ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 1350 คุณชายถัง ภรรยาของคุณถูกคนรังแกแล้ว (2)
- Home
- ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน
- บทที่ 1350 คุณชายถัง ภรรยาของคุณถูกคนรังแกแล้ว (2)
แต่หลายปีมานี้ ตัวเธอเองกลับกังวลเรื่องนี้มาโดยตลอด และรู้สึกหวาดกลัว ! !
“หนูไปก่อนนะคะ” หลินเป้ยไม่พูดอะไรอีก เธอเบี่ยงตัว และเดินผ่านคุณแม่หลินไป
“เป้ย……” ดูเหมือนคุณแม่หลินจะสังเกตเห็นความผิดปกติของหลินเป้ยแล้ว จึงตะโกนเรียกเธอเอาไว้
หลินเป้ยหยุดฝีเท้าลง แต่เธอไม่ได้หันหลังกลับ และไม่ได้พูดอะไร
“ลูกกำลัง ลูกกำลังโทษแม่อยู่หรือเปล่า ?” ใบหน้าของคุณแม่หลินเต็มไปด้วยความเจ็บปวด น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
หลินเป้ยแอบสูดหายใจเข้าเต็มปอด เพื่อทำให้อารมณ์ของตนเองกลับมาเป็นปกติ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เธอกลับรู้สึกหงุดหงิดใจมากยิ่งขึ้น
ประกอบกับในช่วงนี้มีอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรง เธอจึงไม่ค่อยได้ทานอะไรมากนัก ร่างกายจึงอ่อนแอ และรู้สึกเวียนศีรษะ ดังนั้นจึงมีผลต่อสภาพจิตใจ
“เปล่านะคะ” แต่หลินเป้ยก็ยังคงพยายามตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ
โทษแม่ไหม ? !
แม่ให้ชีวิตเธอ แม่เลี้ยงเธอมาจนโต เธอไม่ควร……
เธอไม่คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่อาจเป็นเพราะว่าเธอมีอีกหนึ่งชีวิตน้อย ๆ อยู่ในท้องของตนเอง ดังนั้นจึงถือว่าตนเองก็เป็นแม่คนหนึ่งแล้ว ทำให้ความรู้สึกของหลินเป้ยเปลี่ยนไปในทันที
อาจเป็นเพราะกำลังตั้งครรภ์ เธอจึงอารมณ์แปรปรวน
เธอเคยสืบค้นในอินเทอร์เน็ต ในอินเทอร์เน็ตกล่าวว่าเมื่อตั้งครรภ์ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้นบ้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเป้ย คุณแม่หลินก็ผงะไปอย่างเห็นได้ชัด ที่คุณแม่หลินของหลินเป้ยผงะไป ไม่ใช่เพราะคำพูดของหลินเป้ย แต่เป็นเพราะน้ำเสียงของหลินเป้ยในตอนนี้
ถึงแม้หลินเป้ยจะปฏิเสธ แต่เธอก็รับรู้ได้ถึงความหงุดหงิดจากน้ำเสียงของหลินเป้ย อีกทั้งดูเหมือนจะเริ่มหมดความอดทนเล็กน้อย
ตั้งแต่เล็กจนโตหลินเป้ยเป็นเด็กที่เชื่อฟัง และไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้ในการพูดคุยกับเธอมาก่อน
คุณแม่หลินรู้สึกเสียใจในทันที เธอยืนมองหลินเป้ยนิ่งโดยไม่พูดอะไร แต่ดวงตาของเธอทั้งสองข้างกลับมีน้ำตาเอ่อล้นออกมา
หลินเป้ยหันหลังกลับ เมื่อเห็นท่าทางของแม่ เธอก็สูดหายใจเข้าเต็มปอดอย่างแรง : “แม่คะ หนูไม่ได้โทษแม่จริง ๆ……”
หลินเป้ยอยากปลอบใจแม่ของตนเอง แต่หลังจากที่พูดประโยคนี้ออกไปแล้ว เธอกลับมีรู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ เวลาเธออยู่ด้านนอก เธอเป็นคนที่ฉลาดหัวไว เจอคนประเภทไหนก็สามารถพูดคุยกับคนได้ทุกประเภท แต่เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าแม่ของตนเอง เธอกลับทำไม่ได้
ตอนนี้เธอรู้สึกหงุดหงิดใจจริง ๆ ดังนั้นคำพูดบางอย่างเธอจึงไม่อาจพูดออกมาได้
“แม่คะ หนูไปก่อนนะคะ การเดินทางไปต่างประเทศในครั้งนี้เป็นไปอย่างเร่งรีบ จึงต้องรีบเตรียมตัวโดยทันที” หลินเป้ยแอบสูดหายใจเข้าเต็มปอดอีกครั้ง เธอไม่พูดอะไรต่ออีก อีกทั้งยังรีบหันหลังแล้วเดินจากไปทันที
เป็นเพราะเธอไม่ได้ทานไม่ลงมาหลายวัน และเป็นเพราะครั้งนี้เธอออกเดินอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอโซเซจนเกือบจะล้มลง
“เดินช้า ๆ หน่อยสิลูก ระวังด้วย ถึงงานจะสำคัญ แต่ก็ต้องระวังสุขภาพด้วยนะ” คุณแม่หลินรีบเดินเข้าไปประคองเธอ
“ค่ะ หนูรู้แล้ว” หลินเป้ยรู้สึกอยากจะร้องไห้ แม่ยังคงเป็นห่วงเธอ แม่ยังคงรักเธอ บนโลกนี้มีแม่คนเดียวเท่านั้นที่รักเธอ บนโลกนี้มีแม่คนเดียวเท่านั้นที่เป็นคนในครอบครัวของเธออย่างแท้จริง
ถึงแม้เธอจะกลับเข้าราชวงศ์ ถึงแม้เธอจะปลอมตัวเป็นผู้ชาย แต่เธอก็ไม่เคยได้รับการยอมรับจากราชา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการให้ความสำคัญ
เธอรู้ดีว่า สำหรับราชาแล้ว “ลูกชาย” อย่างเขาไม่มีความสำคัญอะไร จะมีหรือไม่มีก็ไม่ต่างกัน
แน่นอนว่า “ลูกชาย” ยังมีความสำคัญมากกว่าลูกสาว หากเป็นลูกสาว เธอคงจะไม่มีโอกาสกลับเข้ามาในราชวงศ์อย่างแน่นอน
แต่ถึงแม้เธอจะปลอมตัวเป็นผู้ชายกลับเข้าในราชวงศ์ ความเป็นอยู่ของเธอก็ไม่สู้ดีนัก ยังไม่อาจเทียบเท่าผู้ติดตามที่อยู่ข้างกายของเจ้าชายคนอื่น ๆ เสียด้วยซ้ำ
ราชาไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตาเลยสักนิด ในสายตาของราชา เธอดูราวกับไม่มีตัวตน
ผ่านมาหลายปีกว่าที่เธอจะกลับเข้ามาในราชวงศ์
ภายหลังเธอรู้จักวางแผน และไม่หยุดที่จะแสวงหาโอกาสเพื่อเข้าใกล้องค์ชายใหญ่ และช่วยองค์ชายใหญ่ออกความคิดเห็น ช่วยแก้ไขปัญหาให้องค์ชายใหญ่ไปได้ไม่น้อย และในที่สุดก็มีความสำคัญต่อองค์ชายใหญ่
จากนั้นเธอจึงกลายเป็นที่รู้จัก และได้รับการยอมรับจากทุกคน และในที่สุดจึงเริ่มที่จะเชิดหน้าชูตาได้
และนี่ก็ถือว่าเธอทำให้ผู้เป็นแม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่เธอปรารถนา
หลินเป้ยรู้สึกดวงตาพร่ามัวเล็กน้อย เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะร้องไห้ หลังจากตั้งครรภ์แล้ว อารมณ์ของเธอก็แปลกประหลาดอย่างมาก ช่างอารมณ์แปรปรวนจริง ๆ
หลินเป้ยไม่ต้องการให้แม่เห็นเธอในสภาพนี้ ดังนั้นเธอจึงไม่ยอมเงยหน้าขึ้น และรีบเดินออกไปด้านนอกทันที : “หนูไม่เป็นไรค่ะ หนูไปก่อนนะคะ หนูรีบ”
ครั้งนี้ หลินเป้ยพยายามปรับน้ำเสียงของตนเองให้เป็นปกติที่สุด และไม่แสดงอารมณ์อื่น ๆ ที่ไม่ควรแสดงออกมา
แต่หลังจากที่หลินเป้ยเปิดประตูแล้วเดินออกจากห้องมา น้ำตาก็ไหลรินลงมาอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเธอก็ร้องไห้ออกมาจริง ๆ
เธอจำไม่ได้ว่าตนเองไม่ร้องไห้มานานกี่ปีแล้ว ดูเหมือนตั้งแต่ที่แม่ให้เธอปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อกลับเข้ามาในราชวงศ์ เธอก็ไม่เคยร้องไห้อีกเลย
เธอคิดมาตลอดว่า หลายปีมานี้เธอผ่านเรื่องราวมามากมายจนมีความอดทนอย่างสูงยิ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับร้องไห้ออกมาอย่างง่ายดาย
เมื่อตั้งครรภ์แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้นจริงหรือ ?
แพ้ท้องไม่เท่าไหร่ กินไม่ลงไม่เท่าไหร่ แต่นี่เธอกลับสูญเสียทั้งความหยิ่งยโสและความใจเย็นของเธอไปด้วยอย่างนั้นหรือ ?
ไม่ ไม่ได้ จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ เธอจะต้องรรีบหาวิธีกำจัดเด็กคนนี้โดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้น เธอจะต้องถูกจับได้เข้าสักวัน
หากถูกจับได้ขึ้นมา เธอกับแม่จะต้องตายอย่างแน่นอน
เพราะอันที่จริงแล้ว ความลับเรื่องที่เธอเป็นลูกสาวจะให้คนอื่นล่วงรู้ไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นในคฤหาสน์แห่งนี้จึงไม่มีคนอื่น ดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นสภาพของเธอในตอนนี้
แต่ทว่า วินาทีถัดมา หลินเป้ยกลับพยายามรวบรวมสมาธิ เธอจะให้ใครสังเกตเห็นความผิดปกติไม่ได้ ให้เห็นไม่ได้เด็ดขาด
หลินเป้ยรีบกลับไปที่อพาร์ทเมนต์เล็ก ๆ ของตัวเอง แล้วเก็บกระเป๋าเดินทางให้เรียบร้อบ จากนั้นจึงรอฟังข่าวจากองค์ชายใหญ่
เดิมทีหลินเป้ยคิดว่าเรื่องนี้จะราบรื่น เพราะประเทศLเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ และประเทศLเอง ก็ไม่ได้มีมิตรไมตรีอันดีกับประเทศของพวกเขามากนัก ในเมื่อองค์ชายใหญ่ไม่อยากไป ราชาเองก็คงไม่สนใจอะไรนัก
ดังนั้นการส่งเธอไปรับมือก็คงไม่เป็นปัญหา
หลินเป้ยรออยู่นานกว่าสองชั่วโมง ในที่สุดองค์ชายใหญ่ก็โทรศัพท์มา
“หลินเป้ย นายอย่าไปประเทศLเลยนะ พวกเขาน่ากลัวเกินไป นายไปคนเดียวฉันรู้สึกไม่วางใจ” น้ำเสียงขององค์ชายใหญ่ดูแปลกไปมากอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงฟังดูเลื่อนลอยเล็กน้อย
หลินเป้ยผงะไป แววตาของเธอสั่นคลอน : “เสด็จพ่อไม่เห็นด้วยใช่ไหม”
เธอรู้ดีว่าคำพูดขององค์ชายใหญ่ล้วนเป็นข้ออ้างทั้งนั้น ถ้าหาไม่วางใจ ก็คงปฏิเสธตั้งนานแล้ว คงไม่ยอมรับปากเธอว่าจะไปปรึกษากับเสด็จพ่ออย่างแน่นอน ดังนั้นจึงมีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นก็คือ เสด็จพ่อไม่เห็นด้วย
องค์ชายใหญ่โกหกไม่เก่ง อีกทั้งเขาเองก็ไม่คิดว่าเขาจะสามารถโกหกหลินเป้ยได้ ดังนั้นเขาจึงยอมรับออกมาตามตรง : “ใช่”
“ผมเข้าใจแล้ว” หลินเป้ยหัวเราะออกมาทันที เพียงแต่ในเสียงหัวเราะมีน้ำเสียงเสียดสีประชดประชันอยู่
หลินเป้ยรู้สึกด้อยค่าเป็นอย่างยิ่ง เธอคิดมาตลอดว่าสิ่งที่เธอทำมาทั้งหมดตลอดหลายปีมานี้ ผู้เป็นพ่อนั้นมองเห็น อีกทั้งองค์ชายใหญ่เองก็ไม่เคยเอาความดีของชอบของเธอไปเป็นของตนเอง แต่มักจะบอกกับพ่อทุกครั้งว่าเธอเป็นคนสนอความเห็น
เธอคิดว่าอย่างน้อยพ่อก็คงยอมรับในตัวเธอ แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างไร้เดียงสาเกินไป
การเดินทางที่แม้แต่องค์ชายใหญ่ก็ยังไม่อยากไป และแม้กระทั่งราชาก็ไม่เห็นความสำคัญ การเดินทางที่องค์ชายใหญ่ยอมเปลี่ยนแปลงเพียงเพราะการมาเยือนของถังหลิน แต่ราชากลับไม่ยินดีให้เธอไป
“หลินเป้ย นายไม่เป็นไรใช่ไหม” องค์ชายใหญ่ก็ฟังออกว่าน้ำเสียงของหลินเป้ยดูแปลกไป หรือจะพูดให้ชัดเจนก็คือ องค์ชายใหญ่ก็ฟังน้ำเสียงเสียดสีของหลินเป้ยออก จึงรู้สึกแปลกใจมาก
หลายปีมานี้ หลินเป้ยคอยอยู่ข้างกายเขามาตลอด เขาจึงรู้จักหลินเป้ยเป็นอย่างดี ปกติแล้วไม่ว่าหลินเป้ยจะพบเจอกับเรื่องใด ก็ไม่มีทางเผยความรู้สึกของตัวเองออกมาให้เห็นเด็ดขาด
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เธอกำลังไม่เคารพราชา ? !
“ผมไม่เป็นไร พี่ใหญ่ ผมวางสายก่อนนะ” หลินเป้ยไม่ได้อธิบาย ตอนนี้เธอไม่อยากอธิบายอะไรให้มากความ เรื่องทุกอย่างก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว แล้วเธอยังจำเป็นต้องพูดอะไรอีก ?
“หลินเป้ย……” องค์ชายใหญ่ยิ่งรู้สึกตกใจ หลินเป้ยกำลังโมโหอย่างนั้นหรือ ?
หลินเป้ยคนนี้ คือหลินเป้ยที่เขารู้จักคนนั้นหรือเปล่า ?
“พี่ใหญ่ ผมอยากจะไปเที่ยวต่างประเทศพัก ช่วงนี้คงไม่สามารถติดตามพี่ใหญ่ได้แล้ว” หลินเป้ยตัดบทพูดขององค์ชายใหญ่ทันที ในเมื่อไม่สามารถไปต่างประเทศเพื่อทำธุระได้ เธอก็จะไปต่างประเทศด้วยตัวเอง โดยใช้การท่องเที่ยวเป็นข้ออ้าง
หลินเป้ยรู้ดีว่าอารมณ์ที่ตนเองแสดงออกไปเมื่อครู่นั้นไม่เหมาะสม และเธอก็รู้ดีว่าน้ำเสียงที่เธอใช้เมื่อครู่นั้นไม่เหมาะสมเช่นกัน เธอรู้ดีว่าองค์ชายใหญ่ต้องฟังน้ำเสียงเสียดสีของเธอออกอย่างแน่นอน แต่เธอก็ไม่ได้อธิบาย ! !