ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?) - ตอนที่ 11
ภาพสุดท้ายคือมองเห็นพื้นใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว จากนั้นตรงหน้าก็กลายเป็นสีดำ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะระบบรู้รึเปล่าว่าผมกำลังจะกระแทกพื้นเลยตัดความรู้สึกของผม หรืออาจจะเป็นเพราะสาเหตุอื่น หลังจากตรงหน้ากลายเป็นจอสีดำอยู่ครู่หนึ่ง ข้อความที่แสดงข้างบนกลับไม่ใช่นับถอยหลังฟื้นคืนชีพ แต่เป็นนับถอยหลังหมดสติ
ดูเหมือนหลังจากผมเลเวล 18 แล้วจะหนังหนาจริงๆ ตกจากที่สูงขนาดนี้ยังไม่ตายเลย
นี่แปลว่าพลังป้องกันสูงก็มีประโยชน์อยู่บ้าง ยกตัวอย่างเวลาเล่นบันจีจัมพ์เกิดไม่ระวังเชือกขาดก็คงไม่ตกตาย…เอาเถอะ ตอนนี้ผมมีปีก ก็คงไม่บ้าไปเล่นบันจีจัมพ์หรอก
แต่อาร์ย่า…โอ้ ทำไมยัยนี่ถึงชอบทำเรื่องอันตรายกับตัวเองแบบนี้ ถึงผมจะรู้ว่ากอดคนอื่นตามใจชอบจะดูบุ่มบ่ามไปบ้าง แต่สถานการณ์แบบเมื่อกี้ผมทำแบบนั้นเพื่อปกป้องเธอแท้ๆ ทำไมเธอถึงไม่เข้าใจล่ะ?
ไม่รู้ว่ายัยนั่นจะเป็นอะไรไหม แม้ว่าสุดท้ายผมจะพยายามให้เธออยู่บนตัวผมแล้ว แต่ภายหลังเธอจะถีบผมออกแล้วกระแทกพื้นหรือไม่ เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้
แต่ว่า…
รอคอยสองชั่วโมงเป็นเวลาที่ยาวนานจริงๆ ช่วยไม่ได้ ผมทำได้เพียงปล่อบให้ตัวเองผ่อนคลายให้เต็มที่ แบบนี้ก็คล้ายกับการเข้าสู่สถานะหลับ
“ตื่นสิ! ตื่นเร็วเจ้าโง่!”
เอาเถอะ ผมรู้ว่าในสถานการณ์ปกติผมจะถูกปลุกด้วยเสียงแบบนี้เท่านั้น
แม้ว่ารู้สึกลืมตาลำบาก แต่พอตั้งใจฟังเสียง ผมกลับลืมตาทันที
“ฟาลัน เกิดอะไรขึ้น…เอ่อ ที่นี่ที่ไหน?”
รู้สึก…ดูเหมือนผมจะนอนอยู่บนโซฟาขรุขระ รอบด้านดูเหมือนเป็นห้องเล็กๆ ทรุดโทรม
ห้องที่ผนังเป็นสนิมและกองเต็มไปด้วยหนังสือและของใช้จิปาถะ มองแวบแรกรู้สึกว่าเป็นห้องกิจกรรมของพวกเรา แต่ความจริงกลับมีความแตกต่าง
ห้องนี้แตกต่างจากห้องใดๆ ในห้องกิจกรรม และเล็กยิ่งกว่า อีกทั้งรูปร่างของประตูก็ไม่เหมือนห้องกิจกรรม เพราะห้องนี้เป็นประตูเหล็ก
“ห้องใต้ดินของบ้านที่ข้าซื้อ”
ฟาลันพูดด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้ฟาลันสวมชุดนักเวทสีดำสนิทกับผ้าคลุมไหล่ขนอ่อน การแต่งตัวดูแล้วเหมือน…เตรียมออกไปข้างนอก?
“โอ้ จริงสิ ตอนนี้ผมต้องรีบออกไปแล้ว”
มองเห็นผมมองเสื้อผ้าของเธอจนตะลึง เธอจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“มีคนเห็นตอนที่เจ้ากางปีกบินอยู่บนท้องฟ้า แล้วเขาก็ไม่ได้เห็นแค่ปีกสีขาวของเจ้า แต่เป็นปีกกระดูกด้วย ตอนนี้วิหารศักดิ์สิทธิ์และอัศวินเทมพลาร์ต่างออกปฏิบัติการ เดี๋ยวข้าต้องหลบเข้าไปในทางเข้าดันเจี้ยนใต้ดิน แกล้งทำเป็นนักเรียนที่ตกลงไป กลิ่นอายความตายบนตัวเจ้าเบาบางมาก ขอเพียงเจ้าไม่กางปีกเวทมนตร์ของตัวเองมันก็จะไม่กระจายออกไป”
อย่างที่คิด ปีกข้างหลังผมตอนนี้เหลือแค่ปีกสีขาว ปีกกระดูกหุบเข้าไปแล้ว น่าจะเป็นเพราะฟาลันใช้เวทมนตร์ช่วยผม
ผมเก็บปีกสีขาวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถามไป
“แล้วทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
“ไม่ใช่เพราะเจ้านอนกางปีกอยู่กลางลานจัตุรัสเหรอ? พอข้าตื่นขึ้นมาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเจ้าเลยพาเจ้ากลับมา แต่ข้าคิดว่าหัวหน้าคนนั้นก็น่าจะสัมผัสได้ ระวังไว้หน่อย”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
หัวหน้าที่ฟาลันพูดถึงคงจะเป็น ‘รีด’ หัวหน้าผู้บัญชาการหัวโล้นคนนั้น
ทำไมถึงบอกว่าเป็นผู้บัญชาการหัวโล้นน่ะเหรอ? เพราะสาขาวิชาของเขาไม่มีคนอยู่เลย ถึงเขาพบว่ามีคนมีศักยภาพในการใช้เวทสายแสงก็จะส่งตัวไปที่โบสถ์อยู่ดี
หมอนั่นคงเป็นตัวแทนประจำโบสถ์ล่ะมั้ง ยังไงยูบริลคนเดียวก็ไม่อาจจัดการธุระเยอะแยะขนาดนั้นได้
“งั้น…น่าจะมีเด็กผู้หญิงตกอยู่กับผมด้วย แล้วเธอไปอยู่ที่ไหนแล้ว?”
“…เป็นเด็กสาวผมทวินเทลสีขาว?”
“อืม”
“เอ๋ ที่แท้เจ้าก็ชอบแบบนั้น”
“ล้อเล่นรึไง นิสัยยัยนั่นแย่แบบนั้น…แต่ยัยนั่นไม่ได้ตายใช่ไหม?”
“ไม่อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าใครใช้ตัวเองเป็นเบาะรอง ผู้หญิงนางนั้นจึงแค่ใกล้ตายเท่านั้น หลังข้ารินน้ำยาฟื้นฟูให้ก็พานางออกไปจากที่นั่นแล้ว”
“ก็ดี หวังว่ายัยนั่นจะปิดปากแน่นพอ ไม่งั้นปล่อยให้คนอื่นรู้ว่าผมมีปีกงอกคงเป็นปัญหาแน่”
“งั้นเจ้าไปที่ห้องพยาบาลคงดีที่สุด”
“พูดแล้วก็ใช่”
อีกทั้งพวกญารินก็ยังนอนอยู่ในห้องพยาบาล ตอนนี้น่าจะตื่นแล้ว
แม้ว่าคำว่า ‘คู่หมั้น’ นี้จะดูห่างไกลสำหรับผมอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ญารินผ่านความยากลำบากมามากขนาดนี้ เวลาแบบนี้อยู่ข้างกายเธอให้มากก็ถือว่าเป็นการปลอบโยนจิตใจเธอ
“แต่ตอนนี้เจ้าลดตัวไว้จะดีที่สุด ต้องรู้ว่าตอนนี้ทั้งสถาบันกำลังตามหาเทวดาแห่งความตายที่มีปีกกระดูก แต่ที่นี่ไม่มีคนแบบนั้น เพราะคนที่พวกเขาเห็นก็คือเจ้า”
“ผมรู้แล้ว ผมจะพยายามให้ดีที่สุด”
“อ่า…เอาเถอะ ข้าไปก่อนล่ะ เจ้าระวังด้วย”
พูดจบ ฟาลันก็กลายเป็นเงาดำลอยผ่านช่องประตูออกไป ในขณะเดียวกัน เสียงหนึ่งก็ดังเข้าในหัวผม
‘บนประตูเหล็กบันทึกกลิ่นอายของเจ้าเอาไว้ สัมผัสมันก็สามารถเปิดได้’
จากนั้นอีกฝ่ายก็หายไปทันที
ผมส่ายศีรษะอย่างจนใจ จัดเสื้อผ้าบนตัว เตรียมออกไป
แต่ว่า ทันใดนั้นก็มองเห็นหน้าต่างแจ้งเตือนเป็นชุดที่ถูกกองไว้ข้างๆ
คงเป็นตอนที่ผมเพิ่งฟื้น เลยปัดแจ้งเตือนไปไว้ขอบหน้าต่างอย่างรวดเร็ว และตอนนี้เมื่อสงบลงแล้วก็สามารถเปิดออกมาลองดูได้
สกิลพิเศษเนตรแห่งเฟคด้า ผู้ครอบครองตาอินทรี ทักษะปลอมตัว (ทักษาเปลี่ยนสีผม) สามารถอัพเกรดข้อจำกัดในการเปิดใช้ได้
เปิดความสามารถในการสื่อสาร การสื่อสารกับคนต่างโลกทุกคนเข้าสู่สถานะติดต่อได้
เลเวลมิตรภาพกับอาร์ย่าเพิ่มขึ้น อัพเกรดอุปกรณ์สื่อสาร สามารถพูดคุยด้วยเสียงได้
เลเวลความสัมพันธ์กับญารินเพิ่มขึ้น ทั้งสองจะได้รับค่าประสบการณ์เท่ากันในโหมดทีม รวมค่าประสบการณ์เป็น 1.2 เท่า
เนื่องจากถูกตัดสินว่าเป็นตัวการก่อการร้ายทำลายสถาบัน ตอนนี้จึงกลายเป็นเทวดาศักดิ์สิทธิ์แห่งความตายผู้ถูกประกาศจับ แต่เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าเทวดาศักดิ์สิทธิ์แห่งความตายคือใคร ดังนั้นจึงไม่ถูกประกาศจับด้วยชื่อจริง
ฉายา ความไม่ระมัดระวังเลเวลอัพเป็นเลเวล 6 ความต้านทานเพิ่มขึ้น 60 หน่วย เข้าสู่การถูกกระทำ
แพะรับบาปเลเวลอัพเป็นเลเวล 6 แต้มรับบาป 0/30000
แพะรับบาปเลเวลอัพเป็นเลเวล 7 แต้มรับบาป 0/35000
ความโหดร้ายเลเวลอัพเป็นเลเวล 2 พลังโจมตีเพิ่มขึ้น 200
ผู้ถูกประกาศจับเลเวลอัพเป็นเลเวล 2 ความเป็นไปได้ในการถูกหน่วยงามบังคับใช้กฎหมายพบตัวลดลง 10%
…
หลังจากอ่านฉายาพวกนี้เสร็จผมก็สงบไม่ได้ เพราะผมอยากพูด
ผมรู้แล้วว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้อีก…แต่ทำไมถึงเป็นผมทุกครั้งเลย…
เล่ม 3