ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?) - ตอนที่ 2
หลังอีกฝ่ายได้ยินคำถามของผมก็นิ่งเงียบไปสักพัก ก็เข้าใจได้ ยังไงซะคำถามแบบนี้ก็พัวพันไปถึงสถานการณ์การเมืองของอาณาจักรพวกเขาไม่มากก็น้อย เปิดเผยให้คนนอกอย่างผม ดูยังไงก็คงไม่ดีเท่าไหร่
“ถ้าไม่สะดวกก็…”
“ไม่ ข้าเองก็อยากชนะ พูดแบบนี้เจ้าเข้าใจรึยัง?”
“…”
แววตาขององค์หญิงสโนว์เต็มไปด้วยความแน่วแน่ ไม่รู้ว่าทำไม ผมเหมือนกับรู้สึกถึงกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวของเธอ อาจเป็นพลังของราชวงศ์ล่ะมั้ง
ผมยิ้มๆ
“ผมเข้าใจแล้ว พอหาเวลายืนยันวิธีการสู้ของคุณได้ พวกเราค่อยมาตั้งกลยุทธ์การต่อสู้แล้วกัน”
ไม่รู้ว่าประสบการณ์ในตำแหน่งที่สะสมมาตอนเล่นเกมจะใช้ได้รึเปล่า ถึงที่นี่จะเป็นโลกของ RPG แต่ว่า ประสบการณ์เมื่อก่อนจะใช้ได้ในความสมจริงสูงขนาดนี้หรือไม่ก็ยังคงเป็นปัญหา
“งั้นเริ่มเย็นวันนี้เลย!”
องค์หญิงสโนว์พูดทันที
“เย็นวันนี้…”
นัดฮีลไว้แล้วน่ะสิ…
“ข้าจะบอกฮีลเอง วางใจเถอะ”
อาจารย์แมรี่พูดขึ้นทันที
“…ก็ได้ งั้นวานด้วยนะครับ พวกเราเจอกันค่ำหน่อยแล้วกัน องค์หญิงสโนว์”
ผมแสดงความเคารพแบบผู้วิเศษให้พวกเธอ แล้วสาวเท้าออกไปจากห้องทำงาน
“การแข่งขันชั้นปี? มาถึงช่วงกอบโกยอีกแล้วสิ”
ผมเพิ่งพูดถึงเรื่องการแข่งขันชั้นปีจบ ลาน่าก็ร้องขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“พอได้แล้ว! ใช้วัตถุอันตรายพวกนั้นของเธอจะไม่ผิดกฎเหรอ?”
“ไม่สิ ทุกคนพกอุปกรณ์เวทมนตร์ติดตัวทุกครั้งที่ต่อสู้กันทั้งนั้นแหละ ฮ่าๆๆ ข้าไปเตรียมวัตถุดิบก่อนล่ะ”
พูดจบ ลาน่าก็วิ่งออกไปจากห้องกิจกรรมราวกับลมพัด ปิดประตูดังปัง
ผลคือ ในห้องจึงเหลือแค่ผมกับยูบริลที่กำลังอ่านหนังสือ
ยังไงซะ ที่นี่ก็เป็นชมรมพักกลางวันที่สร้างขึ้นโดยสามผู้แข็งแกร่งที่สุดในสถาบัน ใช่แล้ว มันชื่อว่าชมรมพักกลางวัน เพราะปกติแล้วพวกเธอมักพักผ่อนในห้องกิจกรรม มันเป็นกิจกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และหนึ่งเดียวของที่นี่
แน่นอนว่าคนในสถาบันชอบเรียกชมรมนี้ว่า “ชมรมผู้แข็งแกร่งตลาดล่าง” ซึ่งดูจะเหมาะสมกว่า
“การแข่งขันในสถาบันไม่มีอะไรหรอก แต่ว่า ถ้าเรื่องแบบนี้รวมกับผลประโยชน์เมื่อไหร่ ก็จะหมดความหมาย”
ยูบริลพูดโดยไม่เงยหน้า เธอคงหมายถึงเรื่องที่ผมบอกว่าต้องอยู่ทีมเดียวกับองค์หญิงสโนว์
“ช่วยไม่ได้นี่ มันเป็นความจริง จะว่าไปเมื่อก่อนรุ่นพี่แซงต์เคยเข้าร่วมการแข่งชั้นปีมาก่อนไหม?”
“ไม่เคย เพราะข้ามาที่สถาบันนี้ไม่ถึงหนึ่งปี”
“ไม่ถึงปี?”
“ใช่ อย่างที่เจ้าเห็น ข้าเป็นพาลาดิน ส่วนที่นี่คือสถาบันเวทมนตร์ ข้ามาที่นี่เพื่อหาความรู้ด้านเวทมนตร์เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อเรียนเวทมนตร์ ข้าสังกัดกับโบสถ์แห่งแสงไรท์ ไม่ใช่สถาบันใด ยิ่งกว่านั้นข้าก็ไม่มีชั้นเรียน จึงไม่อาจเข้าร่วมได้”
“งั้นก็ไม่เลวจริงๆ ถ้ารุ่นพี่แซงต์เข้าร่วม คนอื่นคงไม่ได้ชนะแน่”
“…ไม่ต้องเรียกรุ่นพี่แซงต์อะไรนั่นได้ไหม เรียนข้าว่ายูบริลเหมือนพวกลาน่าก็พอ รุ่นพี่แซงต์อะไรนั่น ฟังแล้วแปลกๆ น่ะ”
“ได้ รุ่นพี่ยูบริล”
“ส่วนสำคัญอยู่ที่ตัดคำว่ารุ่นพี่ออกไป!”
“รุ่นพี่คลุ้มคลั่งอีกแล้ว”
“ไอ้นี่…”
อีกฝ่ายส่ายหน้าไปพลางละสายตากลับไปที่หนังสือ นับเป็นการเมินผม
แต่ผมก็ยอมแพ้เรื่องการแขวะ เทียบกับคนอื่นแล้ว ยูบริลนับว่าเป็นคนที่ค่อนข้างไร้ชีวิตชีวา มีกฎเกณฑ์ในการใช้ชีวิตทุกวันและยากที่จะเล่นตลกกับเธอได้ เหมือนกับการแขวะกันแบบตอนนี้ที่ค่อยๆ ขัดเกลาออกมา แต่ถ้าเกินเลยไปเธอก็จะโมโห
ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่ายัยนี่จะแข็งทื่อมาตลอด ทว่า…
เธอกลับโกรธง่ายกว่าปกติ ถ้าอีกฝ่ายเข้าสู่สภาพแบบนี้จริงๆ แค่พูดว่า ‘คุณทำแบบนี้เป็นการฝ่าฝืนเจตจำนงของเทพเจ้านะ’ อีกฝ่ายก็จะสงบลงมาทันที
ถึงแม้ไม่อยากยอมรับ แต่ผมอยากพูดว่า ‘เทพเจ้า นามของคุณมีประโยชน์มากจริงๆ’ ผมจะใช้นามของคุณเล่นให้ถึงที่สุดแน่นอน
ยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าสนามต่อสู้จริงจะเปิด ก่อนหน้านั้นก็พักอยู่ในห้องกิจกรรมสักพักแล้วกัน
ผมเปิดแถบสกิล กดไปที่สกิลทำสมาธิ
ทำสมาธิ : เร่งการฟื้นฟูค่า HP และ MP หากโดนโจมตีจะถูกขัด ผลเพิ่มเติม ทุกครั้งที่ทำสมาธิต่อเนื่องหนึ่งชั่วโมงจะเพิ่มค่า MP สูงสุด 2 หน่วย
ตอนนี้ผมไม่มีผลเพิ่มเติมของอาชีพนักเวท จึงทำได้เพียงอาศัยวิธีเพิ่มขีดจำกัดมานาของผมเอง ไม่งั้นใช้ไปกี่เวทผมก็คงว่างเปล่าทันที
คุณคิดว่าอาศัยความตั้งใจก็ใช้เวทมนตร์ได้เหรอ? ผมไม่ใช่ผู้ชายพกสว่านนะ
ดังนั้น ผมจึงหลับตาลง เริ่มทำสมาธิ อันที่จริงสำหรับผมแล้วก็คือการนอนหลับ ยังไงซะสกิลก็ใช้งานโดยอัตโนมัติ ตัวผมเองจะทำอะไรก็ไม่เกี่ยว นี่ก็ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบของผม
…
“เอ๊ะ? ทำไมนายมาอยู่ที่นี่?”
“ยังหลับอยู่อีก? ล้อกันเล่นรึเปล่า ยังไงนายก็เป็นแค่คนโง่…”
“ดูเหมือนจะปลุกนายด้วยวิธีทั่วไปไม่ได้สินะ ช่วยไม่ได้…”
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ทว่า เวลายังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ออกตอนนี้ค่า MP ก็ไม่เพิ่มสิ
เพี๊ยะ
การทำสมาธิของผมถูกขัดอย่างฉับพลัน ในขณะเดียวกันใบหน้าก็ปวดแสบปวดร้อน
“เธอบ้าไปแล้วเหรอ! ฉันกำลังทำสมาธิอยู่!”
ผมตะคอกใส่คนตรงหน้า
“ข้าห้ามแล้ว ทว่า…ช่วยไม่ได้ นางบอกว่าหยุดการทำสมาธิของเจ้าก็ไม่เป็นไร”
ยูบริลที่อยู่ด้านข้างพูดขอโทษ
“ไม่เป็นไรได้ยังไงล่ะ หนึ่งชั่วโมงของฉัน…”
เอ๋? ยูบริลอยู่ข้างๆ แล้วคนตรงหน้าคือใครล่ะ?
ผมหันศีรษะไปมอง สิ่งที่ดึงดูดสายตาคือเส้นผมสีขาวที่ถูกแสงอาทิตย์ตกส่องสว่าง
รวมถึงผมทวินเทลที่คุ้นเคย
“อา…อาร์ย่า?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูเหมือนนายยังจำฉันได้นะ”
คนที่ปรากฏตัวตรงหน้าผมตอนนี้ นึ