ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 1499 เธอเป็นได้แต่ของเขา (1)
หากสมมุตติว่า เธอเป็นลูกสาวของหัวหน้าองค์กรโกสต์ซิตี้จริงๆ เวินลั่วฉิงยิ่งไม่มีทางให้คนขององค์กรโกสต์ซิตี้นำเส้นผมของเธอกลับไปตรวจดีเอ็นเอแน่นอน
ตอนนี้เธออายุยี่สิบสี่ปีแล้ว ตลอดยี่สิบสี่ปีมานี้เธอไม่รู้เลยว่าพ่อแท้ๆ ของเธออยู่ที่ไหน
ตอนนี้เธอไม่ได้ต้องการความสัมพันธ์ของพ่อลูกแล้ว ไม่ไถ่ไม่ถามมาตลอดยี่สิบปี ในตอนที่เธอต้องการเขา ในตอนที่คุณแม่ของเธอต้องการเขา ไม่เคยปรากฏตัวออกมาเลย จะปรากฏตัวออกมาตอนนี้ทำไม?
ตอนนี้คุณพ่อของเธออยากมาตามหาเธอ เธอไม่รู้สึกว่าตนเองจะต้องยอมรับคุณพ่อคนนี้ ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร
ไม่มีเหตุผลใดที่เธอควรจะยอมรับ ในตอนที่เธออายุยี่สิบปีจู่ๆ ก็มีคนหนึ่งวิ่งมาบอกเธอตรงหน้าว่าคือพ่อของเธอ เหมือนว่าจะไม่มีเหตุผลแบบนั้น เหมือนว่าจะไม่มีเรื่องดีๆ แบบนั้น
แน่นอนว่า เขาอาจจะมีความลำบากของเขา อาจจะไม่ได้ไม่ตามหาแต่ว่าตามหาไม่เจอ ไม่ใช่บอกว่าหัวหน้าขององค์กรโกสต์ซิตี้ตามหาผู้หญิงคนหนึ่งมายี่สิบห้าปีเหรอ?
เวลานี้ก็ค่อนข้างคล้ายกับเรื่องราวของเขา
แต่ว่า ตอนนี้คนคนนั้นไม่ได้มาหาเธอโดยตรง ถึงขั้นไม่ได้ใช้วิธีตรงๆ อะไรเลย แต่กลับใช้วิธีการแบบนี้ วิธีการแบบนี้ของพวกเขา การทำงานแบบนี้ คนคนนั้นไม่กล้ามาหาเธอตรงๆ หรือเปล่า? หรือว่าไม่กล้าใช้วิธีตรงๆ มาทำการตรวจดีเอ็นเอ
วิธีการที่โจ่งแจ้งมีมากมายขนาดนั้น พวกเขากลับเลือกวิธีแบบลับๆ ล่อๆ แบบไม่ให้คนเห็น
ทำไมเธอถึงต้องนำเส้นผมของเธอให้พวกเขา?!
ดังนั้น ไม่ว่าจะสถานการณ์แบบไหน เธอไม่มีทางให้พวกเขานำเส้นผมของเธอไปแน่นอน!!
เวินลั่วฉิงรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะจบพอแค่นี้ได้แล้ว เธอและองค์กรโกสต์ซิตี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน เธอกับหัวหน้าขององค์กรโกสต์ซิตี้ยิ่งไม่มีทางมีความเกี่ยวข้องกัน หลังจากที่ผลการตรวจดีเอ็นเอออกมาแล้ว ทางนั้นก็น่าจะหยุดแล้ว
เพราะว่าผลขอการตรวจดีเอ็นเอไม่มีทางเข้ากันได้แน่นอน นอกจากว่าพยาบาลท่านนั้นจะบังเอิญเป็นลูกสาวของหัวหน้าองค์กรโกสต์ซิตี้
แน่นอนว่า เวินลั่วฉิงเองก็รู้ว่าความเป็นไปได้ในแบบนี้ไม่ค่อยสูง ถึงขั้นเป็นศูนย์เลย
ดังนั้น เวินลั่วฉิงไม่ได้กังวลในเรื่องนั้น ทว่าไม่ว่ายังไงเวินลั่วฉิงก็นึกไม่ถึงว่า ถึงแม้ว่าผลการตรวจดีเอ็นจะไม่เข้ากัน ก็ยังมีคนไม่ตายใจ ก็ยังมีคนตามสืบอยู่
ภายในห้อง โทรศัพท์ของเวินลั่วฉิงดังขึ้น เป็นสายของถังไป๋เชียนที่เธอโทรไปเมื่อกี้แล้วไม่มีคนรับพอดี
นัยน์ตาของเวินลั่วฉิงเปล่งประกายขึ้น จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดรับฟังเลย
“ฉิงฉิง” สายถูกตอบรับ เสียงของถังไป๋เชียนดังผ่านมา ยังคงเป็นคำเรียกเหมือนเมื่อก่อน ยังคงอ่อนโยนและแฝงน้ำเสียงความสนิทสนมอยู่
“รุ่นพี่” เวินลั่วฉิงก็เรียกเขาตามคำเรียกแบบเดิม
แต่ว่าเวินลั่วฉิงไม่ได้อยากเงียบสงบปานนี้ ไม่อยากใช้น้ำเสียงมาปกปิดเหมือนว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งๆ ที่มีปัญหา ดังนั้นเวินลั่วฉิงจึงพูดตรงๆ เลย “รุ่นพี่น่าจะรู้เหตุผลที่ฉันโทรหาใช่ไหม?”
“……” ถังไป๋เชียนที่อยู่อีกทางหนึ่งของโทรศัพท์เงียบไปชั่วครู่ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ฉิงฉิง เธอต้องรู้ ฉันไม่มีทางทำร้ายเธอแน่นอน ฉันยิ่งไม่มีทางทำร้ายเด็กทั้งสอง”
ถังไป๋เชียนน่าจะเข้าใจท่าทีของเวินลั่วฉิง ดังนั้นขณะนี้เขาไม่ได้ทำเป็นเหมือนไม่มีเรื่องอะไร แต่ว่าเขาไม่ได้ตัดสินใจจะตอบคำถามของเวินลั่วฉิงตรงๆ อย่างชัดเจน
“รุ่นพี่กล้าพูดว่าเรื่องบนอินเทอร์เน็ตพวกนั้นไม่เกี่ยวกับพี่เหรอ?” เวินลั่วฉิงเป็นคนที่ทำงานตรงไปตรงมามาโดยตลอด เธอไม่ใช่ความไม่ชัดเจนแบบนี้ที่สุดแล้ว
ใช่ ข่าวบนอินเทอร์เน็ตพวกนั้นถังไป๋เชียนไม่ได้เป็นคนแพร่ออกมา ทว่าหากถังไป๋เชียนไม่ได้ให้ข้อมูลพวกนั้น โจ๋วอันหนานจะรู้ได้ยังไง?
โดยเฉพาะหลักฐานยืนยันการจดทะเบียนสมรส ใบทะเบียนสมรสนั้นถังไป๋เชียนเป็นคนแอบไปทำคนเดียวอยู่แล้ว ในตอนนี้เรื่องนี้แม้กระทั่งเธอเองก็ไม่รู้ หากถังไป๋เชียนไม่ได้เป็นคนให้ โจ๋วอันหนานไม่มีทางรู้แน่นอน
“ฉิงฉิงกำลังสงสัยฉัน?” ถังไป๋เชียนที่อยู่อีกทางหนึ่งของโทรศัพท์เหมือนกำลังหัวเราะ ทว่าน้ำเสียงแบบนั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังมีความสุข
“ฉันไม่สมควรสงสัยพี่เหรอ? หรือว่านี่ไม่ใช่ความหมายของพี่เหรอ? ฉันขอถามหน่อยรุ่นพี่แพร่ข่าวพวกนั้นออกมาอยากทำอะไรกันแน่?” เวินลั่วฉิงไม่อยากอ้อมค้อมแบบนี้ หนึ่งก็คือหนึ่ง สองก็คือสอง จะพูดไร้สาระขนาดนั้นทำไม
ถังไป๋เชียนที่อยู่อีกทางหนึ่งของโทรศัพท์เงียบลงอีกครั้ง หลังจากผ่านไปสักพักจึงจะเอ่ยปากพูด
“ฉันคิดไม่ถึงว่า ฉันอยู่ข้างกายฉิงฉิงมาตลอดหลายปี ฉิงฉิงกลับคิดกับฉันแบบนี้?”
นัยน์ตาของเวินลั่วฉิงค่อยๆ หรี่ตาขึ้น เวินลั่วฉิงรู้สักถังไป๋เชียนดีเกินไปแล้ว ถังไป๋เชียนพูดแบบนี้มาโดยตลอด เขาไม่เคยให้คำพูดที่ชัดเจนกับคนอื่นเลย มักจะชอบอ้อมค้อม
ถึงแม้ว่าถังไป๋เชียนจะทำผิดแล้วแท้ๆ เขาเองก็สามารถใช้การอ้อมค้อมสองสามประโยคแบบนี้ปกปิดไป
หากเป็นเมื่อก่อน เวินลั่วฉิงอาจจะเชื่อเขาแล้ว แต่ว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องขึ้นมากมายขนาดนั้น เวินลั่วฉิงไม่ได้มีความเชื่อใจถังไป๋เชียนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
หลังจากที่เธอกับเย่ซือเฉินหย่ากันแล้วถังไป๋เชียนตั้งใจล่อให้เธอไปที่ประเทศM จากนั้นก็วางแผนปิดบังเย่ซือเฉิน เรื่องนี้เอสามารถเข้าใจได้
แต่ว่าถังไป๋เชียนรู้อยู่แท้ๆ ว่าถังหลินตามหาเธอ ถังไป๋เชียนรู้ถึงความเกี่ยวข้องของเธอกับตระกูลถัง ทว่าถังไป๋เชียนกลับคัดค้านไม่ให้ถังหลินหาเธอเจอครั้งแล้วครั้งเล่า
ต่อมา เธอให้ถังหลินมาเด็กน้อยทั้งสองกลับมา เพื่อที่ถังไป๋เชียนจะไม่ให้เด็กทั้งสองกลับมา ตั้งใจปลีกตัวเด็กทั้งสองออก ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะพี่หงหลิงยืนหยัดจะส่งเด็กทั้งสองกลับมา หากเด็กทั้งสองกลับไปที่ประเทศMแล้วจริงๆ เธอจะรับกลับมาอีกต้องไม่ง่ายขนาดนั้นแน่ๆ
เรื่องพวกนี้ถังไป๋เชียนต่างก็ปิดบังเธอ ตอนนี้ถังไป๋เชียนมีสิทธิ์อะไรให้เธอเชื่อเขา?
ถังไป๋เชียนมีสิทธิ์อะไรมาเล่นความรู้สึกกับเธออีก?
ใช่ ตอนนั้นถังไป๋เชียนเคยช่วยเหลือเธอ มีหลายๆ อย่างที่ถังไป๋เชียนสอนเธอ แต่ว่าในตลอดห้าปีนี้ เธอก็ทำภารกิจให้ถังไป๋เชียนไม่น้อยเลย ในนั้นยังรวมถึงความอันตรายเล็กน้อย ความยาก พวกนั้นต่างก็เกี่ยวข้องถึงความชำนาญ คนอื่นๆ ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้
สามารถพูดได้ว่า ตั้งแต่ที่ถังไป๋เชียนเริ่มสอนเธอ เธอก็ได้ทำงานให้ถังไป๋เชียนแล้ว ตลอดหลายปีมานี้เรื่องพวกนั้นที่เธอทำสามารถลบหักกับความช่วยเหลือที่ถังไป๋เชียนช่วยเธอได้
และเป็นเพราะเธอนึกถึงความสัมพันธ์มากเกินไป ดังนั้นถึงได้เห็นถังไป๋เชียนเป็นเหมือนคนในครอบครัว จริงๆ แล้วระหว่างพวกเขาเหมือนกับนายจ้างและลูกจ้างมากกว่า
“รุ่นพี่ ความสัมพันธ์ของเราจบลงแต่นี้เถอะ จบลงอย่างหมดสิ้น ฉันหวังว่าหลังจากนี้ไม่ว่าพี่จะทำเรื่องอะไรอย่าเกี่ยวโยงมาถึงฉันอีก ยิ่งไม่ต้องเกี่ยวโยงไปถึงเด็กน้อยทั้งสอง” เวินลั่วฉิงไม่ได้คิดอยากจะพูดเรื่องความรู้สึกอะไรกับเขา เธอรู้สึกว่าตอนนี้เธอกับถังไป๋เชียนไม่มีความรู้สึกอะไรสามารถมาพูดได้แล้ว
ในตอนที่ถังไป๋เชียนทำเรื่องพวกนั้นกับเธอก็คงจะนึกถึงสถานการณ์นี้แล้ว เรื่องในเมื่อก่อนสามารถไม่คิดอะไรได้ แต่ว่าเรื่องนี้ครั้งนี้เธอไม่สามารถทำเหมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้นได้อีก
เด็กน้อยทั้งสองคือจุดอ่อนของเธอ เธอไม่มีทางยอมให้ใครมาทำเรื่องที่ทำร้ายเด็กน้อยทั้งสองเด็ดขาด
ตอนแรกหลังจากที่เธอกับเย่ซือเฉินจดทะเบียนสมรสกันแล้ว ฐานะตัวตนของเด็กทั้งสองก็สามารถประกาศได้อย่างโจ่งแจ้ง ใครก็ไม่มีทางพูดอะไร
แต่ว่าเพราะมีข่าวพวกนั้นถูกแพร่ออกมาก่อน ฐานะตัวตนของเด็กทั้งสองดูแย่ไปเลย
ตอนนี้ถึงแม้เธอจะพูดออกมาว่าเย่ซือเฉินต่างหากที่เป็นพ่อของเด็กทั้งสอง เกรงว่าจะมีผู้คนมากมายไม่เชื่อ เกรงว่าพอถึงเวลาแล้วจะยิ่งสงสัยไปใหญ่ พอถึงเวลาจะสร้างผลกระทบที่ไม่ดีต่อเด็กทั้งสอง
อีกทางหนึ่งของโทรศัพท์ ถังไป๋เชียนหรี่ตาขึ้น น้ำเสียงก็ดูต่ำลงเล็กน้อย “ฉิงฉิง เธอไม่เชื่อใจฉันเหรอ?”
“โอเค งั้นฉันถามนาย ใบทะเบียนสมรสที่ประเทศMนายไปทำตอนไหน? ทำภายใต้สถานการณ์อะไร? ฉันที่เป็นผู้ถูกกระทำทำไมถึงไม่รู้เรื่องเลย?” ตอนแรกเวินลั่วฉิงไม่อยากทำให้เรื่องดูแย่เกินไป คำพูดบางอย่างเธอไม่อยากพูดออกมาตรงขนาดนั้น แต่ว่าถังไป๋เชียนกลับทำเหมือนไม่รู้เรื่อง งั้นก็พูดเรื่องให้ชัดเจนเลย
ถังไป๋เชียนเงียบไปชั่วครู่ แล้วค่อยๆ พูดขึ้นประโยคหนึ่งว่า “งานจำเป็นต้องใช้”
“งานต้องใช้ทำไมฉันถึงไม่รู้? ทำไมฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย” เวินลั่วฉิงยิ้มดูถูก เหตุผลนี้ของถังไป๋เชียนลวกเกินไปแล้ว
ถังไป๋เชียนเงียบไปอีกครั้ง ถึงแม้เขาจะพูดเก่งหาข้ออ้างเก่งแค่ไหน คำพูดนี้ของเวินลั่วฉิงก็ไม่สามารถตอบกลับได้
“ใบทะเบียนสมรสนั่นแม้กระทั่งฉันเองก็ไม่รู้ นั่นคือนอกจากนายแล้วไม่มีใครรู้ งั้นโจ๋วอันหนานรู้ได้ยังไง? นอกจากว่านายจะตั้งใจแพร่ออกไป ไม่งั้นโจ๋วอันหนานจะรู้ได้อย่างไร?” ในเมื่อจะพูด งั้นเวินลั่วฉิงก็ไม่ติดอะไรที่จะพูดให้ชัดเจนไปเลย เดี๋ยวถังไป๋เชียนจะทำเป็นอ้อมค้อมไม่รู้เรื่องอีก
“ฉิงฉิง เธอควรจะเชื่อใจฉัน” เสียงของถังไป๋เชียนดังผ่านมา ยังคงไม่เร็วไม่ช้าเหมือนเดิม ยังคงทำเป็นเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร ยังคงเป็นนิสัยอ้อมค้อมของเขาเหมือนเดิม
“ขอโทษ ฉันไม่เชื่อพี่” คำพูดนี้ของเวินลั่วฉิงตรงยิ่งกว่า เด็ดขาดยิ่งกว่า!!