะเลสาบหินหลอมเหลว ลาวาไหลลงจากภูติบดีอย่างต่อเนื่อง จุดพื้นดินให้ลุกเป็นไฟ
ทารกหัวโตกำลังชะโงกหัวลงไปในกระถางสังหารเพื่อดูว่ามีอะไรข้างในกระถางหรือไม่ ส่วนจักรพรรดิแดงฉานนั้นอยู่ข้างๆ เทพครองดาวมหาตะวัน รับฟังเรื่องซุบซิบของเขาด้วยความสนใจใหญ่หลวง ขณะเดียวกันนั้นเทพสรรพชีวิตก็ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังภูเขา
ภูติบดีลาวามองไปรอบๆ และเขาก็ตื่นตะลึง เขากะพริบดวงตาทั้งสามดวงปริบๆ
แผ่นดินรูปตัวฉินสร้างขึ้นมาจากดินแดนแห่งความมืดในเขาของเขา อันเขาได้หลอมสร้างขึ้นมาเป็นเวทปิดผนึก เขาเปลี่ยนมันให้กลายเป็นจี้หยก ในภายหลังฉินเฟิงชิงพยายามจะหลบหนีไปหลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงต้องเสริมความแข็งแกร่งให้กับเวทปิดผนึกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และฟาดจี้หยกนี้เข้าไปในดวงตาที่สามของฉินมู่
แม้ว่าเวทปิดผนึกเขาจะเป็นคนสร้างกับมือ แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าแผ่นปฐพีนี้จะคึกคักได้อย่างที่เห็น
เขาเงยศีรษะขึ้นมองท้องฟ้า และเวทปิดผนึกสามรูปแบบก็ปรากฏอยู่ท่ามกลางวงจรอักษรรูนบนเวหา หนึ่งนั้นเป็นเวทปิดผนึกใต้พิภพของเขา หนึ่งนั้นเป็นเวทปิดผนึกพุทธของพุทธเจ้าพรหม และยังมีอีกหนึ่งที่เป็นเวทปิดผนึกแดนปริศนา
“พุทธเจ้าพรหม”
ภูติบดีมองไปที่พุทธเจ้าบนท้องฟ้า และเขาก็ผงกศีรษะ ฉินมู่ได้ไปยังสวรรค์ยี่สิบชั้นแห่งพุทธเกษตรมาก่อน และสันดานมารของเขาก็สูญเสียการควบคุมที่นั่น เขาได้แปรเปลี่ยนสวรรค์ชั้นพรหมครึ่งหนึ่งให้กลายเป็นแดนใต้พิภพ
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีเวทปิดผนึกของพุทธเจ้าพรหมอยู่ที่นี่
จากนั้นเขาก็มองไปยังเทพครองดาวมหาตะวัน และสายตาของเขาก็ละไปจากร่างของเทพครองดาวมหาตะวัน
เทพครองดาวมหาตะวันตายไปนานแล้ว และเขาคงจะเพิ่งถูกคร่าตัวมาที่นี่
“จักรพรรดิแดงฉาน”
สายตาของเขาทอดไปตกที่จักรพรรดิแดงฉาน “จักรพรรดิแดงฉานได้พบกับจักรวาลเล็กๆ ที่หดตัว อันสามารถหลบเลี่ยงแสงสว่างแห่งแดนปริศนา และการควบคุมบังคับของแดนใต้พิภพ แม้แต่ข้าก็ไม่อาจค้นพบว่าจักรพรรดิแดงฉานถูกกลบฝังเอาไว้ที่ไหน ไม่คิดเลยว่าข้าจะได้พบกับสหายเต๋าจากอดีตที่นี่”
สำนึกรู้ของจักรพรรดิแดงฉานรีบคารวะทักทายและกล่าว “พี่ทางเต๋า ข้าได้ใช้ร่างกายของข้าเพื่อสมานจักรวาลเล็กๆ อันหดตัวแห่งนั้น และทำให้มันเป็นที่พักพิงสุดท้ายของผู้คนของข้า ดวงวิญญาณของข้าได้แตกสลายและตายไปนานแล้ว”
ภูติบดีลาวากล่าว “เมื่อเจ้าใช้สำนึกรู้เทพอมตะไปบอกข่าวแก่จักรพรรดิแสงข้าก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวสำนึกรู้เทพอมตะของเจ้า”
เขาหันไปมองฉินเฟิงชิง ผู้ซึ่งโงหัวขึ้นมาจากกระถางสังหาร ทารกยักษ์ซ่อนตัวอยู่หลังกระถางและชะโงกหัวออกมาดูเขา เขานั้นเหมือนกับแมวที่กำลังเตรียมจะตะปบเหยื่อ เมื่อเขาถูมือไปมาอย่างกระวนกระวาย
ภูติบดีลาวาไม่สนใจเขาและมองไปที่ภูเขาแห่งแผ่นดินรูปตัวฉิน “ทำไมพี่ทางเต๋าแดนปริศนาต้องซ่อนตัวด้วยเล่า ข้าเห็นเจ้าแล้ว”
ผู้เฒ่าหนวดขาวเดินออกมาจากข้างหลังภูเขาและหัวเราะ “พี่ทางเต๋าแดนใต้พิภพ ข้าได้รอการมาของเจ้าอยู่ และเจ้าก็มาจริงๆ! ตอนนี้แผ่นปฐพีนี้นับได้ว่ารวบรวมยอดฝีมือแห่งสวรรค์และพิภพ!”
ภูติบดีมองไปที่เขาและไม่เปล่งวาจา
เทพสรรพชีวิตมีสีหน้าเยือกเย็น และมองด้วยท่วงท่าราวกับเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์เหนือโลกอันลี้ลับเปี่ยมปริศนา
ผ่านไปนาน ใบหน้าของภูติบดีก็เริ่มเผยรอยยิ้ม และรอยยิ้มของเขาก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ เทพเจ้าที่ควบคุมแดนใต้พิภพผู้นี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เขาหัวเราะจนกระทั่งหายใจไม่ออก ต้องงอตัวจนใช้มือยันเข่าเอาไว้
เทพสรรพชีวิตสีหน้ามืดดำ และเขาถามอย่าเย็นชา “เจ้าหัวเราะพอหรือยัง”
เสียงหัวเราะของภูติบดีค่อยๆ ซาลงไป เขาเหลือบแลดูอีกฝ่ายแวบหนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอีกครั้ง
ในตอนนั้นเอง ทารกหัวโตที่ซ่อนอยู่หลังกระถางก็ถูมือและเท้า ก่อนที่จะกระโจนเข้ามาเหมือนแมวตัวหนึ่ง เขาขย้ำเข้าใส่หลังของภูติบดี และกล่าว “ข้าจับเจ้าได้แล้ว! เมื่อข้ากินเจ้า ข้าก็จะกลายเป็นภูติบดี!”
ภูติบดีลาวารีบสลัดร่างและพยายามที่จะเขย่าเขาออกไป แต่ก็ไม่อาจสะบัดหลุดไปได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม จนแตกตื่นไปเล็กน้อย เขาไม่มีทางเลือกนอกเสียจากลอยขึ้นมาจากพื้น และมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ภูติบดีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและกล่าว “อย่าคิดเลย ใบหลิวถูกปิดลงมาแล้ว พวกเราจะหลบหนีไปได้ก็ต่อเมื่อทลายฝ่าเวทปิดผนึกเท่านั้น”
“ไม่อร่อยสักนิด”
ทารกหัวโตสับภูติบดีเป็นชิ้นๆ และหมดความสนใจในตัวเขา เขาวิ่งไปเล่นสนุกกับทะเลบาดาลในกระถางสังหารต่อ
ภูติบดีปะติดปะต่อร่างกายเข้าด้วยกันและลุกขึ้นยืน “พวกเรายังสามารถหลบหนีไปได้หากว่าดึงใบหลิวออกไปจากข้างนอก”
เทพสรรพชีวิตปีติยินดี และเร่งเร้าเขา “ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็เปิดสิ!”
ภูติบดีเงียบไป
เทพสรรพชีวิตมองเขาด้วยความสงสัย ภูติบดีไม่พูดสักแอะ ผ่านไปนาน เขาจึงกล่าว “สหายเต๋า อย่าเอาแต่จ้องข้า”
ร่างแยกของเทพสรรพชีวิตเร่งเร้าเขา “ทำไมเจ้าไม่ปลดใบหลิวออก”
ภูติบดีลาวาเงียบไปอีกครั้งก่อนที่จะกล่าว “เขาได้เอาเรือของราชันย์ขุนนางไปและไปถึงโลกแห่งคนเป็นเรียบร้อยแล้ว”
ร่างแยกเทพสรรพชีวิตอ้าปากค้าง และเขาก็ระบายลมหายใจสะท้านหลังจากอึดใจหนึ่ง “เจ้าถูกไอ้เด็กแสบนั่นหลอกเข้าแล้ว แต่ก็ดีเหมือนกัน พวกเราสามารถใช้ชีวิตที่นี่ได้สบายดี ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังมีความลับให้พวกเราฟังมากมาย นอกจากการถูกทารกหัวโตนั่นอัดจนน่วมเป็นครั้งคราวตอนที่เขาโมโหแล้ว ก็ไม่มีอะไรแย่เลยสักนิด”
ภูติบดีลาวายังคงจ้องเขาอยู่ “เจ้าก็มีโอกาสตั้งมากมายที่จะออกไป ตราบใดที่เขาปลดใบหลิวออก เจ้าก็สามารถหลบหนีไปได้ แล้วทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่ต่อ”
เทพสรรพชีวิตเงียบไป
“แดนปริศนาไม่น่าสนใจ”
เขากล่าว “เทพเจ้าในแดนปริศนาล้วนแต่เป็นอิทธิพลอำนาจของสภาสวรรค์ทั้งนั้น สถานการณ์ของข้าน่าสังเวชเสียยิ่งกว่าเจ้า ดังนั้นจึงชอบที่นี่มากกว่าแดนปริศนา นกน้อย เจ้าเพิ่งพูดเรื่องการลอบสังหารจักรพรรดินีฟ้านี่ เจ้ายังพูดไม่จบเลย พวกเรามาฟังกันต่อ!”
เทพครองดาวมหาตะวันมองไปยังภูติบดี ก่อนที่จะเหลือบมองทารกหัวโต เทพสรรพชีวิตแย้มยิ้มและกล่าว “ในเมื่อตอนนี้มีภูติบดีอยู่ด้วย พวกเราก็จะขวัญกล้าได้มากอีกหน่อย หากว่าโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพกล้าที่จะกินเจ้า พวกเราสามารถร่วมมือกันเพื่อสะกดข่มเขาได้!”
เทพครองดาวมหาตะวันเต็มไปด้วยความปรีดา
ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงลมหวีดหวิวดังมา ฉินเฟิงชิงกำลังกระตุ้นการทำงานของกระถางสังหารใบนั้น และพลานุภาพอันตรายในกระถางก็แล่นพล่านออก ท้องฟ้าแทบจะปริแยก และขุนเขาที่ไกลๆ ก็กุดด้วน พวกมันแทบจะถูกทำลายไปถึงโคนด้วยพลานุภาพอันตรายของกระถางสังหาร
พุทธเจ้าบนท้องฟ้าก็สั่นไหวโคลงเคลงจากพลานุภาพอันตรายนั้น
ใบหน้าของทุกคนซีดขาว และก็ล้วนแต่มีสังหรณ์ร้ายในใจ
“โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพยังเติบโตขึ้นอีก เขาคงจะมีพลังอำนาจขั้นบัลลังก์จักรพรรดิในไม่ช้า และเขาถึงกับสามารถขับเคลื่อนพลานุภาพอันตรายของกระถางสังหารได้!”
ที่สันตินิรันดร์ ฉินมู่พาวิญญูชนสวรรค์อวี้กระโดดออกจากเรือกระดาษ เขาเห็นว่าในสันตินิรันดร์ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว เมืองที่ห่างไกลออกไปจุดตะเกียงส่องสว่าง
“วิญญูชนสวรรค์โยว ส่งข้าตรงนี้ก็พอ” ฉินมู่กล่าว
ผู้เฒ่านำทางความตายมองไปที่เขาและกล่าว “ข้าจะต้องบันทึกที่เจ้าวางแผนตลบหลังภูติบดีไว้ในสมุดน้อยของเจ้า”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขียนไปเถอะ อย่างไรก็ไม่ต่างกัน”
“เจ้าไม่มีอะไรจะเสียนี่นะ”
ผู้เฒ่านำทางความตายส่ายหัว และพลันโค้งคารวะให้แก่วิญญูชนสวรรค์อวี้ “วิญญูชนสวรรค์มู่ โปรดดูแลพี่ใหญ่ด้วย” หลังจากที่เขากล่าวเช่นนั้น เรือน้อยก็แล่นเข้าไปในความมืดและหายวับ
ฉินมู่มองส่งเขาไป ก่อนที่จะพาวิญญูชนสวรรค์อวี้ไปยังสถาบันนักบุญสวรรค์ เขามีเจตนาของตนที่ให้ผู้เฒ่านำทางความตายส่งพวกเขามายังสถาบันนักบุญสวรรค์
วิญญูชนสวรรค์อวี้นั้นเป็นกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง เขาไม่เข้าใจอะไรสักสิ่ง และก็ไม่รู้อะไรสักอย่าง แม้แต่การกินและการดื่มก็ต้องอาศัยฉินมู่ช่วยดูแลให้ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องสอนถึงเรื่องพื้นฐานที่สุดเกือบจะทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่อาจสอนทักษะเทวะใดๆ ให้ได้ มิเช่นนั้นจะกลายเป็นการทำลายต้นกล้าอ่อนที่ดีต้นนี้ไป
วิธีการที่ดีที่สุดคือสอนอักษรรูนพื้นฐานให้แก่เขาทั้งหมด และให้เขาตรึกตรองทำความเข้าใจด้วยตนเอง
ในเช้าตรู่วันถัดไป ฉินมู่โยนวิญญูชนสวรรค์อวี้เข้าไปในโรงเรียนประถมฐาน และให้เขาเรียนอักษรรูนของสี่มหากายาวิญญาณกับของห้าดาวธาตุ เมื่อมาถึงวันที่สอง ครูในชั้นเรียนนั้นก็พาวิญญูชนสวรรค์อวี้กลับมาและกล่าว “จ้าวลัทธิ เขาสำเร็จเชี่ยวชาญทุกอย่าง เขาไม่มีอะไรจะสอนเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเอาชนะการต่อยตีกับบัณฑิตทั้งหลายแห่งโรงเรียนประถมฐาน”
ฉินมู่อ้าปากค้าง เขาลองทดสอบความรู้ของวิญญูชนสวรรค์อวี้ และเขาก็ได้เรียนรู้อักษรรูนพื้นฐานทั้งหมดสำหรับหงส์แดง เต่าดำ และอื่นๆ จนครบถ้วน เขายังสามารถอนุมานสิ่งต่างๆ มากมายจากอักษรรูนเหล่านั้น และสร้างสรรค์ทักษะเทวะชนิดต่างๆ แม้ว่าพวกมันจะยังหยาบอยู่มาก แต่ก็ไม่นับว่าอ่อนแอ
หรือว่าเขาจะเป็นกายาจ้าวแดนดินจริงๆ
ฉินมู่พาวิญญูชนสวรรค์อวี้ไปฟังการสอนบรรยายของผู้ใหญ่บ้าน สิ่งที่ผู้ใหญ่บ้านถ่ายทอดนั้นคือวิชากระบี่พื้นฐานที่สุด วิญญูชนสวรรค์อวี้ใช้เวลาสองวันเพื่อสำเร็จเชี่ยวชาญทุกอย่าง และนั่นทำให้ผู้ใหญ่บ้านต้องเหงื่อแตก
“เขาเป็นกายาจ้าวแดนดินใช่ไหม” ฉินมู่ถาม
ผู้ใหญ่บ้านเหม่อลอย เขาลังเลและกล่าว “ดูเหมือนว่าจะ…เจ้าไปได้ตัวเด็กคนนี้มาจากที่ไหน”
“จากเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน”
ผู้ใหญ่บ้านยิ่งสับสน และพึมพำกับตนเอง “กายาจ้าวแดนดินจากเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน ช้าก่อน ข้าเริ่มจะวิงเวียน…”
ฉินมู่พาวิญญูชนสวรรค์อวี้ไปยังชั้นเรียนของคนแล่เนื้อ เพื่อเรียนเพลงดาบสวรรค์ของเขา วิญญูชนสวรรค์อวี้ก็สำเร็จมันได้อย่างง่ายดาย
“มู่เอ๋อ เจ้าหนุ่มนี่มันฉลาดกว่าเจ้ามาก” คนแล่เนื้อหัวเราะฮาฮา
ฉินมู่แค่นเสียงเฮอะอย่างไม่สบอารมณ์ เขากล่าว “ข้าเองก็ใช้เวลาหลายวันเพื่อจะเรียนเพลงดาบพื้นฐาน แต่ยากที่จะสำเร็จเชี่ยวชาญทั้งหมด”
“เขาเรียนรู้ได้เร็วกว่าเจ้า และปฏิภาณความเข้าใจของเขาก็สูงล้ำกว่าเจ้า”
คนแล่เนื้อกล่าว “เขาดูเหมือนจะหัวไวเสียยิ่งกว่าซวีเซิงฮวา เจ้าหนุ่มนั่น!”
ฉินมู่มีสีหน้าดำคล้ำ และเขาก็พาวิญญูชนสวรรค์อวี้ไปยังทุกๆ ชั้นเรียนในสถาบันนักบุญสวรรค์ วิญญูชนสวรรค์อวี้สามารถสำเร็จเชี่ยวชาญวิชาทุกชนิดได้อย่างรวดเร็ว เขาถึงกับสำเร็จชั้นเรียนพีชคณิตและชั้นเรียนวิชาเสกสรรอันยากหินได้อย่างไม่ชักช้า
หลังจากเวลาสามเดือน เขาก็ได้เรียนอักษรรูนพื้นฐาน และกระบวนท่าพื้นฐานทั้งหมดในสถาบันนักบุญสวรรค์
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนก็ได้ยินว่ามีอัจฉริยะพีชคณิตอยู่ในสถาบันนักบุญสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงรีบรุดมาจากสถาบันสำนักเต๋า เขาหมายที่จะพาตัววิญญูชนสวรรค์อวี้ไปยังสำนักเต๋าเพื่อศึกษาพีชคณิตต่อ แต่ถูกฉินมู่ตะเพิดไล่ไป
ในท้ายที่สุด ฉินมู่โยนวิญญูชนสวรรค์อวี้เอาไว้ในเรือนบันทึกสวรรค์ อนุญาตให้เขาอ่านหนังสือบันทึกใดๆ ก็ตามที่อยู่ในนั้น เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน และวิญญูชนสวรรค์อวี้ก็เดินออกมาจากเรือนบันทึกสวรรค์
ฉินมู่เผยสีหน้าไม่เชื่อสายตา และเขาก็ร้องออกมา “เจ้าเรียนรู้พวกมันหมดแล้วหรือ”
วิญญูชนสวรรค์อวี้ก้มหน้าลงด้วยความละอาย “ข้าอ่านพวกมันหมดแล้ว แต่ข้าไม่ได้เรียนรู้พวกมัน ข้ารู้สึกว่าในหนังสือเหล่านั้นมีจุดผิดพลาดอยู่มากมาย…”
ฉินมู่ระบายลมหายใจสะท้านและตั้งสติตนเองขึ้นมา ความคิดพิสดารพลันผุดขึ้นมาในใจของเขา หรือว่าข้าจะเป็นกายาจ้าวแดนดินปลอม และเขาจึงเป็นกายาจ้าวแดนดินแท้…เป็นไปไม่ได้ ข้าต้องพาเขาไปพบกับซวีเซิงฮวา!
ที่แผ่นดินตะวันตก สถาบันเหนือฟ้า
ซวีเซิงฮวามีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อจ้องไปยังวิญญูชนสวรรค์อวี้ตรงหน้าเขา เขาถามหยั่งเชิง “กายาจ้าวแดนดิน?”
ฉินมู่ผงกศีรษะด้วยความยากลำบากและกล่าวอย่างขมขื่น “เขายังชาญฉลาดกว่าข้าอีก...”
“มิน่าล่ะข้าถึงรู้สึกว่าปฏิภาณและพรสวรรค์ของเขาใกล้เคียงกับข้า”
ซวีเซิงฮวาเอ่ยชมและกล่าว “ในทันทีที่เรียนสิ่งใดก็เข้าใจได้อย่างฉับพลัน! แต่ทว่า ทำไมเขาดูเซ่อๆ ล่ะ”