ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 1476 ผลการตรวจดีเอ็นเอ (2)
ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในห้องโถงโรงพยาบาล คุณชายคนนั้นถือปืนข่มขู่เธอ ในตอนนั้นเด็กผู้หญิงคนนั้นก็ยืนอยู่ข้างๆไม่ไกลจากเธอนัก คงจะเตรียมตัวอาศัยในช่วงที่หลบกันชุลมุนเข้ามาใกล้เธอ หลังจากนั้นก็เอาเส้นผมของเธอไป
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดไม่ถึง ว่าเธอจะรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมแผนการของพวกเขาตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ทำไมจะต้องเอาเส้นผมของเธอไปกัน? เอาเส้นผมของเธอไปมีประโยชน์อะไร?
เส้นผมเพียงสองสามเส้นเท่านั้นเอง ต่อให้อยากจะใส่ร้ายอะไรเธอก็คงจะไม่พอหรอกมั้ง?
เวินลั่วฉิงหลับตาลงแล้วคิดถึงความเป็นไปได้แบบหนึ่ง—เส้นผมสามารถเอาไปตรวจดีเอ็นเอได้!!
แต่ใครอยากจะตรวจดีเอ็นเอกับเธอกัน? ใครที่จะเป็นต้องตรวจดีเอ็นเอกับเธอ
เวินลั่วฉิงรู้ว่าเวินจือฝางไม่ใช่พ่อแท้ๆของเธอ แต่เรื่องนี้นอกจากถังหลินที่ตรวจดีเอ็นเอแทนเธอในตอนนั้นก็ไม่มีใครรู้อีก เรื่องนี้แม้แต่เย่ซือเฉินเองเธอก็ไม่ได้บอกด้วยเช่นกัน
ใช่แล้ว ยังมีเย่โป๋เหวินที่รู้ว่าเธอไม่ใช่ลูกสาวของเวินจือฝาง แต่เย่โป๋เหวินตายไปแล้ว อีกทั้งความจริงแล้วเย่โป๋เหวินก็ไม่รู้ด้วยว่าพ่อแท้ๆของเธอคือใคร ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วตอนนั้นเย่โป๋เหวินจะไม่สงสัยว่าเธอเป็นลูกสาวของเขา และมาตรวจดีเอ็นเอกับเธอ
เช่นนั้นแล้ว ตอนนี้คนๆนี้โผล่ออกมาอยากจะตรวจดีเอ็นเอกับเธอคือใครกันแน่?
พ่อแท้ๆของเธออย่างนั้นหรือ?!
พ่อแท้ๆ!!
มุมปากของเวินลั่วฉิงปรากฏความเย็นชาออกมาเล็กน้อย ปีนี้เธออายุยี่สิบสี่ปี ก่อนที่เธออายุสิบห้า แม่ของเธอเลี้ยงดูเธอจนโตเพียงลำพัง และตอนที่เธออายุสิบห้า เป็นเพราะแม่ของเธอป่วยหนัก ถึงได้ต้องส่งตัวเธอกลับมายังตระกูลเวิน
ในช่วงเวลานี้ ชีวิตของเธอไม่เคยมีบุคคลที่เรียกว่าพ่ออยู่เลย
ยี่สิบสี่ปีมานี้ พ่อของเธอไม่เคยปรากฏตัวออกมา แล้วจู่ๆตอนนี้จะโผล่ออกมาต้องการจะตรวจดีเอ็นเอกับเธออย่างนั้นหรือ?!
เรื่องอื่นๆเวินลั่วฉิงไม่ได้มีการประเมินเป็นการชั่วคราว แต่คนๆนี้เป็นใครกันแน่?!
ทำไมจู่ๆหลังจากยี่สิบสี่ปีแล้วถึงปรากฏตัวออกมากัน?
จู่ๆเวินลั่วฉิงก็นึกถึงที่ฉู่หลิงเอ๋อโทรมาหาเธอก่อนหน้านี้ ฉู่หลิงเอ๋อบอกว่าองค์กรโกสต์ซิตี้หาตัวเจ้าหญิงคนนั้นกลับมาได้นั้นเป็นตัวปลอม หัวหน้าน้อยได้ประกาศหาตัวเจ้าหญิงตัวจริงแล้ว
บนอินเตอร์เน็ตมีคนคาดเดาว่าเธอคือเจ้าหญิงแห่งองค์กรโกสต์ซิตี้
ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ตอนที่คุณชายหานบอกว่ากฎเกณฑ์ของพวกเขานั้นเข้มงวดมาก เวินลั่วฉิงก็นึกถึงองค์กรโกสต์ซิตี้
และทั้งสามคนนั้นแต่ละคนก็ไม่ธรรมดาอีกด้วย แม้ว่าเสี่ยวซินจะอายุเพียงแค่สิบสี่ปี เวินลั่วฉิงก็มองออกว่าทักษะความสามารถของเสี่ยวซินนั้นไม่เลวเลย และอีกสองคนก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง บางทีมีเพียงแค่คนขององค์กรโกสต์ซิตี้เท่านั้นถึงจะมีความสามารถแบบนั้น
ถ้าหากเป็นคนขององค์กรโกสต์ซิตี้จริงๆ พวกเขาดูเหมือนจะทำสงครามกันแบบนี้ก็เพื่อเอาเส้นผมของเธอ ก็ดูเหมือนจะสอดคล้องกับเรื่องที่พวกเขากำลังตามหาเจ้าหญิงแห่งองค์กรโกสต์ซิตี้พอดี
แต่เวินลั่วฉิงกลับหัวเราะออกมาเบาๆ เรื่องนี้จะบังเอิญขนาดนั้นได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้เธอเคยได้ยินมู่หรงดัวหยางเคยพูดไว้ว่าหัวหน้าองค์กรโกสต์ซิตี้ตามหาภรรยาที่เขารักมาโดยตลอด ได้ยินว่าหามายี่สิบกว่าปีแล้ว
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว องค์กรโกสต์ซิตี้รู้ว่าตัวเองมีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง คงจะเป็นลูกสาวคนที่เกิดจากผู้หญิงคนที่เขารัก
จากการคำนวณดูแล้ว อย่างน้อยๆหัวหน้าองค์กรโกสต์ซิตี้คงไม่ได้แยกจากผู้หญิงที่เขารักในช่วงเลาที่ผู้หญิงคนที่เขารักตั้งครรภ์และคลอดลูกสาวออกมา
ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน อย่างน้อยๆก็รู้ถึงสถานการณ์ของผู้หญิงคนที่เขารัก ไม่เช่นนั้นแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้หญิงที่เขารักนั้นคลอดลูกสาวออกมาหนึ่งคน?
เวินลั่วฉิงรู้สึกว่ามีเพียงแค่จุดนี้ที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ของเธอ
เพราะถึงอย่างไรตอนนั้นแม่ของเธอก็อยู่กับเวินจือฝาง ถึงแม้ว่าตอนนั้นเวินจือฝางเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้เสียชีวิต และในช่วงนั้นแม่ของเธอกับเวินจือฝางก็จดทะเบียนสมรสกันแล้วด้วยเช่นกัน
ถ้าหากแม่ของเธอเป็นผู้หญิงที่รักของหัวหน้าองค์กรโกสต์ซิตี้จริงๆ ผู้ชายแบบนั้นอย่างหัวหน้าองค์กรโกสต์ซิตี้จะอนุญาตให้คนที่ตัวเองรักไปจดทะเบียนสมรสกับผู้ชายอื่นได้อย่างไร
ถึงแม้จะมีความจริงที่อยากปกปิดอีกเรื่องหนึ่ง แต่ในเมื่อหัวหน้าองค์กรโกสต์ซิตี้รู้เรื่องที่มีลูกสาวหนึ่งคนแล้ว ก็สามารถพูดได้ว่าองค์กรโกสต์ซิตี้จะต้องติดตามสถานการณ์ทั้งหมดอยู่ตลอดอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าตอนนั้นหลังจากที่เวินจือฝางเสียชีวิตแล้ว แม่ได้พาเธอไปที่หมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่ง แต่สถานการณ์แบบนั้นความสามารถอย่างหัวหน้าองค์กรโกสต์ซิตี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะหาพวกเขาไม่เจอ
และเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าหัวหน้าองค์กโกสต์ซิตี้ตามหาผู้หญิงคนที่ตัวเองรัก หามาเป็นเวายี่สิบกว่าปีไม่เคยได้ข่าวคราวใดๆอีกด้วย
ดังนั้น ตรงสองจุดนี้ที่ไม่สอดคล้องอย่างเห็นได้ชัด
เวินลั่วฉิงยิ้มออกมา เธออาจจะคิดมากไปจริงๆ แต่ก็ไม่เห็นเป็นไร พวกเขาเอาเส้นผมกลับไปแล้ว ถ้าหากพวกเขาเอาเส้นผมไปตรวจดีเอ็นเอจริงๆ หลังจากที่ผลตรวจดีเอ็นเอออกมาแล้ว ทุกอย่างก็คงจะสิ้นสุดลงแล้ว!!
คือ…..สิ้นสุด
เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรมี ก็ควรที่จะจบลงให้เร็วหน่อย ตอนนี้เธอคิดเพียงแค่อยากให้ครอบครัวสงบสุข ใช้ชีวิตได้อย่างสงบเงียบเท่านั้น
“เป็นอะไรไป? คิดอะไรอยู่?” เฟิ่งเหมียวเหมียวนั่งอยู่ข้างๆเวินลั่วฉิง ถึงแม้เวินลั่วฉิงจะหลับตาอยู่ตลอดไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมา แต่เฟิ่งเหมียวเหมียวก็ยังรู้สึกถึงความผิดปกติของเธอ
“คิดถึงเรื่องของแม่อยู่น่ะค่ะ” เวินลั่วฉิงลืมตาขึ้นมา ความเย็นชาที่มุมปากของเธอหายไป เพียงแต่แววตานั้นยังทิ้งร่องรอยแห่งความใจลอยเอาไว้ อยู่ต่อหน้าเฟิ่งเหมียวเหมียวเธอไม่ปกปิดอะไรอยู่แล้ว
เฟิ่งเหมียวเหมียวรู้สึกอึ้งไป เห็นได้ชัดว่าเธอคิดไม่ถึงว่าจะเป็นคำตอบนี้ เกี่ยวกับแม่ของเวินลั่วฉิง ในความรู้จักของเฟิ่งเหมียวเหมียวนั้นก็คือผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่ง เฟิ่งเหมียวเหมียวไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้เวินลั่วฉิงคิดถึงอะไร ดังนั้นกลัวว่าพูดมากไปแล้วจะทำให้เวินลั่วฉิงเสียใจ
“อย่าคิดมากเลย ถ้าหากแม่ของเธอเห็นว่าตอนนี้เธอเก่งขนาดนี้จะต้องภูมิใจมากแน่ๆ”สุดท้ายแล้วเฟิ่งเหมียวเหมียวก็เอ่ยพูดด้วยประโยคของคนที่เป็นแม่คนหนึ่ง
“ตลอดชีวิตแม่มีชีวิตที่ขมขื่นมาก แต่แม่ก็เข้มแข็งมาโดยตลอด” เวินลั่วฉิงไม่ใช่คนที่มีนิสัยจะรู้สึกเศร้ากับอะไรง่ายๆแบบนั้น แต่นึกถึงชีวิตแม่แล้ว เวินลั่วฉิงจะรู้สึกเจ็บปวดมากเป็นพิเศษ
ทั้งๆที่มีครอบครัวดีขนาดนั้น มีครอบครัวที่รักเธอขนาดนั้น แต่กลับหายตัวไป ถูกคนเอาไปขายในหมู่บ้านในชนบท ตอนแรกครอบครัวนั้นก็ดีกับแม่มาก แต่ต่อมาเพื่อผลประโยชน์ พวกเขาก็ขายแม่ไปอย่างไม่ลังเลเพื่อเงิน
แม่ตั้งท้องเธอ และจดทะเบียนสมรสกับเวินจือฝาง แต่ท่านย่าเวินไม่ยอมรับแม่ในตอนนั้น ไม่ให้แม่เข้าบ้าน
ต่อมาแม้แต่เวินจือฝางเองก็เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิต แม่ก็พาเธอไปอยู่ในหมู่บ้านชนบทเพียงลำพัง
คิดโดยละเอียดแล้วนั้น ทั้งชีวิตนี้ของแม่ขมขื่นมากจริงๆ
ส่วนอื่นๆมีอยู่จุดหนึ่งนั้นที่เวินลั่วฉิงไม่ค่อยเข้าใจมาโดยตลอด จากความสามารถอย่างแม่ ทั้งๆที่ในตอนนั้นสามารถหางานดีๆในเมืองทำได้ แต่ทำไมจะต้องไปที่หมู่บ้านในชนบทด้วยกัน?
ตอนนี้คิดดูแล้ว ดูเหมือนว่าแม่จะกำลังหลบใครอยู่?
แต่หลบใครกัน?
เย่โป๋เหวินอย่างนั้นหรือ?
เวินลั่วฉิงนึกถึงปฏิกิริยาตอนที่เย่โป๋เหวินเจอเธอในตอนนั้น นึกถึงว่าเย่โป๋เหวินยันหยัดที่จะตรวจดีเอ็นเอกับเธอ และนึกถึงว่าเย่โป๋เหวินไม่สนใจเย่ซือเฉินเลยด้วยซ้ำ
จู่ๆดวงตาของเวินลั่วฉิงก็หม่นหมองลง เธอจำที่เย่โป๋เหวินเคยพูดเอาไว้ได้ หลังจากที่เธอเกิดมาแล้ว เย่โป๋เหวินก็รู้ว่าเธอไม่ใช่ลูกสาวของเวินจือฝาง ตอนนั้นเย่โป๋เหวินยังอยากจะตรวจดีเอ็นเอกับเธอ แต่ตอนนั้นแม่ปฏิเสธไป
ไม่คิดว่าเย่โป๋เหวินจะยังยืนยันที่จะต้องการตรวจดีเอ็นเอกับเธอ ยืนกรานมั่นคงกับแม่อย่างมั่นใจ แต่ตอนนั้นเย่โป๋เหวินมีภรรยาแล้ว
ดังนั้น ตอนที่แม่จากไปในปีนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเพราะหลบหนีจากเย่โป๋เหวิน
เย่โป๋เหวินเองก็เคยพูดเอาไว้ หลังจากที่แม่จากไปนั้น เขาก็ตามหาแม่ตลอด แต่หาไม่เจอ
มาแบบนี้ เรื่องราวก็เทียบกันได้แล้ว!!
เกี่ยวกับเรื่องราวในปีนั้นเวินลั่วฉิงไม่ได้ทำความเข้าใจมาโดยตลอด เย่โป๋เหวินคงจะรู้ถึงรายละเอียด แต่ในตอนนั้นเย่โป๋เหวินไม่ได้พูดออกมา และตอนนั้นเธอเองก็ไม่ได้เอ่ยถามเช่นกัน ตอนนี้เย่โป๋เหวินจากไปแล้ว ต่อให้เธออยากจะถามก็ไม่มีที่ให้ถามแล้วเช่นกัน
เรื่องราวเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน และบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องสองสามคนก็ไม่อยู่แล้ว เรื่องราวในตอนนั้นเกรงว่าจะหาคำตอบไม่เจออีกแล้วเช่นกัน
“คุณน้า ฉันอยากไปหาคุณปู่ค่ะ”เวินลั่วฉิงเอ่ยปากขึ้นก่อนที่เฟิ่งเหมียวเหมียวคิดจะปลอบใจเธอ
ช่วงสองวันนี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายเหลือเกิน เธอไม่ได้ไปหาคุณปู่เวินที่โรงพยาบาลเลย ตอนนี้เธออยากจะไปปดูที่โรงพยาบาลเสียหน่อย
ถึงแม้จะรู้ว่าตอนนี้คุณปู่เวินสลบไม่ได้สติอยู่ก็ตาม เธอพูดอะไรไปคุณปู่เวินก็ไม่สามารถตอบเธอได้ แต่เธอก็ยังอยากจะไปดู
“ได้สิ ได้ เธอไปเถอะ”เฟิ่งเหมียวเหมียวไม่ขัดขวางเธออยู่แล้ว แล้วรีบบอกที่อยู่ของโรงพยาบาลกับคนขับรถ
เดิมทีแล้วตระกูลถังอยากจะเอาตัวคุณปู่เวินย้ายไปที่โรงพยาบาลของตระกูลถัง แต่หลังจากที่คุณปู่เวินผ่าตัดแล้วนั้นยังไม่ได้สติ เพราะฉะนั้นจึงอยู่ในห้องไอซียูมาโดยตลอด คุณหมอบอกว่าทางที่ดีที่สุดคือไม่ต้องย้ายโรงพยาบาล
ท่านปู่ถังให้ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลตระกูลถังทางนี้ไปช่วยดูคุณปู่เวิน ทางผู้เชี่ยวชาญของตระกูลถังเองก็แนะนำให้อยู่ที่โรงพยาบาลเดิมต่อ
เวินลั่วฉิงลงจากรถมายังหน้าประตูโรงพยาบาล หลังจากนั้นก็ขึ้นไปข้างบนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากว่าคุณปู่เวินอยู่ในห้องไอซียูอยู่ตลอด โดยปกติแล้วจะมีพยาบาลดูแลโดยเฉพาะ!!