ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 1341 ความโกรธกริ้วของคุณชายสามเย่ (3)
ตอนนี้ ตรงหน้าของเวินลั่วฉิงปรากฏภาพของลูกรักทั้งสองคนขึ้นมา และปรากฏภาพของเย่ซือเฉินขึ้นมา ดูเหมือนว่า จะหนีไปรอดเสียแล้ว
ครั้งนี้ คงหมดหนทางแล้วจริง ๆ ! !
ลูกรัก ลาก่อน เย่ซือเฉิน ลาก่อน
ตอนนี้ ทุกคนต่างเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี พวกเขาจึงไม่แสดงปฏิกิริยาใด ๆ ออกมา ดูเหมือนจะมีเพียงแค่ความตายเท่านั้นที่กำลังรอคอยพวกเขาอยู่ เวลานี้ จิตใจของทุกคนจึงหมองหม่นและสิ้นหวัง
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีรถเลี้ยงเข้ามาจากตรงหัวมุม ซึ่งเป็นโค้งหักศอก แต่ในขณะที่รถคันนั้นเลี้ยวมา กลับไม่มีทีท่าว่าจะชะลอความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย เป็นความเร็วที่น่าตกใจ ทั้งเร่งรีบและรวดเร็ว จนทำให้รถคันนี้เกือบจะพลิกคว่ำ แต่เห็นได้ชัดว่าคนที่ขับรถคันนี้มีฝีมือยอดเยี่ยม ในที่สุดจึงสามารถทำให้รถกลับมาทรงตัวเป็นปกติได้
หลังจากวินาทีที่เลี้ยวผ่านช่วงโค้งมา รถยนต์คันนั้นก็พุ่งเข้าใส่รถยนต์คันที่อยู่ด้านหน้าอย่างรวดเร็ว จนแทบจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ด้วยความเร็วและความแรงที่เกินพิกัด ทำให้รถคันด้านหลังชนกระแทกจนรถคันด้านหน้าทะยานออกไป
เห็นได้ชัดว่าคนที่อยู่ในรถคันข้างหน้า ไม่ทันคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น กว่าเขาจะตั้งสติได้ ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว และไม่สามารถหลบหลีกได้ทันการณ์ แน่นอนว่าต่อให้เขาจะตั้งสติได้ทันเวลาก็ไม่อาจหลบได้ทัน เพราะรถคันด้านหลังมาเร็วเกินไปจริง ๆ
เพราะแรกกระแทกจากรถคันหลัง ทำให้ลูกกระสุนที่ชายคนนั้นเพิ่งยิงออกไปเปลี่ยนทิศทาง โดยยิงออกจากด้านข้างของพวกเวินลั่วฉิง จากนั้นจึงพุ่งเข้าใส่ภูเขาหิน ทำให้ภูเขาหินเกิดการระเบิดขึ้นทันที และกลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ ส่วนก้อนหินที่แตกละเอียดก็ค่อย ๆ ร่วงหล่นลงมา
เป็นเพราะชายที่อยู่บนรถกำลังถือปืนและเล็งไปที่เป้าหมาย ด้วยการโจมตีจากรถคันหลังที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมรถในทันที ดังนั้นจึงทะยานออกไป อีกทางด้านหนึ่งของถนนเป็นเนินเขา รถคันนั้นจึงทะยานลงจากเนินเขาไป
ถึงแม้เนินเขาจะไม่สูงนัก แต่เป็นเพราะแรงกระแทกอย่างรุนแรงจากรถคันหลัง ส่งผลให้ขณะที่รถของชายคนนั้นร่วงลงสู่พื้น คนที่อยู่ด้านบนจึงต่างได้ยินเสียงกระแทกดังสนั่น ขณะที่ได้ยินเสียงนั้น รถคันดังกล่าวก็บุบสลายจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
เพียงแค่ได้ยินเสียงนั้นก็รู้ได้ในทันทีว่า โอกาสรอดชีวิตของคนที่อยู่บนรถนั้นมีไม่มากจริง ๆ
เย่ซือเฉินนั่งอยู่บนรถ เป็นเพราะแรงกระแทกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ทำให้ร่างกายของเขารู้สึกชาไปเช่นกัน ดวงตาของเขาพร่ามัว และมีเสียงดังอื้ออึงอยู่ในหู
โชคดีที่รถของเขามีคุณภาพ มิเช่นนั้น การชนเมื่อครู่ก็อาจทำให้ตัวเขาถึงแก่ชีวิตได้เช่นเดียวกัน
ผ่านไปสักพัก เย่ซือเฉินจึงตั้งสติกลับมาได้ ทันทีที่ได้สติ เขาก็เปิดประตูเดินลงจากรถ
เมื่อครู่ขณะที่เขาอยู่ระหว่างทาง เขาได้รับโทรศัพท์จากเวินลั่วฉิง แต่ตอนที่เขารับสายโทรศัพท์ในตอนนั้น เขาได้ยินเพียงเสียงอุทานด้วยความตกใจของเวินลั่วฉิง จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงปืน ฟ้าดินเป็นพยาน ในตอนนั้นหัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้นลงทันที
จากนั้น เขาก็ได้ยินเพียงแค่เสียงปืน และไม่ได้ยินเสียงของเธออีก เห็นได้ชัดว่าโทรศัพท์ของเธอตกอยู่ในจุดที่มีอันตราย เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังวิ่งหนี หรือว่าถูกปืนยิงเข้าให้แล้ว
ตอนนั้น เขารู้เพียงแค่ว่า เขาจะต้องมาหาเธอโดยเร็วที่สุด ดังนั้นเขาจึงเพิ่มความเร็วของรถที่เร็วอย่างน่าตกใจอยู่แล้ว ให้เร็วขึ้นจนถึงขีดสุด
อันที่จริงแล้ว การขับรถด้วยความเร็วเช่นนี้ ถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับการขึ้นเขา ทุกความประมาท และในทุก ๆ โค้ง รถมีโอกาสเสียการควบคุมได้ตลอดเวลา อีกฝั่งของภูเขาคือเนินเขา หากตกลงไป คงเป็นการยากที่จะเอาชีวิตรอด แต่เขาไม่มีเวลาคิดทบทวนสิ่งเหล่านี้มากนัก วินาทีนั้นเขาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
เขาต้องการรู้เพียงแค่ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เขาจึงต้องรีบหาเธอโดยเร็วที่สุด
เขาไม่ได้วางสายโทรศัพท์ เขาหวังว่าจะได้ยินเสียงของเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจากปลายสาย แต่ในสายโทรศัพท์กลับมีเพียงแค่เสียงปืนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะเสียงปืนที่ดังสนั่น ทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงของเธอ และไม่ได้ยินเสียงอื่น
เสียงปืนที่ดังขึ้นแต่ละนัด ๆ ทำให้เขารู้สึกใจสั่น ตอนนั้นเขารู้สึกกลัวจริง ๆ กลัวว่าในขณะที่เขาไปถึงที่เกิดเหตุ จะพบเพียงแค่ร่างที่ไร้วิญญาณของเธอเท่านั้น
หากเป็นเช่นนี้จริง ๆ เขาคงไม่รู้ว่าตนเองต้องทำอย่างไร
โชคยังดีที่เขามาได้ทันเวลา โชคยังดีที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ยังคงปลอดภัย
เย่ซือเฉินเดินลงจากรถ เท้าของเขาอ่อนแรงเล็กน้อยด้วยความตกใจ และเข่าของเขาก็รู้สึกเจ็บเนื่องจากแรงกระแทกเมื่อครู่ แต่กลับกลับไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ กลับรีบเดินโซเซเข้าไปหาเวินลั่วฉิงทันที
วินาทีที่เข้าเดินไปถึงตรงหน้าเวินลั่วฉิง เขาก็คุกเข่าลงที่พื้นทันที จากนั้นจึงกอดเวินลั่วฉิงเอาไว้ในอ้อมแขนแน่น ตอนนี้ตัวของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ เขาเกือบจะต้องสูญเสียเธอไปแล้ว
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่เป็นไรจริง ๆ” เวินลั่วฉิงรู้สึกได้ถึงร่างกายที่กำลังสั่นเทาของเขา จึงเข้าใจถึงความกลัวที่อยู่ภายในจิตใจของเขาเป็นอย่างดี เมื่อครู่เธอเองก็กลัว เธอรู้สึกกลัวไม่น้อยไปกว่าเขาเลย เวินลั่วฉิงรู้ดีว่า ถ้าเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะเย่ซือเฉินมาได้ทันเวลา หากไม่ใช่เพราะเย่ซือเฉินสามารถชนรถของผู้ชายคนนั้นจนกระเด็นออกไปได้ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน
ตอนนี้เธอคงจะระเบิดเป็นจุณแล้ว
“พี่ใหญ่ พี่มาได้จังหวะจริง ๆ หากช้าไปแค่เสี้ยววินาที พวกเราคงต้องจบเห่แน่นอน” ตอนนี้กู้หวูทรุดลงไปที่พื้นทันที เขารู้สึกร่างกายอ่อนปวกเปียกเช่นเดียวกัน วินาทีชีวิตถือเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายจริง ๆ
เมื่อครู่ถือเป็นช่วงเวลาที่เขาเข้าใกล้ความตายมากที่สุดครั้งหนึ่ง เขาคิดเพียงว่าต้องปกป้องคุณผู้หญิงเอาไว้ให้ได้เท่านั้น จึงไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองสักเท่าไรนัก ตอนนี้เมื่อปลอดภัยแล้ว จึงรู้สึกกลัวจนเหงื่อกาฬไหล
แน่นอนว่าโจ๋วชิงและไอ้หัวโตตกอยู่ในสภาพที่แย่กว่ากู้หวู ตอนนี้ทั้งสองนอนแผ่หลาอยู่บนพื้น และหายใจเหนื่อยหอบ เมื่อครู่พวกเขาเกือบจะได้หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์นี้เข้าไปแล้ว
โจ๋วชิงและไอ้หัวโตถูกยิงไปหลายนัด เสียเลือดไปไม่น้อย ตอนนี้พวกเขารู้สึกหมดแรงแล้วจริง ๆ เมื่อนอนราบลงบนพื้นก็ไม่อาจคิดอะไรได้อีก และไม่หลงเหลือแม้กระทั่งเรี่ยวแรงที่จะขยับตัว
เมื่อเย่ซือเฉินได้ยินคำพูดของกู้หวู ร่างกายก็แข็งทื่อในทันที เป็นเพราะในขณะที่เขาพุ่งชนรถของคนคนนั้น เข้าเห็นอย่างชัดเจนว่าวิถีกระสุนเปลี่ยนทิศทาง จากนั้นจึงยิงเฉียดพวกของเวินลั่วฉิงไป
ถ้าไม่ใช่เพราะการพุ่งชนของเขา กระสุนของคนคนนั้นจะต้องยิงเข้าใส่พวกของเวินลั่วฉิงอย่างแน่นอน หากพวกเขาถูกยิง คงจะมีสภาพไม่ต่างจากภูเขาหินที่แตกสลายเหล่านั้น
ถ้าหากเขามาช้าเพียงเสี้ยววินาที เขาก็คงไม่ได้เห็นเธออีก เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เย่ซือเฉินก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว เขากระชับแขนที่กอดเธอเอาไว้ให้แน่นขึ้น เขาพยายามออกแรงเพื่อกอดเธอให้แน่นที่สุด แน่นจนกระทั่งตนเองก็แทบจะหายใจไม่ออก
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไรจริง ๆ พวกเขาช่วยกันปกป้องฉัน พวกเขาต่างก็ได้รับบาดเจ็บ ส่วนฉันไม่เป็นอะไรเลยสักนิด” เวินลั่วฉิงสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวของเย่ซือเฉิน รู้สึกได้ถึงร่างกายที่แข็งทื่อของเขา เธอถูกเขารัดจนแทบหายใจไม่ออก แต่เธอกลับไม่ได้ผลักเขาออก และไม่ได้ดิ้นรนขัดขืน เธอไม่แม้แต่จะเอ่ยเตือนเขาเลยแม้แต่น้อย กลับปล่อยให้เขากอดเธอตามใจ
ตอนนี้ เวินลั่วฉินบอกกับเขาเพียงว่า เธอสบายดี ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บเลยสักนิด อีกทั้งเธอเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อนแอ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่อาจทำให้เธอรู้สึกตกใจได้ ดังนั้นเธอจึงไม่เป็นอะไรจริง ๆ
เมื่อเย่ซือเฉินได้ยินเสียงของเวินลั่วฉิง เขาก็สูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง เขาค่อย ๆ คลายแขนของเขาออกเล็กน้อย จากนั้นจึงมองสำรวจร่างกายของเวินลั่วฉิงอย่างละเอียด เมื่อพบว่าร่างกายของเธอไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาจึงรู้สึกโล่งใจ
จากนั้นเย่ซือเฉินจึงหันมองกู้หวู โจ๋วชิงและ ไอ้หัวโต พบว่าทั้งสามคนต่างได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งยังถูกยิงไปหลายนัด
แน่นอนว่าเย่ซือเฉินรู้จักความสามารถของกู้หวูและไอ้หัวโตเป็นอย่างดี ถึงแม้ก่อนหน้านี้เวินลั่วฉิงจะเคยผ่านการฝึกฝนมาก่อน แต่ฝีมือก็ไม่อาจเทียบชั้นกับกู้หวูและไอ้หัวโตได้ ในบรรดาทั้งสี่คน ดูเหมือนเวินลั่วฉินจะแข็งแกร่งกว่าโจ๋วชิงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ตอนนี้กู้หวูและไอ้หัวโตต่างถูกยิงไปหลายนัด แต่ร่างกายของเวินลั่วฉินกลับไม่มีร่องรอยการบาดเจ็บเลยสักนิด คุณชายสามเย่จึงรู้ได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“ขอบคุณพวกนายมากนะ” เย่ซือเฉินหันมองกู้หวูที่นั่งแผ่หลาอยู่บนพื้น รวมไปถึงโจ๋วชิงและไอ้หัวโตที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น แล้วกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่ตื้นตันเป็นอย่างยิ่ง ! !
เย่ซือเฉินรู้ดีว่า หากไม่มีพวกเขาทั้งสามคนคอยปกป้องเวินลั่วฉิงอย่างไม่คิดชีวิต กว่าเขาจะมาถึงที่นี่ คงจะต้องเกิดเรื่องขึ้นกับเวินลั่วฉิงอย่างแน่นอน อย่างน้อยคงต้องได้รับบาดเจ็บอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“พี่ใหญ่ พี่ต่างหากที่ช่วยพวกเราเอาไว้ หากพี่มาไม่ทันเวลา ตอนนี้พวกเราคงต้องแหลกเป็นจุณไปแล้ว คนที่ควรกล่าวขอบคุณคือพวกเราต่างหาก” กู้หวูค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งตัวตรง แต่ขาทั้งสองข้างยังคงรู้สึกอ่อนแรงอยู่เล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่ได้ลุกยืนขึ้น
“กู้หวูพูดถูก ซือเฉิน ขอบคุณมากนะ” โจ๋วฉิงยังคงนอนแผ่หลาอยู่บนพื้น ถึงแม้ตอนนี้โจ๋วชิงจะเอ่ยคำขอบคุณออกมา แต่ในน้ำเสียงของเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะโจ๋วอันหนาน เดิมทีจ๋วอันหนานคิดที่จะระเบิดพวกเขาให้ตายในคฤหาสน์ เมื่อพวกเขาหลบหนีออกมาจากคฤหาสน์ โจ๋วอันหนานก็ส่งคนมาตามฆ่าพวกเขาอีก
สิ่งที่โจ๋วอันหนานทำเป็นสิ่งที่โหดร้ายอย่างถึงที่สุด และเป็นสิ่งที่ยากเกินจะทนไหว ! !