ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 1405 เป็นไปตามที่ต้องการ (1)
ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็จะสมบูรณ์แล้ว ทุกอย่างล้วนจะเป็นไปตามที่ต้องการ! เป็นที่ถูกอกถูกใจแล้ว!!
ดังนั้นความเสียสละของเย่โป๋เหวินนั้นคุ้มค่าแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นเย่โป๋เหวินเองก็บอกแล้วว่า เขาทำแบบนนี้ก็นับว่าเป็นการหลุดพ้นแล้ว!!
เย่โป๋เหวินหลับตาลงเรียบร้อยแล้ว หลับลึกมากเหลือเกิน ไม่รู้สึกตัวแล้ว คุณปู่เย่และคุณย่าเย่ยืนอยู่ในห้อง ไม่ได้เอ่ยพูด และไม่ได้เคลื่อนไหวอีกด้วย
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง คุณปู่เย่กับคุณย่าเย่ถึงได้ออกมา
จากนั้นไม่นาน ทางสถานบำบัดก็โทรมาที่ตระกูลเย่ เป็นผู้อำนายการสถานบำบัดโทรมาด้วยตัวเอง น้ำเสียงของผู้อำนวยการสั่นด้วยความตกใจ กลัวว่าตระกูลเย่จะโมโหเข้า
แต่คุณปู่เย่ไม่พูดอะไรออกมาเลย
จากนั้น คุณปู่เย่ก็ไปรับเย่โป๋เหวินที่สถานบำบัดกลับมาที่ตระกูลเย่ด้วยตนเอง
ข่าวเรื่องการเสียชีวิตของเย่โป๋เหวินก็ออกสื่อต่างๆมากมาย เพราะถึงอย่างไรตระกูลเย่ก็มีอิทธิพลมากในเมือง A ถึงแม้เย่โป๋เหวินไม่ได้ดูแลเรื่องของบริษัทตระกูลเย่กรุ๊ป แต่เย่โป๋เหวินนั้นก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่บ้างเช่นกัน
เช่น ภรรยาของเย่โป๋เหวินที่เมื่อยี่สิบปีก่อนมาจากโลกไปอย่างกะทันหัน จู่ๆก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก
เช่น ยี่สิบปีนี้เย่โป๋เหวินไม่เคยไปทำงานที่บริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปเลยซักวันเดียว
และเช่นเดียวกับอุบัติเหตุทางรถยนต์และความพิการของเย่โป๋เหวิน !!
ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้คุณปู่เย่ประกาศออกไปเลย สื่อใหญ่ๆแต่ละสื่อต่างก็พากันรายงานข่าวออกมาแล้ว
รายงานข่าวแบบนี้ เย่ซือเฉินจะต้องเห็นอย่างแน่นอน คนของตระกูลถังก็จะต้องเห็นด้วยเช่นกัน
“ทำไมจู่ๆเย่โป๋เหวินถึงได้เสียชีวิตไปแบบนี้?” ตอนที่ท่านย่าถังเห็นรายงานข่าว ก็รู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง : “เรื่องอุบัติเหตุก็ผ่านไปหลายปีแล้ว สถานการณ์ของเขาคงจะนิ่งแล้วสิ ทำไมถึงได้กะทันหันแบบนี้กัน?!”
แน่นอนว่าประโยคนี้ของท่านย่าถังเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกปลงเช่นกัน ไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก
ท่านปู่ถังเองก็ไม่ได้คิดมากเช่นกัน : “เขาอยู่ที่สถานบำบัดมาตลอด ร่างกายอาจจะไม่ได้ดีทั้งหมดหรอกมั้ง”
ไม่มีใครที่จะคิดว่าเย่โป๋เหวินฆ่าตัวตาย เพราะถึงอย่างไรอุบัติเหตุก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ที่ควรจะสงบก็สงบลงตั้งแต่แรกแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะมาฆ่าตัวตายหลังจากผ่านมาไม่กี่ปี
และแน่นอนว่าไม่มียิ่งไม่มีใครนึกถึงว่านี่เป็นคุณปู่เย่และคุณย่าเย่จัดการทั้งหมดเอาไว้แล้ว
แต่ดวงตาของเย่ซือเฉินที่นั่งอยู่ข้างๆกลับเย็นชาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายของเย่โป๋เหวินเป็นอย่างไรเขาชัดเจนดี
ถึงแม้ว่าเย่โป๋เหวินจะไม่สนใจแยแสเขามาตลอด ถึงแม้เขาไปหาเย่โป๋เหวิน แล้วเย่โป๋เหวินก็จะปฏิเสธและให้เขาอยู่ทางด้านนอกประตูทุกครั้ง แต่เย่ซือเฉินกลับคอยสังเกตเรื่องราวของเย่โป๋เหวินอยู่ตลอด
อย่างน้อยก่อนหน้าเรื่องที่ตระกูลเย่จะวางยาเขาครั้งนั้น ทุกครั้งที่เย่ซือเฉินไปสถานบำบัดก็จะไปรับรู้ถึงสภาพร่างกายของเย่โป๋เหวินกับผู้อำนวยการอยู่แล้ว!!
เขารู้ว่าสภาพร่างกายของเย่โปเหวินนั้นดีมาโดยตลอด ครั้งที่แล้วตั้งแต่ที่เขากลับมาจากเมืองไห่ พอดีกับที่เย่โป๋เหวินเกิดเรื่องขึ้น!!
แต่ต่อมาหลังจากที่เขารีบไปที่สถานบำบัด เย่โป๋เหวินเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ครั้งนั้นเขาเองก็ถามถึงสภาพร่างกายของเย่โป๋เหวิน คุณหมอบอกเขาว่า ร่างกายของเย่โป๋เหวินนั้นไม่เลวเลย ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรแล้ว
คนที่ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรคนหนึ่ง อยู่สถานบำบัดทุกวัน ไม่ออกไปข้างนอก ไม่พบคนนอก จะมาเสียชีวิตไปอย่างกะทันหันได้อย่างไรกัน?!
สีหน้าของเย่ซือเฉินหนักหน่วงอยู่บ้าง เขาไม่อยากจะคิดเรื่องราวไปในทางที่ร้ายเกินไป แต่เรื่องบางเรื่องกลับไม่คิดไม่ได้
สองสามวันก่อนเขาเพิ่งจะประกาศแถลงข่าวไปเรื่องที่จะถอดถอนความสัมพันธ์ออกจากตระกูลเย่ นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วัน เย่โป๋เหวินก็มาเสียชีวิตไป เรื่องนี้มันบังเอิญเกินไปแล้ว
ส่วนเรื่องที่เย่โป๋เหวินเสียชีวิตแล้วนั้น ในฐานะที่เขาเป็นลูกชาย ก็จะต้องกลับไปอยู่แล้ว
ต่อให้ในช่วงหลายปีมานี้จะไม่ได้สนใจดูแลเขา ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นพ่อ แต่ถึงอย่างไรเย่โป๋เหวินก็เป็นพ่อของเขา พ่อเสียชีวิต เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะไม่กลับไป
ไม่ใช่ว่ากลัวคนนอกจะพากันวิพากษ์วิจารณ์ แต่ตัวเขาเองก็จะทำแบบนี้เช่นกัน
ดังนั้น เย่ซือเฉินจึงไม่สามารถที่จะไม่คิดถึงความเป็นไปได้ของเบื้องหลังเรื่องนี้ได้เลย!!
“ซือเฉิน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เธอเป็นลูกชายแท้ๆของเขา จะต้องกลับไปจัดการนะ” ท่านปู่ถังมองเย่ซือเฉิน ในใจนั้นถอนหายใจออกมาเบาๆ
ท่านปู่ถังเป็นคนเปิดเผยบริสุทธิ์มาโดยตลอด ดังนั้นก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ไปในทิศทางที่เลวร้ายเลย
“ใช่ ซือเฉินจะต้องกลับไป” ท่านย่าถังพยักหน้าลงเล็กน้อย เธอเองก็เห็นด้วยกับความหมายนี้ของท่านปู่ถังเช่นกัน
คำพูดของท่านย่าถังนั้นชะงักไป แล้วจู่ๆก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา : “เด็กสองคนจะต้องไปด้วยหรือเปล่า…..”
เพราะถึงอย่างไรเย่โป๋เหวินก็เป็นปู่แท้ๆของเด็กทั้งสองคนนี้ ตอนนี้เย่โป๋เหวินเสียชีวิตลงแล้ว ตามหลักการแล้วเด็กทั้งสองคนก็ควรจะไปด้วย
“ไม่ต้องครับ” จู่ๆเย่ซือเฉินก็ส่งเสียงออกมา ขัดคำพูดของท่านย่าถัง
เย่โป๋เหวินเป็นพ่อของเขา เขาจะต้องไป แต่เขาไม่อยากให้เด็กทั้งสองคนไปด้วย
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เดิมทีก็เป็นการผลักฉิงฉิงและลูกไปอยู่ในการต่อสู้ที่รุนแรงแล้ว ถ้าหากตอนนี้ลูกทั้งสองคนไปงานศพของเย่โป๋เหวินอีก เกรงว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากอื่นๆขึ้น
“ซือเฉินพูดถูก เด็กยังไม่ต้องไปก่อนดีกว่า สถานการณ์ในตอนนี้ ไม่เหมาะนักหรอก รอจนฝังศพแล้ว ค่อยให้เด็กสองคนไปก็ได้ นี่ก็คือน้ำใจอย่างนึง” ท่านปู่ถังเข้าใจทันทีว่าเย่ซือเฉินกำลังกังวลอะไรอยู่ และนี่ก็เป็นสิ่งที่เขากำลังกังวลอยู่ด้วยเช่นกัน
“ถูก ถูก ฉันสับสนเอง ตอนนี้ไม่สามารถให้เด็กสองคนปรากฏตัวออกมาได้” ท่านย่าถังมีปฏิกิริยาตอบกลับ ใบหน้ามีความหงุดหงิดมากขึ้น
“ซือเฉินคิดเอาไว้ว่าจะกลับไปเมื่อไหร่?” ท่านปู่ถังมองไปยังเย่ซือเฉินที่มีใบหน้าเย็นชา ในใจรู้สึกสงสาร เด็กคนนี้ชีวิตขมขื่นเสียจริงๆ
ยี่สิบปีก่อนแม่ของเย่ซือเฉินถูกตระกูลเย่บีบให้จากไป หลายปีขนาดนี้ พ่อของเขาก็ไม่ดูแลไม่สนใจมาตลอด แล้วมาในตอนนี้ที่พ่อของเขาก็มาจากไปอย่างกะทันหันอีก
ตอนนี้ทำให้ซือเฉินเด็กคนนี้ลำบากใจอยู่จริงๆ แต่ท่านปู่ถังก็ไม่เคยคิดมาก เพราะถึงอย่างไรเขาก็ได้จากไปแล้ว
“คืนนี้ครับ” เย่ซือเฉินคิดแล้ว หลังจากนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงที่หนักหน่วง นั่นคือพ่อของเขา ถึงจะไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้ เขาเองก็ควรจะกลับไปเฝ้า
“อืม ควรแล้วล่ะ” ท่านปู่ถังถอนหายใจออกมาเบาๆ เด็กคนนี้จะทำอะไรก็สุขุมมาโดยตลอด
เดิมทีเขายังกังวลว่าสองสามวันก่อนซือเฉินเพิ่งจะประกาศถอนความสัมพันธ์จากตระกูลเย่ไป กังวลว่าตอนนี้ซือเฉินจะดื้อดึงไม่ยอมกลับไป
หลังจากที่เย่ซือเฉินออกมาจากตระกูลถังแล้ว ก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดโทรออกเบอร์หนึ่งอย่างรวดเร็ว เบอร์นี้ไม่มีชื่อ บันทึกเอาไว้เพียงตัวเลขชุดหนึ่งเพียงเท่านั้น แต่เย่ซือเฉินกลับหาออกมาจากในรายชื่อโทรศัพท์ แทบจะไม่ได้ค้นหาเลยเสียด้วยซ้ำ
หลังจากที่รับสายแล้วนั้น เย่ซือเฉินก็เอ่ยขึ้นมาเลย : “สืบให้หน่อยว่าก่อนที่เย่โป๋เหวินจะเสียชีวิตมีความผิดปกติอะไรหรือเปล่า หรือได้เจอใครบ้างไหม?”
ปกติเรื่องแบบนี้ เย่ซือเฉินจะให้กู้หวูไปสืบ แต่ตอนนี้กู้หวูได้รับบาดเจ็บ และยังอยู่ที่โรงพยาบาล อีกทั้งเย่ซือเฉินอยากจะรู้ให้ได้เร็วที่สุดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณปู่เย่หรือเปล่า ดังนั้นเขาถึงได้กดโทรออกเบอร์นี้หาคนๆนี้
“ครับ” ทางนั้นไม่ได้สงสัยเลยแม้แต่นิดเดียว คำตอบเดียวที่ง่ายและตรงไปตรงมา
คำตอบเดียวว่าครับ ทางนั้นก็วางสายไป
เย่ซือเฉินนั่งอยู่ในรถ ไม่ได้เอ่ยพูดออกมา เพียงแต่สีหน้านั้นยิ่งดูหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น คนขับรถสตาร์ทรถ : “คุณชายเย่ เราจะไปไหนกันครับ?”
เย่ซือเฉินอึ้งไป เงยหน้าขึ้นมา แล้วจู่ๆก็รู้สึกงุนงงขึ้นมาเล็กน้อย ไปที่ไหน?
พ่อของเขาจากไปแล้ว เขาควรจะต้องกลับบ้าน แต่ตอนนี้เขายังไม่อยากกลับบ้าน ก่อนที่ยังไม่ได้ทำเรื่องนี้ให้ชัดเจนนั้น เขายังไม่อยากกลับไป
“นายขับไปก่อนแล้วกัน” เย่ซือเฉินไม่ได้บอกถึงจุดหมายออกไป เพียงแต่ตอบกลับไปตามอารมณ์เท่านั้น
คนขับรถอึ้งไป แต่เขาเองก็ติดตามเย่ซือเฉินมาหลายปีแล้วเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยถามออกมาให้มากความ แล้วขับออกไปทางด้านหน้า
เย่ซือเฉินนั่งอยู่ในรถอย่างเงียบๆด้วยใบหน้าที่หนักหน่วง เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรด้วยเช่นกัน เขากำลังรอ รอทางฝ่ายนั้นส่งข่าวมาให้เขา
เขารู้ดีในความสามารถของคนๆนั้น คนนั้นลงมือ ก็จะได้ผลลัพธ์ออกมาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งจะไม่ผิดพลาดอย่างเด็ดขาดอีกด้วย
ครึ่งชั่วโมง เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นมา เย่ซือเฉินมองดูเบอร์โทรศัพท์แวบหนึ่ง มือที่ถือโทรศัพท์อยู่นั้นกระชับแน่น หลังจากนั้นก็กดรับสาย
“สืบได้แล้วครับ ก่อนที่เย่โป๋เหวินจะเสียชีวิต คุณปู่เย่กับคุณย่าเย่ไปที่สถานบำบัด” ทางฝ่ายนั้นไม่ได้ไร้สาระเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วบอกผลลัพธ์ที่ไปสืบมาอย่างตรงไปตรงมา
เย่ซือเฉินได้ยินประโยคนี้แล้ว ดวงตาคู่นั้นก็หรี่ลง การที่เย่โป๋เหวินจากไปอย่างกะทันหันเดิมก็น่าสงสัยแล้ว และนี่ในช่วงก่อนหน้าคุณปู่เย่กับคุณย่าเย่ไปพบเย่โป๋เหวินมาอีกยิ่งทำให้เกิดความสงสัยมากขึ้นไปอีก
เย่ซือเฉินไม่หวังที่จะให้เรื่องราวเป็นแบบที่เขาคิดเลยจริงๆ แต่คุณปู่เย่และคุณย่าเย่ทั้งคนนั้น…..
“คุณปู่เย่กับคุณย่าเย่อยู่ในห้องของเย่โป๋เหวินอยู่เป็นเวลานานมาก พูดอะไรบ้างไม่รู้ แต่ตรงช่วงกลางระหว่างนั้นคุณปู่เย่และคุณย่าเย่มีเดินออกมาข้างนอกห้อง แล้วยืนอยู่ตรงทางเดินเป็นเวลานาน” ทางปลายสายเอ่ยพูดออกมาอย่างละเอียดและชัดเจน : “ตอนนั้นดูเหมือนกับว่าคุณปู่เย่และคุณย่าเย่กำลังรออะไรอยู่……”