ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 1367 แบบนี้เรียกว่าขอโทษหรือ (1)
คุณพ่อโจว๋เหลือบมองคุณแม่โจว๋พลางขมวดคิ้วแน่น ริมฝีปากเริ่มขยับ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“แล้วทีนี้จะทำยังไง คงไม่ปล่อยให้หนานหนานของพวกเราติดคุกหรอกใช่ไหม” คุณแม่โจว๋เห็นเขาไม่ตอบคำก็ยิ่งร้อนใจ
“รองผู้บัญชาการหลี่บอกว่าทางเดียวที่จะช่วยได้ก็คือให้เย่ซือเฉินกับตระกูลถังถอนฟ้อง หากพวกเขาไม่เอาเรื่อง หนานหนานอาจจะรอด” คุณพ่อโจว๋พูดประโยคนี้ออกมาอย่างยากลำบาก เขาเองก็คิดว่าอาจจะมีหนทางอื่น แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงยอมรับความจริง
“ให้พวกเขาถอนฟ้อง จะให้พวกเขาถอนฟ้องได้ยังไง” คุณแม่โจว๋ชะงักไป ช่วงขณะหนึ่งเธอไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบ
“ขอร้องให้พวกเขาถอนฟ้อง ขอร้องให้พวกเขาให้อภัย” น้ำเสียงของคุณพ่อโจว๋เริ่มแหบแห้งเมื่อนึกถึงเรื่องที่พวกตนไปโวยวายที่บ้านตระกูลถัง ตอนนี้จะให้กลับไปขอร้องพวกเขา?
ในใจของคุณพ่อโจว๋ปฏิเสธ แต่เมื่อนึกถึงลูกสาว เขาก็เริ่มลังเล
“ประธานโจ๋ว นี่คงเป็นเพียงหนทางเดียวจริงๆ หากอีกฝ่ายถอนฟ้อง เรื่องนี้ยังพอจะมีหนทางให้เจรจากันได้บ้าง” ทนายหวางรู้ดีถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์ ดังนั้นจึงมั่นใจว่านี่เป็นเพียงหนทางเดียวที่เหลือ
คำแนะนำที่รองผู้บัญชาการหลี่ให้พวกเขาเป็นคำแนะนำที่ดี
“ไปขอร้องพวกเขา ให้ฉันไปขอร้องพวกเขา เห็นชัดๆ ว่าพวกเขาใส่ร้ายหนานหนาน ถือดียังไงให้พวกเราไปขอร้องพวกมัน” เมื่อคุณแม่โจว๋ตั้งสติได้แล้ว ก็เริ่มขัดขืนและหัวเสียขึ้นมา
“คุณหญิงครับ เรื่องที่เกิดขึ้นคราวนี้เป็นความผิดของคุณหนูใหญ่จริงๆ ตอนนี้พวกเราควรคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ปัดความรับผิดชอบ” ทนายหวางไม่เข้าใจว่าในหัวของคุณหญิงโจ๋วคิดอะไรอยู่บ้าง ใช้ตรรกะอย่างไร เหตุการณ์ออกมาชัดเจนขนาดนี้แล้ว ยังพูดออกมาได้ว่าคนอื่นใส่ร้าย
“หุบปากเดี๋ยวนี้ ไม่มีทางเป็นความผิดของหนานหนานไปได้ หนานหนานของพวกเราไม่มีทางทำผิด” จนถึงตอนนี้คุณแม่โจว๋ยังคงยืนยันว่าลูกสาวของตนเองไม่ได้ทำผิด
“พอได้แล้ว เรื่องนี้ชัดเจนมากแล้ว มันเป็นความผิดของหนานหนาน” คุณพ่อโจว๋เองก็ไม่อยากยอมรับข้อนี้ แต่เขาคิดว่านี่คือความจริง ความจริงที่ไม่อาจไม่ยอมรับ
หากไม่ใช่ความผิดของโจ๋วอันหนาน เขายังสามารถทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ถึงเวลานั้นตระกูลถังก็ต้องกลัวเขาบ้าง
แต่นี่เป็นเพราะว่าเป็นความผิดของหนานหนาน ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าเรื่องนี้ยากที่จะจัดการ
คุณแม่โจว๋ยังอยากจะเถียง แต่เมื่อเห็นสีหน้าหมองคล้ำของคุณพ่อโจว๋ ก็ได้แต่กล้ำกลืนคำพูดที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากลงไป
“ต่อให้หนานหนานทำผิดจริง พวกเขาก็ไม่น่าใจร้ายขนาดนี้ ไม่ควรยอมปล่อยให้หนานหนานติดคุก” พอคุณแม่โจว๋ได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากของคุณพ่อโจว๋ ก็จำใจยอมรับว่าเป็นความผิดของโจ๋วอันหนาน แต่ในใจของเธอ ต่อให้ลูกสาวทำผิด ตระกูลถังก็ไม่ควรทำแบบนี้ ไม่ควรเอาลูกสาวของเธอเข้าคุก
ทนายหวางไร้คำพูด เรื่องที่โจ๋วอันหนานทำเห็นชัดๆ ว่าเป็นอาการคลุ้มคลั่งเสียสติ เรื่องที่โจ๋วอันหนานทำ แค่ติดคุกตลอดชีวิตยังเบาเกินไป เย่ซือเฉินกับตระกูลถังไม่ได้ใจร้ายเกินไป
อีกอย่างคนที่ทำผิดก็สมควรได้รับโทษ ทำไมคุณหญิงโจ๋วถึงคิดว่าโจ๋วอันหนานไม่ควรติดคุก
เขารู้มาก่อนหน้านี้บ้างแล้วว่าคุณหญิงโจ๋วรักลูกสาวของตัวเองมาก แต่ไม่คิดว่าคุณหญิงโจ๋วจะรักลูกสาวถึงขั้นไม่แบ่งแยกผิดถูกแบบนี้ ก็ไม่แปลกที่โจ๋วอันหนานจะทำเรื่องผิดร้ายแรงแบบนั้น
“สถานการณ์ตอนนี้ มีเพียงตระกูลถังกับเย่ซานเฉินถอนฟ้องเราเท่านั้นถึงจะมีทางรอด ตอนนี้คุณไปที่บ้านตระกูลถังกับผมอีกสักรอบ ไปขอร้องให้พวกเขาถอนฟ้อง” ก่อนหน้านี้คุณพ่อโจว๋ไม่คิดว่าเรื่องราวจะร้ายแรงขนาดนี้ และเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านตระกูลถังก่อนหน้านี้ เขาอดที่จะกลุ้มใจไม่ได้ ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ พวกเขาไม่ควรทำให้ท่านปู่ถังกับท่านย่าถังโมโหเลยแบบนั้นเลย
แต่เขารู้ว่าท่านปู่ถังเป็นคนใจกว้างตลอดมา หากตอนนี้เขาไปขอร้องท่านปู่ถัง ท่านปู่ถังคงจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่เคยมีต่อกันแล้วยอมเห็นใจหนานหนานบ้าง
ขอเพียงท่านปู่ถังยอม เวินลั่วชิงเองก็คงจะเชื่อฟังท่านปู่ถัง
“ต้องไปขอร้องพวกเขาจริงๆ หรือ เมื่อกี้ฉันเพิ่งทะเลาะกับพวกเขามา ตอนนี้ให้ไปขอร้องพวกเขา ฉัน……” ปกติคุณนายโจ๋วเป็นคนเย่อหยิ่ง การไปขอร้องคนอื่นเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยทำ ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้เธอยังไปหาเรื่องพวกเขาเอาไว้อีก
“ก็บอกพวกเขาไปว่าก่อนหน้านั้นพวกเราเข้าใจผิด ตอนนี้พวกเราสำนึกผิดแล้ว” เกิดประกายในแววตาของคุณพ่อโจว๋ จากนั้นจึงกล่าวเสริมว่า “การไปครั้งนี้ พวกเราต้องขอร้องท่านปู่ถัง ท่านปู่ถังเป็นคนพูดง่ายกว่า อีกอย่างหากท่านปู่ถังตกลง เรื่องนี้ก็จะจัดการง่ายขึ้นมาก”
“……ก็ได้” คุณแม่โจว๋ไม่อยากไปขอร้องคนอื่น แต่เมื่อนึกถึงลูกสาวของตัวเองที่ถูกกุมตัวอยู่ เธอก็ได้แต่เพียงฝืนรับปาก
“พวกเราไปหาโจ๋วชิงก่อนไม่ดีกว่าหรือ เมื่อกี้ทนายหวางก็บอกแล้วว่าโจ๋วชิงเป็นพยานให้พวกเขา ถ้าหากโจ๋วชิงไม่ออกหน้าช่วยเป็นพยานให้พวกเขา บางทีอาจจะเป็นประโยชน์กับหนานหนานขึ้นบ้าง” เมื่อคุณแม่โจว๋คิดว่าตัวเองจะต้องแบกหน้าไปก้มหัวขอร้องคนอื่น เธอก็รู้สึกไม่อยากทำ แม้ว่าคนที่จะไปขอร้องเป็นตระกูลถังก็ตาม
เธอคิดว่าให้ไปขอร้องท่านปู่ถังไม่สู้ไปหาลูกชายของตัวเองจะดีกว่า
เธอเป็นคนให้กำเนิดลูกชายออกมาเอง แถมเขายังเป็นน้องชายแท้ๆ ของหนานหนาน จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะช่วยคนอื่นแต่ไม่ยอมช่วยพวกตัวเอง
คุณพ่อโจว๋เม้มปากพลางครุ่นคิด จากนั้นจึงพยักหน้า “ก็ดี ไปหาโจ๋วชิงก่อน โจ๋วชิงได้ยังคงบาดเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาล พวกเราจะได้ไปดูด้วยว่าเขาอาการเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
นาทีนี้คุณพ่อโจว๋เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าลูกชายของตัวเองยังคงนอนอยู่ที่โรงพยาบาล
“ใช่ ใช่ เดี๋ยวฉันจะไปซื้อผลไม้ที่โจ๋วชิงชอบ พวกเราจะไปโรงพยาบาลด้วยกัน พยานของพวกเขาคือโจ๋วชิง ถ้าโจ๋วชิงไม่เป็นพยานให้พวกเขา แต่มาช่วยหนานหนานแทน ถึงตอนนั้นหนานหนานของพวกเราก็จะรอดแล้ว โจ๋วชิงจะต้องถูกพวกเขาข่มขู่มาแน่ๆ ขอแค่พวกเราคุยกับโจ๋วชิงดีๆ โจ๋วชิงจะต้องเข้าใจพวกเรา”
ถึงตอนนี้คุณแม่โจว๋ยังคิดว่าลูกสาวของตัวเองไม่ผิด คนที่ผิดคือคนอื่น ลูกชายของเธอก็โดนคนอื่นล่อลวงไปเช่นกัน
“ไปหาโจ๋วชิงที่โรงพยาบาลก่อนแล้วค่อยว่ากัน” คุณพ่อโจว๋ยังมีสติมากกว่า เขาไม่ได้มองทุกอย่างในแง่ดีเหมือนอย่างคุณแม่โจว๋ แต่เขาคิดว่าแนวคิดของคุณแม่โจว๋ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
ทั้งสองไปเลือกซื้อของด้วยกันก่อนจะเดินทางไปยังโรงพยาบาล
โรงพยาบาลที่โจ๋วชิงอยู่คือโรงพยาบาลของตระกูลตัวเอง มีคนคอยดูแลเฉพาะ แต่เมื่อหยวนหยูทราบข่าวว่าโจ๋วชิงได้รับบาดเจ็บก็คอยมาเฝ้าที่ห้องผู้ป่วยตลอดไม่ยอมห่างไปไหน
คุณพ่อหยวนก็อาศัยอยู่ที่โรงพยาบาลของโจ๋วอัน หลังจากคุณพ่อหยวนถูกทำร้ายจนสลบไป เขาไม่ได้หวาดกลัว ไม่มีปัญหาอื่นใด เหตุการณ์ค่อนข้างปกติดี โรคหัวใจที่เขาเป็นอยู่ โจ๋วอันหนานก็เป็นคนผ่าตัดให้ การผ่าตัดค่อนข้างประสบความสำเร็จ แต่โจ๋วอันหนานต้องการควบคุมหยวนหยูให้หยวนหยูอยู่ห่างจากโจ๋วชิง โจ๋วอันหนานจึงตั้งใจบอกว่าอาการของคุณพ่อหยวนไม่ดีนัก ทำให้คุณพ่อหยวนต้องรักษาตัวอยู่ที่วิลล่ามาตลอด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อแปดปีก่อนหน้าบัดนี้ได้คลี่คลายแล้ว เรื่องเข้าใจผิดต่างๆ กระจ่างชัด อาการป่วยทางจิตของโจ๋วชิงก็หายดีแล้ว วันนี้โจ๋วชิงได้รับบาดเจ็บและมีหยวนหยูมาคอยอยู่ข้างๆ ทำให้โจ๋วชิงรู้สึกมีความสุขใจอย่างมาก
หลังจากผ่านไปแปดปีก็กลับได้มาอยู่ด้วยกันอีก แม้ว่าจะมีระยะเวลาแปดปีขวางกั้น แต่การกระทำที่คนทั้งสองปฏิบัติต่อกันเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนและอบอุ่น
ผ่านมาแปดปี ความรู้สึกของคนทั้งสองไม่เคยแปรเปลี่ยน ทั้งสองคนยังรักผูกพันกันและกัน ดังนั้นเมื่อเรื่องเข้าใจผิดทุกอย่างคลี่คลาย คนทั้งสองจึงกลับมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไม่มีข้อกังขา แถมคนทั้งสองยังผูกพันลึกซึ่งต่อกันมากกว่าเมื่อแปดปีที่แล้วเพราะผ่านบททดสอบด้วยกันมาถึงแปดปี
เมื่อคุณแม่โจว๋เดินเข้ามาในห้องผู้ป่วย ภาพแรกที่เธอเห็นคือใบหน้ายิ้มแย้มอย่างสดใสของหยวนหยูที่นั่งคุยอะไรบางอย่างอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย
คุณแม่โจว๋ชะงักไป จากนั้นสีหน้าจึงค่อยๆ ตึงเครียดขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อวานตอนที่เธอมาคุณพ่อหยวนยังไม่ตื่นนอน หยวนหยูจึงยังเฝ้าพ่อของตัวเองอยู่ คุณแม่โจว๋จึงไม่ได้เจอหยวนหยู
คุณแม่โจว๋ไม่ชอบหยวนหยู ไม่ชอบตั้งแต่พบหน้ากันครั้งแรกเมื่อแปดปีที่แล้ว หญิงสาวจนๆ ที่เป็นชาวเขาเผ่าเล็กๆ แสนต่ำต้อย หน้าตาก็ไม่ได้สะสวย ความสง่างามก็ไม่มี การศึกษาก็ด้อย วิชาที่พวกคุณหนูควรจะมีกันก็ไม่มี กล้าดีอย่างไรถึงจะคิดจะแต่งงานกับลูกชายของตน กล้าดีอย่างไรที่จะมาเป็นสะใภ้ตระกูลโจ๋ว
แต่ในตอนนั้นท่านย่าโจว๋ค่อนข้างชอบเธอ แถมหยวนหยูยังทำให้โจ๋วชิงหลงจนหัวปักหัวปำ คุณแม่โจว๋จึงไม่กล้าลงมือกับเธอซึ่งหน้า จึงให้โจ๋วอันหนานหาวิธีบีบให้หยวนหยูต้องออกห่างจากโจ๋วชิงไปเอง
คุณแม่โจว๋ไว้ใจในฝีมือของโจ๋วอันหนานมาก และผลลัพธ์ที่ได้ก็ทำให้เธอพอใจมากเช่นกัน เดิมทีเธอคิดว่าคนทั้งสองได้ยุติความสัมพันธ์กันไปตั้งแต่แปดปีที่แล้วแล้ว
คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะได้เห็นหยวนหยูมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ดูจากท่าทางของคนทั้งสองแล้วน่าจะคืนดีกันแล้วเหมือนอย่างในอดีต
เมื่อคุณแม่โจว๋เข้ามาในห้องจึงเห็นโจ๋วชิงมองหยวนหยูด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก ใบหน้าของเธอจึงยิ่งหมองคล้ำลง สิ่งที่เธอรับไม่ได้มากที่สุดคือเห็นลูกชายตัวเองหลงใหลผู้หญิงคนนี้
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหยวนชิง คุณแม่โจว๋พยายามอดทนเอาไว้ ไม่ได้กล่าววาจาอะไรที่รุนแรง
คุณแม่โจว๋ยังไม่รู้ว่าโจ๋วชิงรู้ความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อแปดปีที่แล้วแล้ว ถ้ารู้อาจจะข่มอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่
“พ่อ แม่” เมื่อโจ๋วชิงเห็นพวกเขาจึงหันมาเรียก สีหน้าของโจ๋วชิงเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมา เขามองไปที่หยวนหยูก่อนจะเอ่ยแนะนำอย่างหนักแน่น “เธอชื่อหยวนหยู พ่อกับแม่เคยเจอเธอมาแล้วครับ”
โจ๋วชิงไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่น เพราะนี่คือพ่อแม่ของตน โจ๋วชิงยังอยากไว้หน้าพ่อแม่ของตัวเองอยู่
“อืม พวกหนูเคยรู้จักกันมาก่อน ก็ถือว่าเป็นเพื่อนกัน เธอช่วยมาดูตอนลูกได้รับบาดเจ็บก็ถือเป็นการแสดงน้ำใจต่อกัน” คุณแม่โจว๋ฝืนยิ้มออกมา ในคำพูดของเธอมีความหมายแอบแฝง
“แม่ ผมจะแต่งงานกับหยวนหยู รอให้ผมออกจากโรงพยาบาลก่อน ผมจะไปจดทะเบียนสมรสกับเธอแล้วเราจะจัดงานแต่งงานด้วยกัน” โจ๋วชิงเป็นคนฉลาด จึงฟังออกว่าแม่ของตนหมายความว่าอย่างไร เมื่อแปดปีก่อนเขาเข้าใจผิดจึงทำให้หยวนหยูต้องเสียใจ ผ่านมาแปดปีแล้ว เขาจะไม่ทำให้หยวนหยูต้องเสียใจเรื่องอะไรอีกเมื่อแปดปีก่อนเขาได้คุยเรื่องแต่งงานกับหยวนหยูแล้ว และได้ขอเธอแต่งงานเอาไว้แล้ว หยวนหยูเองก็ตอบตกลงแล้วเช่นกัน เขาจึงติดงานแต่งงานกับหยวนหยูเอาไว้
ตอนนี้เขาจะชดเชยให้เธอ จะไม่ให้เธอต้องขาดเหลืออะไร ไม่ว่าใครก็ตามไม่มีทางขัดขวางเขาได้
“แก……พวกแก” คุณแม่โจว๋ทำอะไรไม่ถูก แม้ว่าเมื่อครู่นี้จะเห็นความผูกพันลึกซึ้งในแววตาของคนทั้งสองแล้ว แต่เมื่อได้ยินโจ๋วชิงพูดออกมาจากปากของตัวเองก็รู้สึกรับไม่ได้
“พวกแกเลิกกันไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ แปดปีที่แล้วเธอทำอะไรกับแกเอาไว้บ้าง แกลืมไปแล้วหรือ” คุณแม่โจว๋เดือดดาลจึงลืมไปว่าเมื่อแปดปีที่แล้วตนเป็นคนวางแผนให้โจ๋วอันหนานลงมือ
“แม่ เรื่องเมื่อแปดปีที่แล้วผมรู้หมดแล้ว” ตอนแรกโจ๋วชิงไม่อยากพูดฉีกหน้ากันต่อหน้า แต่เมื่อคุณแม่โจว๋พูดเรื่องนี้ออกมา โจ๋วชิงจึงต้องพูดออกมาให้ชัดเจนเช่นกัน เขาไม่ยอมปล่อยให้หยวนหยูโดนรังแกอีกแล้ว
คุณแม่โจว๋ชะงักงัน ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้าง ริมฝีปากสั่นไหว เธอพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง
“เอาล่ะ มาพูดเรื่องสำคัญก่อน” คุณพ่อโจว๋รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาทะเลาะกัน อีกอย่างเรื่องระหว่างโจ๋วชิงกับหยวนหยูไม่ใช่เรื่องที่พูดกันคำสองคำแล้วจบลงง่ายๆ
โจ๋วชิงในตอนนี้ไม่เหมือนอย่างโจ๋วชิงเมื่อแปดปีที่แล้ว เขาไม่ยอมตกหลุมพรางง่ายๆ เหมือนอย่างแต่เก่า
“เรื่องสำคัญ ใช่ เรื่องสำคัญ” เมื่อคุณพ่อโจว๋เตือนคุณแม่โจว๋ เธอก็เพิ่งจะคิดออก เธอมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ
“โจ๋วชิง ตระกูลถังกับเย่ซือเฉินกำลังจะทำให้พี่สาวของแกติดคุก เรื่องนี้แกจะต้องช่วยพี่สาวของแก ตอนนี้มีแค่แกเท่านั้นที่จะช่วยได้” คุณแม่โจว๋รีบเปลี่ยนหัวข้อ ตอนนี้การช่วยลูกสาวออกมาคือเรื่องที่สำคัญอันดับแรก
“แม่จะให้ผมช่วยยังไง” แววตาของโจ๋วชิงเคร่งเครียด เขาคิดไว้แต่แรกแล้วว่าพ่อแม่มาหาเข้าเพราะต้องมีวัตถุประสงค์
“แกเลิกเป็นพยานให้ตระกูลถังซะสิ แล้วมาเป็นพยานให้พี่สาวของแก มาช่วยพี่ของแกฟ้องพวกตระกูลถังนั่น” คุณแม่โจว๋พูดออกมาอย่างโอหังมั่นใจ ราวกับไม่รู้สึกว่าการกระทำของตนมีปัญหาอะไร
หยวนหยูได้ยินคุณแม่โจว๋พูดดังนั้นก็ตะลึงไป ทว่าหยวนหยูไม่ได้พูดอะไรออกมา
โจ๋วชิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เธอก่อเรื่องไว้ตั้งมากมาย เรื่องทั้งหมดเธอหาเรื่องใส่ตัวเองทั้งนั้น แม่จะให้ผมเป็นพยานเท็จอย่างไร้ศีลธรรมอย่างนั้นเหรอ แม่อยากให้ลูกชายของตัวเองติดคุกอีกคนหนึ่งใช่ไหม”โจ๋วชิงรู้มาตลอดว่าแม่ลำเอียงเข้าข้างพี่สาว แต่เขาไม่คิดว่าแม่ของตัวเองจะทำเกินไปขนาดนี้
“ขอโทษจริงๆ เรื่องที่แม่ขอเป็นเรื่องที่ผมทำไม่ได้ ผมอยากพักผ่อน พ่อกับแม่กลับไปเถอะ” ตอนนี้โจ๋วชิงรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองด้านชา เขาไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้ เพราะไม่อยากทะเลาะกับพวกเขา ไม่อยากทะเลาะกันจนรุนแรงไปมากกว่านี้
จากนั้นโจ๋วชิงจึงเอนตัวลงนอนแล้วหลับตา ไม่ว่าคุณพ่อโจว๋คุณแม่โจว๋จะพูดอะไร โจ๋วชิงก็ไม่สนใจ
สุดท้ายคุณพ่อโจว๋กับคุณแม่โจว๋ก็ไร้หนทาง ได้แต่จำใจกลับไป
เมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้ว สถานการณ์บีบบังคับให้คุณพ่อโจว๋คุณแม่โจว๋ต้องไปบ้านตระกูลถังเพื่อขอร้องท่านปู่ถังเท่านั้น
คนทั้งสองไปถึงบ้านตระกูลถังอย่างรวดเร็ว เมื่อผู้ดูแลตระกูลถังเห็นคนทั้งสองได้แต่กวาดตามองผ่านๆ จากนั้นจึงหันตัวกลับแล้วเดินเข้าไปข้างในแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
เมื่อเช้าคนทั้งสองทำให้ท่านปู่ถังกับท่านย่าถังโกรธมาก กว่าจะไล่ออกมาได้ก็ลำบาก ตอนนี้จะกลับมาทำไมอีก
“ผู้ดูแล ผู้ดูแล” เมื่อคุณพ่อโจว๋เห็นท่าทางของผู้ดูแลก็รู้สึกโมโห แต่เขาคิดว่าคราวนี้เขามาเพื่อขอความช่วยเหลือ ดังนั้นจะแสดงอารมณ์โกรธไม่ได้ ไม่เพียงโกรธไม่ได้ แต่ท่าทียังต้องเป็นมิตรด้วย
“มีเรื่องอะไรหรือครับ” ผู้ดูแลบ้านตระกูลถังไม่ใช่คนเสียมารยาท คุณพ่อโจว๋เรียกเขาเสียงดังขนาดนั้น เขาจึงทำได้เพียงหยุดฝีเท้าลง
“รบกวนผู้ดูแลไปรายงานให้ท่านทราบหน่อยว่าพวกเราต้องการพบท่านปู่ถัง พวกเรามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับท่านปู่ถัง” คุณพ่อโจว๋กลัวว่าผู้ดูแลจะกลับเข้าไป ตอนนี้จึงแสดงท่าทีออกมาอย่างตรงไปตรงมา
“เมื่อเช้าพวกคุณก็มาอาละวาดที่ตระกูลถังไปทีหนึ่งแล้ว ทำเอาท่านย่าถังหัวเสียแทบตาย ตอนนี้พวกคุณยังคิดจะขอเข้าพบท่านปู่ถังอีกรึ” สีหน้าของผู้ดูแลอารมณ์เสียอย่างยิ่ง คนคนนี้ยังมียางอายอยู่บ้างไหม
“เรื่องเมื่อเช้าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ตอนนี้พวกเราเข้าใจสถานการณ์แล้ว รู้แล้วว่าพวกเราผิดเอง คราวนี้พวกเราเลยตั้งใจมาขอโทษ รบกวนผู้ดูแลช่วยแจ้งให้หน่อยเถอะ” คุณพ่อโจว๋รู้แน่ชัดว่าตัวเองมาทำอะไรคราวนี้ ดังนั้นจึงแสดงท่าทีออกมาอย่างแน่วแน่