ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 1182 เจ้าหญิงตัวน้อยถูกทอดทิ้งแล้ว ยกโทษให้ไม่ได้ (1)
- Home
- ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน
- บทที่ 1182 เจ้าหญิงตัวน้อยถูกทอดทิ้งแล้ว ยกโทษให้ไม่ได้ (1)
“จื่อซี เราไปเจอพวกเขาที่บริษัทมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ท่านย่าถังได้ยินคำพูดของเฟิ่งเหมียวเหมียวแล้ว จึงรีบเอ่ยถามขึ้นมา ที่ท่านย่าถังถามแบบนี้จะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
“นานแล้วค่ะ หลายวันแล้ว” ถังจื่อซีคิดแล้วจากนั้นก็ตอบคำถามออกมาอย่างจริงจังอีกครั้ง
“คุณปู่เย่กับคุณย่าเย่รู้แล้ว แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว แล้ววันนี้ก็ไม่คิดว่าจะมาปกปิดเย่ซือเฉิน แล้วมากำหนดเรื่องการแต่งงานกับเจ้าหญิงแห่งองค์กรโกสต์ซิตี้อีก นี่พวกเขาหมายความว่าอะไรกันแน่?” เวลานี้ท่านย่าถังขมวดคิ้วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอคิดไม่ตกจริงๆว่าทำไมคุณปู่เย่และคุณย่าเย่ถึงได้ทำแบบนี้
จากความเข้าใจที่เธอมีต่อคุณปู่เย่และคุณย่าเย่ สองคนนั้นรู้เรื่องจื่อซีแล้วก็ไม่ควรที่จะเงียบไปแบบนี้ อีกทั้งที่พวกเขารู้ว่าฉิงฉิงกับเย่ซือเฉินมีลูกแล้ว ทำไมถึงยังจะกำหนดให้แต่งงานกับเจ้าหญิงแห่งองค์กรซิตี้อีกกัน นี่ไม่ใช่ว่าจะเป็นการทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกอย่างนั้นหรือ?
ถึงแม้คุณปู่แย่กับคุณย่าเย่จะมีความเห็นอะไรกับฉิงฉิง ก็ควรจะนึกถึงเด็กๆด้วยเช่นกัน คงจะไม่ทำให้เด็กๆต้องมาแยกกับพ่อแม่ของตัวเองทั้งที่ยังเด็กขนาดนี้หรอกหรือเปล่า?
เวลานี้ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับคุณปู่เย่และคุณย่าเย่ มองข้ามที่จะรับรู้เรื่องของถังจื่อซีกับเย่ซือเฉินไป เวลานี้ก็ไม่ได้ไปเอ่ยถามถึงเรื่องนี้ และแน่นอนว่าก็ยิ่งไม่มีคนรู้เรื่องที่ถังจื่อโม่เองก็คงจะรู้จักเย่ซือเฉินด้วยเช่นกัน
“จื่อซี พวกเขารู้เรื่องของจื่อโม่ด้วยหรือเปล่า?” ท่านปู่ถังเป็นคนที่เข้าใจ เขามองไปยังถังจื่อซีพลางเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ เห็นได้ชัดว่าท่านปู่ถังพอจะเดาถึงสาเหตุได้แล้ว!!
“ไม่รู้ค่ะ ตอนนั้นพี่ชายยังไม่ได้มาเจอกันกับคุณพ่อ คุณพ่อไม่รู้เรื่องของพี่ชาย พวกเขาก็คงจะไม่รู้เรื่องนี้ด้วยอยู่แล้ว” ถังจื่อซีตอบคำถามนี้ออกมาด้วยความมั่นใจโดยไม่แม้แต่จะคิด
“มิน่าล่ะ” มุมปากของท่านปู่ถังที่เป็นคนโอบอ้อมอารีมาตลอดนั้นมีรอยยิ้มแห่งการยิ้มเยาะออกมา คุณปู่เย่กับคุณย่าเย่นั้นทำเกินไปจริงๆ
“มิน่าล่ะอะไร?” ท่านย่าถังยังไม่ทันดึงสติกลับมานั้น ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยจิตใต้สำนึก เพียงแค่ท่านย่าถังเห็นรอยยิ้มที่ดูเยาะเย้ยบนใบหน้าของท่านปู่ถังก็เข้าใจขึ้นมาทันที
คุณปู่เย่และคุณย่าเย่รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของจื่อซี แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆแม้แต่นิดเดียว ทำเหมือนกับไม่รู้อย่างไรอย่างนั้น และยังรีบร้อนที่จะกำหนดเรื่องการแต่งงานให้กับเย่ซือเฉินอีก จะต้องรังเกียจที่ถังจื่อซีเป็นเด็กผู้หญิงอย่างแน่นอน
พวกเขาตระกูลเย่เห็นเพศชายสำคัญกว่าเพศหญิง ถึงแม้จะรู้ว่าเย่ซือเฉินมีลูกกับเวินลั่วฉิงแล้ว ก็ยังไม่ให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน ยังคงคิดอยากจะแยกพวกเขาออกจากกัน เกี่ยวกับจื่อซีเด็กผู้หญิงคนนี้ คุณปู่เย่และคุณย่าเย่คงจะไม่ได้คิดที่จะเอาตัวกลับไปเลยเสียด้วยซ้ำ
เพราะถึงอย่างไรเย่ซือเฉินก็จะต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ถึงตอนนั้นแล้วทั้งหลานชาย และหลานสาวก็คงมีไม่ขาด
เรื่องแบบนี้ ทั้งสองคนตระกูลเย่นั้นก็ยังทำได้ลงจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้คุณปู่เย่และคุณย่าเย่จะต้องรีบผูกสัมพันธ์องค์กรโกสต์ซิตี้เพื่อหวังผลประโยชน์อย่างแน่นอน
สำหรับพวกเขาตระกูลถัง พวกเขาเห็นจื่อซีสำคัญมากกว่าแก้วตาดวงใจของตัวเองเสียอีก ไม่คิดว่าพวกเขาตระกูลเย่จะรังเกียจได้ลง?
มีสิทธิอะไรกัน? พวกเขาตระกูลเย่มีสิทธิอะไร?
ในใจของคุณปู่เย่กับคุณย่าเย่นั้นไม่แม้แต่จะมองเห็นเป็นครอบครัวเลยอย่างนั้นเชียวหรือ? ถังจื่อซีเป็นถึงหลานสาวแท้ๆของพวกเขาเชียวนะ
แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้ ท่านย่าถังไม่ได้เอ่ยพูดออกมาต่อหน้าถังจื่อซีอยู่แล้ว
ถังจื่อโม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างท่านย่าถังกับท่านปู่ถังแล้ว ใบหน้าเล็กๆนั้นก็หม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าหมายความว่าอะไร
“จื่อซีลูก ไป เราไปเล่นกันดีกว่า นั่นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กๆไม่ต้องไปสนใจหรอกนะลูก” เฟิ่งเหมียวเหมียวกลัวว่าถังจื่อซีจะเข้าใจอะไรโดยสัญชาตญาณ ดังนั้นจึงอยากที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของถังจื่อซีออกไป
“คุณย่าน้อย หนูเข้าใจค่ะ” แต่ถังจื่อซีกลับค่อยๆส่ายหน้าออกมาให้กับเฟิ่งเหมียวเหมียว : “หนูรู้ว่าพวกเขาไม่ชอบหนู พวกเขารังเกียจที่หนูเป็นเด็กผู้หญิง พวกเขาเคยพูดแบบนี้ตอนที่อยู่ต่อหน้าหนูที่บริษัทแล้ว พวกเขาบอกว่า เสียดายที่หนูเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนนึง ไม่มีประโยชน์อะไรเลย” เด็กๆอย่างถังจื่อซีฉลาดมาก อีกทั้งยังความจำดีมากเป็นพิเศษอีกด้วย ตอนนั้นคุณปู่เย่และคุณย่าเย่คิดว่าเธอยังเด็กคงจะฟังคำพูดเหล่านั้นไม่เข้าใจแต่เธอก็เข้าใจ อีกทั้งยังจำได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
เธอกลับมาแล้วไม่ได้พูดอะไรนั้นก็เป็นเพราะไม่อยากจะทำให้คุณแม่เสียใจนั่นเอง
“พวกเขา ไม่คิดว่าพวกเขา…….” ท่านย่าถังตบลงบนโต๊ะด้วยความโมโห ทำให้แก้วชาบนโต๊ะนั้นสะเทือนหกไปแล้ว ถ้าหากคุณปู่เย่กับคุณย่าเย่อยู่ที่นี่ ฝ่ามือนี้ของท่านย่าถังก็คงจะฟาดไปยังทั้งสองคนนั้นไปแล้ว
คุณปู่เย่และคุณย่าเย่ทำเกินไปแล้วจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าจะพูดออกมาว่ารังเกียจจื่อซีออกมาต่อหน้าเธอเพียงเพราะเธอเป็นเด็กผู้หญิง
“จื่อซี พวกเขาพูดอะไรกันอีกไหม?” คิ้วของท่านปู่ถังขมวดขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าปรากฏความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน หากว่ากันตามเหตุผลแล้วเรื่องแบบนี้ท่านปู่ถังจะไม่ยอมที่จะเอ่ยพูดถึงเลย แต่ท่านปู่ถังกลัวว่าคุณปู่เย่และคุณย่าเย่จะทำเรื่องอะไรอีก ถ้าหากเขารู้สถานการณ์บางอย่าง ก็จะสามารถคิดหาวิธีเตรียมป้องกันเอาไว้ได้ตั้งแต่แรกเลย
“พวกเขาบอกว่าหลังจากที่เช็คผลตรวจดีเอ็นเอของหนูจนให้แน่ใจแล้ว ก็จะรับหนูกลับไป แล้วจากนั้นก็จะส่งไปอยู่ต่างประเทศ ไม่ให้หนูกับคุณแม่ได้เจอกันอีกค่ะ”
เกี่ยวกับจุดนี้ถังจื่อซีจำได้อย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน ตอนแรกถังจื่อซีเป็นเพราะสาเหตุนี้ถึงได้ตั้งใจที่จะโทรไปฟ้องเย่ซือเฉินอีกด้วย
ดวงตาคู่นั้นของถังจื่อโม่จ้องมองไปยังน้องสาวของตัวเองอยู่ตลอด ใบหน้าเล็กๆของเขาเคร่งขรึม มุมปากเม้มเข้าหากัน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“อะไรนะ? พวกเขาทำได้ยังไง? พวกเขาเป็นแบบนี้ได้ยังไง?” ท่านย่าถังทั้งรู้สึกโมโหทั้งรู้สึกตกตะลึง มือสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ : “จิตใจของพวกเขาทำไมถึงได้โหดร้ายขนาดนี้ ไม่คิดเลยว่าจะจับพวกเขาแม่ลูกแยกออกจากกันได้ลง พวกเขายังมีความเป็นคนอยู่หรือเปล่า?”
“ดูแล้วไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้มีการเคลื่อนไหวเลยนะ ดูผิวเผินแล้วเหมือนจะไม่มีการเคลื่อนไหว หลังจากที่คุณปู่เย่และคุณย่าเย่ทำการตรวจดีเอ็นเอแล้ว จะต้องมาหาจื่อซีเป็นการส่วนตัวอย่างแน่นอน คิดที่จะส่งตัวจื่อซีออกไป” ท่านย่าถังยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโมโห : “ฉันไม่เคยเห็นคนที่ทำเกินไปได้ขนาดนี้เลยจริงๆ”
“ตอนนี้พวกเขาจัดการเรื่องงานแต่งงานแทนเย่ซือเฉินแล้ว กลัวว่าจะรีบหาตัวจื่อซี แล้วส่งตัวจื่อซีออกไป ตอนนี้ในใจของพวกเขาคิดอยากที่จะผูกสัมพันธ์กับองค์กรโกสต์ซิตี้เพื่อผลประโยชน์ จะให้เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นไม่ได้ สองสามวันนี้พวกเราจะต้องระวังกันหน่อย อย่าให้เกิดเรื่องขึ้นกับจื่อซีได้โดยเด็ดขาด”
เวลานี้ใบหน้าของท่านปู่ถังก็เคร่งขรึมไปหมดแล้ว เขามองเรื่องราวได้อย่างทะลุปรุโปร่งมากกว่าท่านย่าถังเสียอีก
“พวกเขากล้าอย่างนั้นหรือ? พวกเขาก็ลองดูสิ!” ดวงตาคู่นั้นของท่านย่าถังจ้องเขม็ง ถ้าหากทำได้ เธอก็อยากจะไปสู้กับคุณปู่เย่และคุณย่าเย่อย่างตรงไปตรงมาด้วยเช่นกัน
“เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยทำนี่ เรื่องราวเหล่านั้นในปีนั้นพวกเขายิ่งทำเกินไปเสียด้วยซ้ำ เลือดเย็นยิ่งกว่า” ดวงตาของท่านปู่ถังหรี่ลงเล็กน้อย นึกถึงเรื่องราวในปีนั้นแล้ว ท่านปู่ถังก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้
สีหน้าของท่านย่าถังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว : “ถูก คุณพูดถูก ช่วงสองสามวันนี้เราต้องดูแลจื่อซีให้ดี จะต้องไม่ให้พวกเขาหาตัวจื่อซีเจอได้อย่างเด็ดขาด พวกเขาจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
ท่านย่าถังนึกถึงเรื่องราวในตอนนั้นแล้วก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
เธอเพิ่งจะมารู้ตอนหลัง แล้วก็ได้ยินมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เนื้อหาเพียงแค่นิดเดียวนั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้เธอรู้สึกตกตะลึงมากพอแล้ว
คุณปู่เย่และคุณย่าเย่สามารถทำเรื่องอะไรออกมาได้ทั้งนั้น
ในปีนั้นทั้งๆที่เป็นความผิดของเย่โป๋เหวิน เมิ่งหยูเยียนเป็นผู้ที่ไม่มีความผิด คือผู้เสียหาย อีกทั้งยังถูกเย่โป๋เหวินให้ร้ายอีกด้วย แต่คนพวกนั้นของตระกูลเย่กลับเอาความผิดทั้งหมดมาลงที่เมิ่งหยูเยียน
ในตอนนั้นเมิ่งหยูเยียนกำลังตั้งครรภ์ อีกทั้งเป็นเพราะเรื่องนั้น จิตใจของเมิ่งหยูเยียนได้รับการกระทบกระเทือน แม้กระทั่งความรู้สึกจิตใต้สำนึกไม่ชัดเจนนัก คุณปู่เย่และคุณย่าเย่ไล่เมิ่งหยูเยียนออกมาจากตระกูลเย่แบบนั้น และยังไม่ให้เมิ่งหยูเยียนได้เจอกับเย่ซือเฉินอีกด้วย
เธอยังได้ยินมาว่า ตอนนั้นคุณปู่เย่คิดจะให้คนเอาลูกของเมิ่งหยูเยียนออกก่อนอีกด้วย หลังจากนั้นค่อยไล่เมิ่งหยูเยียนออกไป เพียงแต่ตอนนั้นเมิ่งหยูเยียนต่อต้านอย่างสุดชีวิต ต่อมานั้น ก็ยังคงเป็นท่านหยุนที่ออกหน้ามาช่วยเมิ่งหยูเยียนเอาไว้
ตอนนั้นเย่ซือเฉินอายุเพิ่งจะเพียงแค่เก้าขวบ เด็กคนหนึ่งที่อายุเพียงเก้าขวบถูกบีบบังคับให้ต้องแยกจากแม่แท้ๆของตัวเอง นั่นยิ่งมีความโหดร้ายมากกว่าแม่ของตัวเองจากโลกนี้ไปแล้วเสียอีก
แต่ตอนนั้นเย่โป๋เหวินไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ทำตามเรื่องมั่วๆแบบนั้นของคุณปู่เย่และคุณย่าเย่
พูดถึงขึ้นมาแล้ว คนพวกนั้นของตระกูลเย่ก็มีการกระทำที่เลือดเย็นด้วยกันทั้งสิ้น มีเพียงแค่เย่ซือเฉินที่แข็งแกร่งอยู่บ้าง ว่ากันตามความจริงแล้ว เธอคิดถึงเรื่องเหล่านั้นของตระกูลเย่แล้ว ก็ยิ่งรู้สึกไม่วางใจที่จะให้ฉิงฉิงแต่งงานกับเย่ซือเฉิน
“สองสามวันนี้หนูจะอยู่แต่ในบ้านนี้แหล่ะค่ะ ไม่ออกไปไหน พวกเขาก็หาตัวหนูไม่เจอแล้วก็จับตัวหนูไปไม่ได้ด้วย” ถังจื่อซีเป็นเด็กที่รู้ความเป็นอย่างมาก เธอเข้าใจในคำพูดของท่านย่าถังและท่านปู่ถัง เธอไม่อยากจะให้ทุกคนเป็นกังวล และเธอก็ยิ่งไม่อยากแยกจากคุณแม่ด้วย ดังนั้นเธอจะต้องไม่ออกไปข้างนอก
“จื่อซีเป็นเด็กดีจริงๆเลยนะลูก” ท่านย่าถังยื่นมือออกมาแล้วโอบถังจื่อซีมากอดเอาไว้ รู้สึกสงสัยจับใจ เด็กดีที่เชื่อฟังขนาดนี้ ทำให้คนรู้สึกรัก คุณปู่เย่กับคุณย่าเย่ทำไมถึงได้โหดร้ายขนาดนี้กัน?
ถังจื่อโม่ยืนอยู่ตรงนั้นอยู่ตลอด ใบหน้าเล็กๆเคร่งขรึม ไม่ได้เอ่ยพูดขึ้นมาเลย
“จื่อโม่ สองสามวันนี้เราอยู่เล่นที่บ้านเป็นเพื่อนน้องก่อนดีไหมลูก?” ท่านย่าถังมองไปยังถังจื่อโม่ เห็นท่าทางของถังจื่อโม่ ในใจก็รู้สึกหนักอึ้งอยู่เล็กน้อย จื่อโม่เด็กคนนี้มักจะเป็นพวกคิดมากมาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นพวกไว้ต่อความรู้สึกมากเป็นพิเศษอีกด้วย ไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่บ้าง
จื่อโม่อย่าได้ทำเรื่องอะไรเองเชียวนะ บางครั้งเด็กคนนี้ก็มีความคิดเห็นมากเกินไปอีกด้วย