ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 720 การตรวจดีเอ็นเอที่ทำให้เธอขวัญหนีดีฝ่อ (10)
- Home
- ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน
- ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 720 การตรวจดีเอ็นเอที่ทำให้เธอขวัญหนีดีฝ่อ (10)
บทที่ 720 การตรวจดีเอ็นเอที่ทำให้เธอขวัญหนีดีฝ่อ (10)
“ตอนนั้น แม่หนูขอร้องให้ฉันช่วยเธอหนึ่งเรื่อง”เย่โป๋เหวินได้สติ พลางมองหน้าเวินลั่วฉิงอีกครั้ง เขาแอบถอนหายใจหนึ่งครั้ง
“เรื่องอะไร?”ปกติเวินลั่วฉิงเป็นคนใจเย็น บัดนี้เห็นสีหน้าเขา เธอกลับอดถามหนึ่งประโยคไม่ได้
“แม่หนูอยากให้หนูกลับบ้านตระกูลเวิน เธอหวังว่าหลังเธอจากไป หนูจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในบ้านตระกูลเวิน อยู่แบบไร้กังวลเรื่องการกินการนอน”เย่โป๋เหวินพูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงเพิ่มความหนักอึ้งเพิ่มขึ้นหลายส่วน “ตอนนั้นสิ่งที่แม่หนูปล่อยวางไม่ได้มากที่สุดก็คือหนู……”
“พ่อของฉันคือเวินจือฝาง ฉันกลับบ้านตระกูลเวินก็เป็นเรื่องปกติ”เวินลั่วฉิงรีบรับหนึ่งประโยค ตามหลักแล้ว สถานการณ์อย่างนั้น คุณแม่ให้เธอกลับบ้านตระกูลเวินก็ถือเป็นเรื่องปกติ และสมเหตุสมผล
แต่ทำไมแม่ของเธอต้องหาเย่โป๋เหวินให้ช่วยด้วย?
เย่โป๋เหวินบอกว่าเป็นครั้งแรกที่แม่ติดต่อเขาเอง?
“แต่หนูไม่ใช่ลูกสาวของเวินจีหยัน แม่หนูก็รู้ เธอรู้ตั้งนานแล้ว ดังนั้นเธอจึงติดต่อหาฉัน”ในอดีต เย่โป๋เหวินเคยรับปากเธอว่าไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครทราบ รวมทั้งเวินลั่วฉิงด้วย แต่วันนี้เขากลับไม่พูดไม่ได้
ร่างกายเวินลั่วฉิงแข็งค้างอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาเธอหรี่ขึ้นอีกครั้ง แต่เธอไม่ได้พูดอะไร เธออยากฟังเย่โป๋เหวินพูดจบ
ข้อมูลเช่นนี้ สำหรับเธอแล้วมันคาดไม่ถึงและกะทันหันมากๆ
“ตอนนั้นคุณปู่เวินตรวจดีเอ็นเอ ฉันไปทำตุกติก ให้คนเอาเลือดของเวินหรวนหรวนมาเปลี่ยนเลือดของหนู”เย่โป๋เหวินมองหน้าเธอ หลังลังเลสักพัก จากนั้นในที่สุดก็พูดความจริงในอดีตออกมา“อันนี้คือความต้องการของแม่หนู”
อันที่จริงเขาไม่อยากทำอย่างนั้นเลย ไม่อยากเลยสักนิด เขาไม่อยากให้เวินลั่วฉิงกลับบ้านตระกูลเวินเลยสักนิด
แต่มันคือการตัดสินใจของเธอ ดังนั้นสุดท้ายเขาก็ได้แต่รับปากเธอ
เขาก็รู้ว่าตอนนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเวินลั่วฉิง คือการปกป้องของแม่ที่มีต่อลูกครั้งสุดท้าย
เวินลั่วฉิงมองหน้าเขา จ้องมองเขาแบบไม่ละสายตา ราวกับอยากมองทะลุเข้าไปภายในจิตใจของเขา เธอไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้ ไม่ยินดีเชื่อ
“ฉันไม่ได้หลอกหนู ถ้าหนูไม่เชื่อ หนูไปตรวจดีเอ็นเอกับคุณปู่เวินอีกครั้งก็ได้”เย่โป๋เหวินดูออกว่าเธอไม่เชื่อ อันที่จริงเธออยากพิสูจน์เรื่องนี้นั้นง่ายมาก
ได้ยินคำพูดของเขา ร่างกายเวินลั่วฉิงพลันสั่นระริก“ได้ ฉันจะตรวจให้ชัดเจน”
เวินลั่วฉิงพูดประโยคนี้จบก็หันหลังคิดจะจากไป หากวันนี้เย่โป๋เหวินนัดเธอด้วยเรื่องนี้ เช่นนั้นเรื่องก็คุยกันเสร็จแล้ว เธอจึงออกไปได้
“ฉิงฉิง ฉันยังพูดไม่จบ”แต่เย่โป๋เหวินเรียกเธออีกครั้ง ครั้งนี้เขาเรียกฉิงฉิงโดยตรง น้ำเสียงในคำว่า ฉิงฉิง มันมีอารมณ์ซับซ้อนมากมาย……
“ฉันคิดว่า ฉันกับคุณเย่ไม่มีอะไรให้คุยกันแล้ว”สีหน้าเวินลั่วฉิงเคร่งขรึมขึ้น น้ำเสียงมีความเย็นเยียบหลายส่วน
“ฉิงฉิง ฟังฉันให้จบก่อน เรื่องนี้สำคัญมาก สำคัญมาก”บัดนี้น้ำเสียงของเย่โป๋เหวินมีความอ่อนโยนหลายส่วน
แต่ความอ่อนโยนอย่างนี้ เวินลั่วฉิงฟังแล้วรู้สึกเหมือนกรวยน้ำแข็งเวกเตอร์ที่ทิ่มแทงเข้าหูจนเหน็บหนาว
เวินลั่วฉิงรู้ว่าบางเรื่องคิดจะหลบหนีก็ไร้ประโยชน์ อันที่จริง เธอเจอปัญหาก็ไม่เคยหนีมาก่อน วันนี้เธอเป็นอะไรไป?เป็นอะไร?
หรือเธอไม่มีความกล้าแม้แต่จะฟังเย่โป๋เหวินพูดให้จบ?
เวินลั่วฉิงหยุดเดิน หันหน้ากลับไปมองเย่โป๋เหวินอีกครั้ง เวลานี้ใบหน้าของเธอกลับมาสงบเหมือนปกติอีกครั้ง “คุณเย่ยังมีอะไรอีกเชิญพูดเลย”
เย่โป๋เหวินมองหน้าเธอ แววตาเจือความลังเลหลายส่วน แต่สุดท้ายเขาก็เปล่งออกมาทีละถ้วยคำช้าๆ “ฉิงฉิง พ่อของหนูไม่ใช่เวินจือฝาง งั้นก็ต้องเป็นฉัน”
พ่อของเธอไม่ใช่เวินจือฝาง งั้นก็คือเขา!!
ดวงตาเวินลั่วฉิงยกขึ้น กลายเป็นเย็นแข็งถึงขีดสุดทันที“คุณเย่ แม่ฉันเป็นผู้หญิงรักนวลสงวนตัว รบกวนคุณอย่าเหยียดหยามแม่ฉัน”
อะไรที่เรียกว่าพ่อของเธอไม่ใช่เวินจือฝางก็ต้องเป็นเขา?
คำพูดของเขามีปัญหาด้านตรรกะอย่างรุนแรง
เธอรู้จักแม่เธอดี แม่ของเธอเป็นคนรักนวลสงวนตัว โดยเฉพาะเรื่องอย่างนี้ แม่เธอยิ่งเคร่งครัดเป็นพิเศษ ตลอดหลายปีที่ใช้ชีวิตอยู่กับแม่ แม่ไม่เคยมีสัมพันธ์คลุมเครือกับผู้ชายอื่นเลยสักคน
ดังนั้นไม่มีทางเป็นอย่างที่เย่โป๋เหวินพูดเด็ดขาด
คำพูดในตอนนี้ของเย่โป๋เหวินเป็นการหยามเกียรติแม่เธอ
เธอไม่อนุญาต
“ไม่ ไม่ ฉิงฉิง ไม่ใช่อย่างที่หนูคิด หนูฟังฉัน เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของแม่หนู สาเหตุไม่ได้เกิดจากแม่หนู”เย่โป๋เหวินสบตาเธอก็ชะงัก จากนั้นก็รีบอธิบาย
“แล้วเป็นความผิดของใคร?ความผิดของคุณ?”ดวงตาเวินลั่วฉิงยิ่งเย็นเยียบเพิ่มขึ้นหลายส่วน
ถ้าไม่ใช่ความผิดของแม่ แต่เป็นความผิดของเย่โป๋เหวิน ถ้างั้นเรื่องนี้ก็……
“ฉิงฉิง เรื่องนี้ซับซ้อนมาก ไม่ใช่อย่างที่หนูคิด”น้ำเสียงของเย่โป๋เหวินมีความร้อนใจเพิ่มขึ้นหลายส่วนอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับอยู่ในสถานการณ์น้ำท่วมปาก
เรื่องในวันวานนั้นซับซ้อนมาก ทำให้เขาไม่รู้ควรเริ่มพูดตรงไหนดี
เขากำลังพิจารณาว่าจะเล่าเรื่องในอดีตให้เธอฟังดีหรือไม่!
“คุณเย่ คุณไม่รู้สึกว่าคำพูดของคุณตลกและขัดแย้งกันเองมากเหรอ?”เวินลั่วฉิงมองหน้าเขา น้ำเสียงเจือความเย้ยหยันไว้หลายส่วน
ซับซ้อน?ต้องซับซ้อนขนาดไหนกัน ถึงทำให้ไม่ว่ามั่นใจว่าพ่อแท้ๆของเธอเป็นใคร?
“ถึงพ่อฉันไม่ใช่เวินจือฝาง แต่ก็ไม่ใช่คุณเด็ดขาด”เวินลั่วฉิงพูดอย่างหนักแน่น ไม่ใช่เพราะเธอไม่อยากเผชิญหน้า ไม่ใช่เพราะเธอจงใจหลบหนี
แต่เป็นเพราะเธอรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
หากพ่อของเธอเป็นเย่โป๋เหวินจริง งั้นเธอกับเย่ซือเฉินก็เป็นพี่น้องกัน ซึ่งแสดงว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน ถ้าเป็นพี่น้องแท้ๆจริง มีความเป็นไปได้สูงที่ลูกของพวกเขาจะพิการทางร่างกายหรือไม่ก็สมอง
แต่ลูกรักของเธอทั้งสองคนปกติดีมาก เด็กทั้งสองคนฉลาดและน่ารักเป็นพิเศษ
แค่จุดนี้เธอกับเย่ซือเฉินก็ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งเรื่องสายเลือดมักจะอัศจรรย์มากๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน แต่จะมีความรู้สึกดีๆต่อกันด้วยสัญชาตญาณ ก็เหมือนเธอที่พบหน้าท่านย่าถังครั้งแรก เธอก็รู้สึกดีๆแบบนั้นกับท่านย่าถังกับท่านปู่ถังแล้ว
ทว่าเธอไม่มีกับเย่ซือเฉินเลย เธอจำได้ว่าตอนเธอเพิ่งรู้จักเย่ซือเฉินใหม่ๆ เธอมักจะปะทะและต่อต้านเขาเสมอ ตอนนั้นเธอไม่ชอบเย่ซือเฉินเลยสักนิด และเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เธอก็ยังไม่ชอบเขา
เธอไม่รู้ว่าทำไมเย่โป๋เหวินถึงพูดจาตลกเช่นนี้ คำตลกนี้เดิมทีก็ทำให้เธอสงสัยมากอยู่แล้ว
“ฉิงฉิง พวกเราไปตรวจดีเอ็นเอกันนะ”เย่โป๋เหวินรู้ว่าเธอไม่เชื่อ งั้นวิธีดีที่สุดในตอนนี้คือการตรวจดีเอ็นเอ พอถึงเวลาทุกอย่างก็ชัดเจนเอง