ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 1701 ใครจะรับช่วงต่อล่ะ
ถังจื่อโม่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ตะโกนไปทางซ่างกวนหงอย่างดังสนั่นว่า “คุณตา”
ด้านข้างเงียบอย่างน่าขนลุก เวินลั่วฉิงมองไปที่ถังจื่อโม่ เด็กคนนี้ ตรงไปตรงมาขนาดนี้เลยเหรอ? เมื่อก่อนจะคิดอย่างจริงจังแล้วค่อยพูด ไม่สิ จริงๆ แล้วคือหลังจากที่มั่นใจแล้ว ตอนนี้? เขาเรียกคุณตาโดยตรง ไม่กลัวจะทักคนผิดเหรอ?
เย่ซือเฉินเงยหน้าขึ้นเหลือบมองถังจื่อโม่แบบลอยๆ หึ มีความกล้าจริงๆ ใช้สัญชาตญาณในการมั่นใจอีกแล้ว หรือว่า มู่เฉิงบอกเขาแล้ว? ดวงตาของเขากวาดสายตาไปทางมู่เฉิง
มู่เฉิงกำลังดื่มชาอยู่ในตอนแรก และเขาเกือบจะสำลักออกมา รู้ว่าถังจื่อโม่ฉลาด รู้ว่าเขาอาจจะสามารถเดาได้ แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะตรงมาถึงขั้นนี้เลย เขาไปที่องค์กรโกสต์ซิตี้แล้ว กลับมาก็โง่เลยเหรอ?
ถังจื่อซีจ้องอย่างเขม็งไปที่ถังจื่อโม่ พี่ชาย ยังคงมีความกล้าอยู่! เธอยังไม่ได้พูดอะไรเลย ถึงแม้ว่าจะไม่ผิด ทว่า แต่ถ้าพี่ชายเดาผิดแล้ว จะน่าอายขนาดไหนเนี่ย!
การเคลื่อนไหวของซ่างกวนหงชะงักไปครู่หนึ่ง เนื่องจากความตรงไปตรงมาของถังจื่อโม่ คำว่าคุณตานี้ เธอสามารถรู้สึกได้ว่า ถังจื่อโม่ไม่ได้ต่อต้าน ทว่าเป็นคนของตาของถังจื่อโม่ ถังจื่อโม่ ยอมรับอย่างง่ายดาย ซึ่งทำให้ซ่างกวนหงมีความรู้สึกอบอุ่นใจ
ความคิดของถังจื่อโม่ง่ายมาก ในเมื่อทุกคนรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่แล้ว ท่าทางของคุณพ่อและหม่ามี๊ก็สงบ แน่นอนว่าพวกเขาเห็นด้วยกับเรื่องนี้อยู่แล้ว งั้น หม่ามี๊และซ่างกวนหงยอมรับกันแล้ว เขาก็เรียกซ่างกวนหงว่าคุณตา ไม่มีปัญหาอะไรเลยแม้แต่น้อย แค่ความสงบรอบข้าง ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยชิน หรือว่า เขาพูดบางอย่างผิดไป?
“เปล่า เขาเป็นพ่อของฉันจริงๆ เป็นคุณตาของหนู” เหมือนว่าได้ยินความในใจของถังจื่อโม่ เวินลั่วฉิงพูดด้วยรอยยิ้มราว นัยน์ตาที่สับสนของถังจื่อโม่ในเมื่อกี้ ก็ค่อนข้างน่าสงสารเอ็นดู ที่แท้ เขาก็ไม่ได้มั่นใจขนาดนั้นเช่นกัน
“ดังนั้น……” ถังจื่อโม่ลังเลที่จะพูด
“ดังนั้น พวกเราพาหนูมาหาปู่ บอกให้หนูรู้” เวินลั่วฉิงยิ้มแล้วพูด
“หม่ามี๊ พวกหม่ามี๊ยอมรับกัน ไม่ให้คนอื่นรู้เหรอครับ?” ถังจื่อโม่จำได้ คราวที่แล้วเรื่องของเจ้าหญิงตัวปลอม วุ่นวายจนเป็นเรื่องโกลาหล แต่ว่า เมื่อองค์กรโกสต์ซิตี้จัดงานแถลงข่าวให้เจ้าหญิงตัวปลอมครั้งนั้น คือจะให้ทุกคนบนโลกรู้ถึงตัวตนของเธอ ตอนนี้ คุณแม่เป็นเจ้าหญิงขององค์กรโกสต์ซิตี้ ของแท้ราคาสมน้ำสมเนื้อจริงๆ ทำไมดูเหมือนไม่คิดจะให้คนรู้มากเกินไปล่ะ?
“เรื่องนี้ หม่ามี๊กับคุณตาของหนูคุยกันแล้ว ยังไม่บอกใครก่อนในตอนนี้” เวินลั่วฉิงไม่ได้สนใจที่จะเป็นเจ้าหญิงแห่งองค์กรโกสต์ซิตี้เลย ถ้าซ่างกวนหงสามารถปฏิบัติต่อเธออย่างดี ดูแลเธอเหมือนลูกสาวจริงๆ เธอก็รู้สึกว่าเพียงพอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือในตอนนี้ ถังไป๋เชียนยังอยู่ข้างนอก เธออยากรอให้จับถังไป๋เชียนให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน
“รอให้หม่ามี๊และคุณพ่อของหนูแต่งงานกัน เราจะบอกให้โลกรู้” ซ่างกวนหงพูดเสริมอยู่ข้างๆ ในตอนแรก เมื่อเวินลั่วฉิงพูดขึ้นว่าจะไม่บอกคนอื่น เขาก็รู้สึกผิดหวังมาก คิดว่าเวินลั่วฉิงไม่อยากเป็นลูกสาวของเขา ทว่าเวินลั่วฉิงบอกเขาว่า เธอมีอย่างอื่น ไม่อยากเข้าไปพัวพันกับไปถึงองค์กรโกสต์ซิตี้ ดังนั้น เขาจึงถอยออกมา การแต่งงานคืองานเรื่องของทั้งชีวิต ในงานแต่งงาน เขาจะบอกกับทั้งโลกว่า เวินลั่วฉิงเป็นลูกสาวของเขา เบื้องหลังเธอ คือองค์กรโกสต์ซิตี้ทั้งหมด ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้
เวินลั่วฉิงตกตะลึงครู่หนึ่ง เรื่องพวกนี้พวกเขาไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนเลย ในตอนนี้ ซ่างกวนหงพูดถึง ทำให้ในใจของเธอรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ซ่างกวนหงน่าจะอยากให้ตัวเองเข้าใจว่า จะคนยืนอยู่ข้างหลังเธอเสมอ สนับสนุนเธอ และปกป้องเธอ
เย่ซือเฉินเลิกคิ้ว เขาเข้าใจว่าความหมายของซ่างกวนหง กลัวว่าตนเองจะจะปฏิบัติกับเวินลั่วฉิงไม่ดี กลัวว่าตนเองจะทำให้เวินลั่วฉิงผิดหวัง ทว่า นี่คือสิ่งที่จะไม่มีทางเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม หากซ่างกวนหงประกาศตัวตนของเวินลั่วฉิง ก็ได้เช่นกัน เขาอยากเห็นเวินลั่วฉิงที่มีครอบครัวที่ปฏิบัติต่อเธออย่างจริงใจ เขาก็ยินดีที่เวินลั่วฉิงมีครอบครัวที่เก่งกาจและใหญ่โตมากพอ แบบนี้ ถึงแม้ว่าตนเองจะปกป้องเธอไม่ได้ ก็มีคนอื่นที่สามารถปกป้องเธอ ไม่ ถึงขั้นไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องเธอ
“พ่อบุญธรรม ในเมื่อเจ้าหญิงกลับมาแล้ว ท่านลองดูว่าเรื่องขององค์กรโกสต์ซิตี้สิ……” มู่เฉิงคิดว่าเรื่องนี้ต้องรีบ ดังนั้นเขาจึงเสนอให้เวินลั่วฉิงรับช่วงต่อองค์กรโกสต์ซิตี้โดยตรง
“ฉันไม่มีสนใจกับองค์กรโกสต์ซิตี้ สำหรับฉัน หาคุณพ่อเจอ ก็พอแล้ว” เวินลั่วฉิงหัวเราะเบาๆ ได้ยอมรับและรู้จักกับซ่างกวนหง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเธอ เรื่องอื่นๆ เธอไม่อยากยุ่งอะไรมากมาย อีกอย่างองค์กรโกสต์ซิตี้ เธอก็ไม่อยากไปดูแล
มู่เฉิงเบ้ปาก เวินลั่วฉิงอย่าฉลาดแบบนี้ได้ไหม เขายังไม่ทันพูดก็ถูกปฏิเสธแล้ว? น่าอายแค่ไหนเนี่ย?
แต่ทว่าเวินลั่วฉิงพูดแบบนี้แล้ว ก็คือไม่มีโอกาสแล้ว มู่เฉิงกล่าวต่อ “พ่อบุญธรรม ท่านรู้สึกหรือเปล่าว่า ให้ถังจื่อโม่หรือถังจื่อซีรับช่วงต่อองค์กรโกสต์ซิตี้จะเหมาะสมกว่าไหมครับ?” มู่เฉิงมองอยู่ด้านข้างไปสักพัก ความยอมรับซึ่งกันและกันระหว่างพวกเขาถือว่าสูงมากนี่อาจเป็นความอัศจรรย์ของความสัมพันธ์ทางสายเลือดสินะ?
เวินลั่วฉิงและเย่ซือเฉินต่างก็ตกตะลึงไปเลยรับช่วงต่อองค์กรโกสต์ซิตี้ มู่เฉิงพูดขึ้นมาเองก่อนเหรอ? ตามสัญชาตญาณ เย่ซือเฉินกวาดสายตามองมู่เฉิง มองดูเขาอย่างถี่ถ้วน แต่การแสดงออกของมู่เฉิงนั้นเย็นชาอย่างมาก นัยน์ตาของเขาดูจริงจัง ดูเหมือนว่าไม่ได้มีความหมายที่จะล้อเล่น
เวินลั่วฉิงรู้สึกงงเล็กน้อย หากพูดขึ้นมาแล้ว องค์กรโกสต์ซิตี้ควรจะเป็นของเธอ แต่เพราะเธอไม่มีความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของขององค์กรโกสต์ซิตี้ ดังนั้นเธอจึงไม่มีความปรารถนาที่จะรับช่วงต่อองค์กรโกสต์ซิตี้ ส่วนมู่เฉิง คือผู้สืบทอดองค์กรโกสต์ซิตี้ที่ถูกฝึกฝนมาเป็นพิเศษ มารับช่วงต่อองค์กรโกสต์ซิตี้ ไม่มีอะไรความผิดอะไรที่เพียงพอจะวิจารณ์ได้ ตอนนี้มู่เฉิงพูดขึ้นมาก่อน กำลังลองใจเหรอ?
องค์กรโกสต์ซิตี้ทำความผิดและสร้างภัยพิบัติมากมาย คนข้างในมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกัน เธอไม่เชื่อว่า จะมีคนไม่ปรารถนาในอำนาจจริงๆ นับประสาอะไรกับคนอย่างมู่เฉิงที่อยู่ในการใช้อำนาจมาเนิ่นนานล่ะ? เธอรู้สึกว่า น่าจะมีเพียงส่วนน้อยที่สามารถปล่อยอำนาจลงอย่างเงียบสงบได้ แต่ในตอนที่เวินลั่วฉิงมองไปทางมู่เฉิง ก็รู้สึกว่า ตนเองคิดผิดไปแล้ว ในนัยน์ตาของมู่เฉิง มีร่องรอยของความไม่เต็มใจที่ไหน เงียบสงบเหมือนกำลังถามว่าเดี๋ยวจะกินข้าวกับอะไรเลย
ถังจื่อโม่และถังจื่อซีอยู่อย่างนิ่งเงียบ ถังจื่อซีรู้สึกว่า สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเธอ เธอก็ไม่ได้มีสนใจกับองค์กรโกสต์ซิตี้ ไม่ชอบ ตามความหมายของพี่ชายเลย ถังจื่อโม่สงบมาก หากมีโอกาส เขายืนดีอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีโอกาส เขาก็จะไม่ฝืน ในองค์กรโกสต์ซิตี้ เขาไม่มีความรู้สึกเป็นเจ้าของมากนัก และแค่สนใจเฉพาะหารมีอำนาจใหญ่โตเช่นนี้ขององค์กร อิจฉาในสิ่งที่เก่งกาจใหญ่โต
ซ่างกวนหงขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้ เขาได้ฝึกมู่เฉิงให้เป็นหัวหน้าคนต่อไปขององค์กรโกสต์ซิตี้อย่างสมบูรณ์ แม้กระทั่งตอนนี้เขารู้ว่าเวินลั่วฉิงเป็นลูกสาวของเขา เขาก็ยังไม่ได้มีความคิดเรื่องนี้ ทำไมจู่ๆ มู่เฉิงถึงพูดถึงเรื่องนี้? ไม่ถูก ควรจะพูดว่าก่อนหน้านี้ มู่เฉิงก็มีความคิดนี้แล้ว มู่เฉิงพาถังจื่อโม่ไปที่องค์กรโกสต์ซิตี้ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แต่มู่เฉิงน่าจะเคยพูดกับถังจื่อโม่ทางอ้อมหรือโดยตรงมาก่อนแล้ว ถังจื่อโม่จึงได้สงบเช่นนี้
ต้องบอกเลยว่า หลังจากที่มู่เฉิงพูดถึงเรื่องนี้ ซ่างกวนหงมาถึงอายุปูนนี้แล้ว หากถังจื่อโม่หรือถังจื่อซีมารับช่วงต่อองค์กรโกสต์ซิตี้ เขาคงจะพอใจมากๆ แน่ๆ
“จื่อซีและจื่อโม่ยังเด็กอยู่……” ซ่างกวนหงพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว เย่ซือเฉินและเวินลั่วฉิงต่างก็ไม่ได้พูดอะไร เรื่องขององค์กรโกสต์ซิตี้ พวกเขาไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้อง หากถังจื่อซีหรือ ถังจื่อโม่อยากไป เขาเองก็จะสนับสนุนด้วย แต่ในสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเขาไม่สะดวกที่จะพูดเท่านั้นเอง
“หนูไม่อยากค่ะ หนูไม่อยากรับช่วงต่อจากองค์กรโกสต์ซิตี้ค่ะ” ในระหว่างที่ซ่างกวนหงลังเล ถังจื่อซีก็ปฏิเสธทันที จะองค์กรโกสต์ซิตี้หรืออะไรก็ตาม เธอล้วนไม่มีความสนใจ เต้องมีความสุขอยู่แล้ว มีความเครียดกับเรื่องพวกนี้ เธอจะอิสระได้อย่างไรกันล่ะ?
ซ่างกวนหงจึงมองไปที่ถังจื่อโม่ ถังจื่อโม่รับรู้นัยน์ตาของซ่างกวนหงที่มองมายังบนใบหน้าของเขาอย่างเงียบสงบ
ซ่างกวนหงเม้มปาก นี่คือ อยากหรือไม่อยาก? องค์กรโกสต์ซิตี้ของเขาที่ใหญ่โตเช่นนี้ มีกี่คนที่อยากจะรับช่วงต่อแต่ไม่มีโอกาส มู่เฉิงและถังจื่อโม่สองคนนี้ กลับดูเหมือนแล้วแต่ เหมือนว่าถ้าเขาให้ก็รับไว้ ไม่ให้เขาก็ไม่ฝืน ช่างลำบากใจจริงๆ
“มู่เฉิง นาย…” ซ่างกวนหงมีความหมายที่อยากถามเพิ่มเติม ก็ได้รับการตอบกลับจากมู่เฉิงอย่างเร่งรีบ “พ่อบุญธรรม ก่อนหน้านี้ท่านยังหาเจ้าหญิงไม่เจอ ตอนนี้ เจ้าหญิงกลับมาแล้ว เธอควรรับช่วงต่ออย่างสมเหตุสมผล แต่ว่า……” มู่เฉิงมองไปทางเวินลั่วฉิง เมื่อกี้เธอปฏิเสธอย่างชัดเจนแล้ว ไม่มีทางแล้วจริงๆ หากเขากล้าพูดให้เวินลั่วฉิงรับช่วงต่อองค์กรโกสต์ซิตี้อีกครั้ง เย่ซือเฉินคงจะมีใจที่อยากจะฆ่าเขาแน่ๆ ไม่ว่ายังไงแล้ว หากรับช่วงต่อองค์กรโกสต์ซิตี้แล้ว ทั้งสองคนอาจจะไม่ได้เจอกันอีกนาน เขาไม่ได้รู้สึกว่าทั้งสองจะสามารถยอมรับได้