ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?) - ตอนที่ 18
ถึงแม้เคยเล่นเกมมาไม่น้อย เนื้อเรื่องที่ถูกมอนสเตอร์ไล่ล่าในเกมก็มีไม่น้อย แต่ว่า สถานที่ที่เกิดเรื่องแบบนั้นส่วนใหญ่มักอยู่ในเกมสยองขวัญ ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่เชี่ยวชาญสกิลหรือกฎ ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวก็ยังสบายมาก
อย่างน้อยก็สำหรับผมล่ะนะ
ทว่า การหลบหนีใน RPG…นี่ถือเป็นครั้งแรก แล้วยังเป็นสถานการณ์ที่ศัตรูจะโจมตีมาจากทางไหนก็ไม่รู้อีก!
ถึงแม้ไม่กล้าหันกลับไปมอง ทว่า เสียงกำแพงแตกข้างหลังที่เข้าใกล้มาไม่หยุดกลับสมจริงมาก สัมผัสได้เลยว่าถ้าหยุดฝีเท้าลงก็ถูกไอ้นั่นกินแน่นอน!
ถ้าเป็น RPG ทั่วไป ถูกมอนสเตอร์โจมตีคงไม่มีปัญหาอะไร ทว่า RPG นี้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง! ตอนที่ต่อสู้กับหมาป่าก่อนหน้านี้ผมก็เข้าใจแล้ว ถ้าถูกโจมตีในการต่อสู้ของโลกใบนี้…ก็รู้สึกเจ็บปวดได้เช่นกัน! ก่อนหน้านี้ก็ถูกกรงเล็บหมาป่าข่วนซะเป็นรูใหญ่เชียว!
ถึงแม้ดื่มยาในทันที บาดแผลจะสมานอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อคิดว่าถูกมอนสเตอร์แบบนี้กัดสักคำแล้ว ร่างกายคงกลายเป็นสองส่วน! คงตายในทันที! แม้ว่าเลเวลสูงก็ไม่มีประโยชน์!
“เดล นายไม่ร่ายเวทให้ไอ้ตัวนี้เคลื่อนไหวช้าลงหน่อยเหรอ? แบบนั้นจะถูกไล่ตามทันนะ!”
“ถึงนายพูดแบบนั้นฉันก็ทำไม่ได้! ไอ้ตัวนั่นทะลุไปมาอยู่ระหว่างกำแพง เล็งเป้าไม่ได้เลย! เวทมนตร์ต้องเล็งเป้าถึงจะยิงโดนนะ!”
“นายก็คาดเดาเอาไม่ได้เหรอ!”
“คาดเดา? มันคืออะไร?”
…
ผมส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา นับจังหวะที่แมลงดินอ่อนทะลุผ่านกำแพงไปมาอยู่ในใจเงียบๆ
1…2…3…
แต่ละครั้งห่างกันสามวินาที? เยี่ยม!
เมื่อนับถึงสองอีกครั้ง ผมไม่ได้หันศีรษะไป แต่ยื่นมือไปข้างหลังทันที
ปราสาทน้ำแข็ง!
กำแพงที่ใช้อิฐน้ำแข็งล้อมรอบปรากฏขึ้นขวางทางข้างหลังเราทันที และในขณะเดียวกัน แมลงดินอ่อนก็พุ่งออกมาจากกำแพงด้านหนึ่ง ปะทะกับกำแพงน้ำแข็งพอดี
“ตอนนี้แหละ!”
ผมออกแรงดึงเดล เขาก็หันศีรษะมองไปยังฉากด้านหลัง
แค่หยุดลงเพียงชั่วครู่ บอลสายฟ้าขนาดมหึมาก็ปรากฏบนมือของเขา จากนั้น ก็ขว้างบอลสายฟ้าออกไปราวกับขว้างซอฟต์บอล!
แสงสว่างจ้าขึ้นอีกครั้งจนทำให้ผมลืมตาไม่ขึ้น เมื่อลืมตาอีกครั้ง นอกจากแถบแจ้งเตือนที่แจ้งว่าได้รับค่าประสบการณ์ ก็ไม่เห็นอย่างอื่นบนเส้นทางด้านหลัง
แมลงดินอ่อนเลเวล 10 ถูกจัดการ เพื่อนร่วมทีมได้รับค่าประสบการณ์ 4,000 ไม่ได้รับเงิน ของที่ดรอป : ฟันเลื่อยฉีกสารพัดสิ่ง x2
ระบบที่เป็นมิตรจริงๆ แบบนี้ก็เป็นการบอกผมโดยตรงว่าฝ่ายตรงข้ามตายไปแล้ว
อืม นั่นก็ช่วยไม่ได้ หรือต้องให้ผมเล่นเหมือนในเกม X Spaxx1 ที่เห็นศพแล้วต้องแทงอีกแผลเพื่อยืนยันว่าฝ่ายตรงข้ามตายแล้ว? เกิดศพกระตุกขึ้นมาก็ตกใจแย่เลยสิ?
ผมถอนหายใจยาวเหยียด วิกฤติของพวกเราถือว่าคลี่คลายได้ชั่วคราว
“ก่อนหน้านี้นายจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียวได้ยังไง?”
“วิ่งแล้วตีไงล่ะ ตีเสร็จก็หนีไง”
“นายคิดว่านี่เป็นสงครามกองโจรรึไง?”
“ไม่ ฉันคิดว่านี่เป็นสงครามอุโมงค์”
มองเห็นสายตาที่จริงจังของเดล ผมก็ไม่รู้ว่าจะด่าเขาจากตรงไหน ทำได้เพียงมองเขาอย่างดูถูกอยู่เงียบๆ
“อย่าใช้สายตาแบบนี้มากลบเกลื่อนความเลื่อมใสของนายสิ ฉันรับไม่ได้หรอก”
เดลพูดอย่างสงบ
“ฉันขอยืมฮู้ดของนายหน่อย”
“ทำไมล่ะ?”
“ฉันอยากอ้วก”
เดลเริ่มกลอกตามองบน
“ทำไมต้องใช้ฮู้ดของฉัน ที่ก็กว้างขนาดนี้ หรือนายห่วงว่าจะมีคนมาปรับเงิน?”
“ไม่ เพราะฉันรักษาสุขอนามัยน่ะ”
“เอาล่ะ เลิกไร้สาระได้แล้ว พวกเรายังต้องคิดหาเส้นทางที่ถูกต้อง ถ้าทางนี้ผิด ก็หมายความว่าเราต้องหาทางใหม่ในการลงไปอีกชั้น จริงๆ เลย ทำไมทางต้องเปลี่ยนด้วยเนี่ย”
“นายแน่ใจใช่ไหมว่านายไม่ได้เป็นโรคจำทางไม่ได้?”
“ที่นี่ไม่ได้มีทางแยก เกี่ยวอะไรกับเป็นโรคจำทางไม่ได้ล่ะ?”
“เอาล่ะ บางทีคงเป็นเพราะเรื่องทีม ดันเจี้ยนเลยเพิ่มความยากให้สูงขึ้นอัตโนมัติ? เพราะงั้นเลยเกิดสถานการณ์แบบนี้…แต่ว่า…”
ผมมองทางข้างหลัง
“ไม่แน่อาจไม่ใช่แบบนั้น”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“นายไม่รู้สึกถึงอะไรเหรอ?”
ผมหลับตาชี้ไปทางข้างหลังพวกเรา
เดลเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วถาม
“รู้สึกถึงอะไร? กลิ่นของผู้แพ้เหรอ?”
“ลม! ทางนั้นมีลมพัดเข้ามา!”
ผมรู้สึกลุกลี้ลุกลน จากนั้นก็ชี้นิ้วไปทางที่ลมพัดเข้ามา
“มีลมก็หมายความว่ามีทางออก! อย่างน้อย ทางนี้ต้องมีอะไรที่เชื่อมต่อกับทางออกแน่ รีบไปเถอะ!”
พูดจบ ผมก็เดินตรงไปทางนั้น
เดลลูบจมูก ยักไหล่แล้วพูด
“เอาล่ะ…ตกลงนายได้รับฉายาไม่ระมัดระวังได้ยังไงกัน? ทั้งที่ดูละเอียดรอบคอบเหมือนสัตว์แท้ๆ…ชาติก่อนนายคงไม่ใช่ลูกสัตว์ใช่ไหม”
1 เกมแนวยิงปืนของประเทศญี่ปุ่น