ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END 恶役少爷不想要破灭结局 - บทที่ 167 มันจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเราโปกปูนแข็ง
- Home
- ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END 恶役少爷不想要破灭结局
- บทที่ 167 มันจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเราโปกปูนแข็ง
บทที่ 167: มันจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเราโปกปูนแข็ง
วันต่อมาในห้องรับรองบนเรือที่มีแสงสลัว สาวผมสีน้ำตาลแดงกำลังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือลนลานหมดหนทาง
“หยุดขยับตัวสักทีจะได้ไหม?”
“ข…ขอโทษ ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา”
“โรเอล เจ้าช่วยอธิบายได้ไหมว่า ทำไมเจ้าถึงใช้คาถานั้น? เจ้าเกือบแช่แข็งเรือทั้งลำไปแล้วนะรู้ตัวไหม?!”
ชาร์ล็อตตำหนิโรเอลอย่างรุนแรง ทำให้เขาต้องสั่นสะท้านต่อความดุร้ายของเธอ ก่อนจะรีบชี้แจงด้วยใบหน้าที่รู้สึกผิด
“ฉันก็แค่อยากจะลองใช้มันดู ไม่ได้คิดว่ามันจะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่แบบนี้เลย แค่ก ไม่เป็นไร… ฉันผิดเอง”
“หึ ช่างมันเถอะ! ข้าล่ะสุดจะทนกับเจ้าจริง ๆ”
ด้วยท่าทางที่สำนึกผิดอย่างจริงใจของโรเอลและร่างกายที่สั่นเทาของเขา ชาร์ล็อตจึงได้ปรับท่าทางของเธอให้โอนอ่อนลง เธอดีดนิ้ว จากนั้นอัญมณีที่ฝังอยู่ในผนังรอบห้องก็เริ่มส่องแสงเจิดจ้า
เริ่มจากทับทิมที่เปล่งแสงสีแดงเข้มลงบนร่างของโรเอลที่กำลังนอน เร่งให้เลือดในตัวเขาไหลเวียน โดยทั่วไปแล้วอัญมณีนี้ถูกใช้เพื่อหยุดการไหลของเลือดสำหรับการรักษาในกรณีฉุกเฉิน แต่ตอนนี้มันถูกนำมาใช้เพื่อทำให้ร่างกายอันเย็นยะเยือกของโรเอลอุ่นขึ้นแทน
หลังจากนั้นอัญมณีเวทมนตร์ที่ใช้ผลิตความร้อนและดูดซับความเย็นก็จะสว่างขึ้น ทำให้อุณหภูมิในห้องสูงขึ้น ด้วยแสงจ้าที่ส่องมาจากทั่วทุกมุมสภาพร่างกายของโรเอลจึงเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเตรียมการเสร็จสิ้นและ ‘ไฟผ่าตัด’ เข้าที่ ก็ถึงเวลาที่ ‘หัวหน้าศัลยแพทย์’ จะเข้าไปในห้องผ่าตัด
ชาร์ล็อตวางมือของเธอลงบนไหล่ของโรเอลก่อน รอให้หัวเข่าที่สั่นสะท้านสงบลงเล็กน้อย ก่อนที่จะนั่งลงบนตัวเขา เด็กสาวกดตัวเองลงเบา ๆ ไปกับหน้าอกของโรเอล ก่อนที่ร่างกายของเธอจะเริ่มเปล่งประกาย
จิตวิญญาณทองคำ นี่ถือเป็นหนึ่งในอุปกรณ์เวทแสนสำคัญของผู้ที่ครอบครองสายเลือดไฮเอลฟ์ เพื่อดึงความสามารถที่แท้จริงของพวกเขาออกมา แม้ชื่อของมันจะเป็นทองคำ แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นอุปกรณ์เวทผสมผสานหลายต่อหลายอย่างเข้าด้วยกัน แน่นอนว่ารวมถึงเศษทองด้วย มันมีรูปร่างเป็นของเหลว แต่ก็สามารถแข็งตัวได้ตามที่ผู้ใช้ต้องการได้เช่นกัน
มันคือเหตุผลที่กองเรือทองคำใช้ชื่อนี้ ชื่อของมันนั้นมาจากจิตวิญญาณทองคำที่ไหลเวียนอยู่ภายในเรือ ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางขยายพลังของคาถาเวทที่ร่ายออกมาโดยผู้ครอบครองสายเลือดไฮเอลฟ์ถึงสิบเท่า
กระดูกงูของกองเรือทองคำเองก็ทำมาจากจิตวิญญาณทองคำที่แข็งตัวแล้ว ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าเรือของพวกเขาจะไม่มีวันแตกสลาย ส่วนประกอบอื่น ๆ ทั้งการเร่งความเร็ว หรือปืนที่ใช้โจมตีศัตรูเองก็เป็นไปตามการทำงานของจิตวิญญาณทองคำที่ไหลเวียนอยู่ภายในเรือ โดยรวมแล้วระบบของเรือนั้นเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างล้ำหน้า
ด้วยเทคโนโลยีนี้ทำให้ที่อาณาจักรโซเฟียสามารถพิชิตได้แม้กระทั่งชาวเผ่าทะเล กลายเป็นขุมพลังอันโดดเด่นท่ามกลางท้องทะเลอันกว้างใหญ่
แน่นอนว่าระบบการบังคับบัญชากองเรือทองคำก็มีจุดอ่อนที่เป็นข้อเสียด้วยเช่นกัน ประการแรก จิตวิญญาณทองคำจะต้องถูกควบคุมโดยผู้ที่สืบทอดสายเลือดของตระกูลโซเฟียเท่านั้น หากปราศจากผู้ครอบครองพลังสายเลือดไปล่ะก็ การทำงานทั้งหมดของเรือก็จะพิการไปในทันที
สถานการณ์ก่อนหน้านี้บนเอสเอส เซนต์พอล ถือเป็นตัวอย่างที่ดีเลยทีเดียว
หากไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของชาร์ล็อต ระบบต่าง ๆ ของเรือก็จะไร้ประโยชน์ไปในทันทีที่รองกัปตันลอรีเสียชีวิตลง ทำให้เอสเอส เซนต์พอลกลายเป็นเรือธรรมดา ๆ ไป เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาจะสูญเสียความได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาที่มีต่อกองทัพชาวเผ่าทะเล
แต่พลังของจิตวิญญาณทองคำนั้นมีประโยชน์มากมายมากกว่าแค่เป็นตัวควบคุมระบบการทำงานของกองเรือทองคำ
สมาชิกของตระกูลโซเฟียใช้มันเป็นเกราะป้องกันคาถาเวท เมื่อมันถูกควบแน่นเข้าด้วยกัน มันก็จะแข็งแกร่งมากพอที่จะป้องกันการโจมตีจากพลังเวทส่วนใหญ่ได้ ทำให้มันกลายเป็นเกราะป้องกันชั้นยอดที่มีความคล่องตัวสูง นอกจากนี้พลังเวทสีทองที่บรรจุอยู่ก็ยังมีประโยชน์หลากหลาย เช่นการเสริมพละกำลังเมื่อสัมผัส ซึ่งโรเอลตั้งชื่อมันว่า พลาสเตอร์มหาอำนาจ
“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง? ดีขึ้นบ้างรึยัง?”
“อืม ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกหนาวแล้ว จะว่าไปดูเหมือนว่าเธอจะควบคุมมันได้ดีขึ้นกว่าเมื่อวานมากเลยนะ”
“แน่นอน ข้ากำลังพัฒนาฝีมือของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ถ้าข้าไม่เรียนรู้ให้ดีล่ะก็ ข้า…”
จู่ ๆ ชาร์ล็อตก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้ ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำขึ้นมาทันทีราวกับกุ้งสุก ซึ่งปฏิกิริยาของเด็กสาวก็ได้จุดประกายความทรงจำของโรเอลขึ้นด้วยเช่นกัน เขาเริ่มไอขึ้นมาอย่างผิดปกติ มองไปรอบ ๆ อย่างประหม่า ก่อนที่จะหยุดลงที่ริมฝีปากสีแดงของชาร์ล็อต
เมื่อหวนนึกถึงสายตาที่สบกันในระยะไม่ถึงฝ่ามือในตอนที่โรเอลตื่นจากการหลับไหลเมื่อวานนี้ เด็กชายก็รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นในใจ ทำให้สัมผัสอันนุ่มนวลจากผิวหนังของชาร์ล็อตบนแขน ข่มขู่ว่าจะปลุกหมาป่าที่ซ่อนอยู่ในตัวเขา
ชาร์ล็อตนั้นทั้งสวยและไร้เดียงสาอย่างน่ารัก นอกจากนี้เธอยังใจดีพอที่จะยอมตกอยู่ในสภาพที่ลำบากเพื่อเขา หากพวกเขาพบกันเร็วกว่านี้ โรเอลคงจะตัดสินใจแต่งงานกับเธอแล้วใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขไปแล้ว พูดตามตรง เด็กชายค่อนข้างประหลาดใจที่ชาร์ล็อตสามารถดึงเอาความคิดที่อธิบายไม่ได้ในตัวเขาออกมา
เขารีบสลัดความคิดต่าง ๆ ในหัวออกไปอย่างรวดเร็ว หันความสนใจไปที่ระบบ โดยเหตุผลเบื้องหลังความทุกข์ของเขาได้ถูกระบุเอาไว้ในนั้น
【สัมผัสแห่งธารน้ำแข็ง
คาถาเวทที่ได้มาจากการหลอมรวมส่วนหนึ่งของตัวตนเข้ากับความหายนะจากยุคสมัยโบราณอันน่าสะพรึงกลัว ทันทีที่พลังแห่งธารน้ำแข็งได้รับการปลดปล่อย โลกทั้งใบจะต้องหยุดนิ่ง ปล่อยพลังเวทอันเย็นยะเยือกออกมาในบริเวณใกล้เคียง สามารถใช้ได้ทั้งในแง่ของการโจมตีและป้องกัน พื้นที่และความแข็งแกร่งของพลังเวทอันเย็นยะเยือกขึ้นอยู่กับพลังเวทของผู้ใช้
ผลข้างเคียง: อาการหนาวสั่นเป็นระยะ ๆ】
“…”
โรเอลถอนหายใจยาว ๆ หลังจากอ่านผลข้างเคียง มันเหมือนกับการที่โปเกมอนที่ไม่ใช่เผ่าน้ำแข็งถูกบังคับให้เรียนรู้ทักษะ ‘ลูกเห็บ’ จนแช่แข็งตัวเองก่อนที่จะได้แช่แข็งศัตรู!
ทางปฏิบัติแล้วบนโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่ พลังอันยิ่งใหญ่มักจะมาพร้อมค่าใช้จ่ายที่สูง ทว่าจนถึงตอนนี้ โรเอลยังไม่เคยได้สัมผัสกับมันด้วยตัวเองมาก่อน และการใช้คาถาเวท สัมผัสแห่งธารน้ำแข็ง นี้ก็ได้สอนบทเรียนราคาแพงให้กับเขา
เช้าตรู่ของวันนี้ กองเรือทองคำถูกโจมตีโดยสัตว์ประหลาดทะเลขนาดมหึมาตัวหนึ่ง พร้อมกับฝูงมนุษย์เกล็ด หนวดขนาดยักษ์พยายามขดตัวรอบ ๆ เรือเอสเอส เซนต์แมรี่
โรเอลที่ได้เห็นมันเป็นครั้งแรกย่อมตกตะลึงเป็นธรรมดา โดยที่ไม่แม้แต่จะลังเล เด็กชายจึงร่ายคาถาเวทสัมผัสแห่งธารน้ำแข็งออกมา
ทันใดนั้นพลังเวทอันเย็นยะเยือกก็ได้แผ่กระจายไปทั่วพื้นผิวทะเลในรูปของหมอกน้ำแข็ง ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนทั้งพวกมนุษย์เกล็ดและสัตว์ประหลาดทะเล หรือแม้แต่หมอกยามเช้าให้กลายเป็นน้ำแข็งในทันที
มันเป็นชัยชนะอย่างท่วมท้นสำหรับกองเรือทองคำ แต่เป็นการสูญเสียส่วนตัวของโรเอล การโจมตีของเขาได้แช่แข็งหนวดของสัตว์ประหลาดทะเลตัวหนึ่งติดกับดาดฟ้าเรือโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เกิดสิ่งกีดขวางขนาดใหญ่ทอดยาวไปทั่วความกว้าง 20 เมตรของเรือ ก่อนที่จะตกลงไปในทะเล มันดูแปลก ๆ ชวนให้นึกถึงหางแกว่งไปแกว่างมาอยู่ข้าง ๆ ตัวเรือ
นี่ก็ผ่านมานานแล้วหลังจากที่โรเอลร่ายสัมผัสแห่งธารน้ำแข็งแล้วล้มลงไปนอน แต่เสียงของน้ำแข็งที่กำลังถูกสกัดก็ยังคงดังมาจากดาดฟ้าเรือ เป็นหลักฐานของความยุ่งเหยิงที่โรเอลได้ก่อเอาไว้
ไม่ว่าจะในกรณีใด นี่เป็นการสาธิตโดยสมบูรณ์แบบของพลังอันน่าทึ่งที่หกภัยพิบัติ ผู้สร้างธารน้ำแข็งครอบครอง แม้ว่ามันจะยังถูกปิดผนึกเอาไว้ในไข่ใบนั้น แต่มันก็ยังสามารถเปลี่ยนการกักขังของเอสเอส เซนต์แมรี่ ให้กลายเป็นโลกแห่งน้ำแข็งได้ ศักยภาพในการทำลายล้างนั้นเหนือจินตนาการ ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าราคาของพลังอันท่วมท้นก็ยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน
ต้องใช้เวลานานมากกว่าร่างกายของโรเอลจะรู้สึกอบอุ่นอีกครั้ง เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก มองไปที่แสงสีทองรอบ ๆ ชาร์ล็อตพร้อมถามด้วยความสงสัย
“ชาร์ล็อต เธอเชี่ยวชาญคาถาเวทที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณทองคำถึงขั้นไหนแล้ว?”
“ข้าพอจะเข้าใจมันในเชิงทฤษฎีทั้งหมดแล้ว จิตวิญญาณทองคำเป็นหนึ่งมรดกหลัก ๆ สองอย่างของอาณาจักรโซเฟีย โดยอีกอย่างก็คือความเท่าเทียมแห่งโชคชะตา ซึ่งเป็นความสามารถทางสายเลือดของพวกเรา การสูญเสียมรดกแสนสำคัญสองอย่างนี้ เป็นสาเหตุทำให้วงศ์ตระกูลของข้าตกต่ำลง”
ชาร์ล็อตตอบ
โรเอลพยักหน้าเห็นด้วย
เด็กชายเองก็ประหลาดใจเช่นกันที่ได้รู้ว่าผู้ครอบครองสายเลือดไฮเอลฟ์นั้นมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงกระแสแห่งโชคชะตา แม้จะแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่พวกเขาต้องใช้ชะตากรรมของตัวเองเป็นเดิมพัน ทำให้ยากที่จะใช้มันตรง ๆ ในการต่อสู้ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นคาถาเวทสนับสนุนที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ ที่อยู่ตรงจุดคาบเส้นของความไร้เหตุผลอันงมงาย
การทำสงครามยื้อแย่งระหว่างโรเอลกับผู้สร้างธารน้ำแข็งในตอนนั้น ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติคนอื่น ๆ คงจะไม่สามารถช่วยเขาให้รอดพ้นออกมาได้ อย่างไรก็ตามอิซาเบลลานั้นใช้วิธีที่มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์สุดท้าย โดยการดึงสายใยแห่งโชคชะตาโดยตรง ทำให้เด็กชายรอดมาได้ด้วยแรงผลักดันสุดท้ายที่เขาต้องการในการเผชิญหน้ากับผู้สร้างธารน้ำแข็ง
โรเอลใช้เวลาชั่วครู่คาดเดาเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ความเท่าเทียมแห่งโชคชะตา สามารถนำมาใช้สร้างความแตกต่างในสถานการณ์เหล่านั้นได้ พลางถอนหายใจด้วยความตกตะลึง
เด็กชายมองนาฬิกาจับเวลาถอยหลังบนระบบอย่างรวดเร็ว
【นับถอยหลังสู่จุดสิ้นสุดของสถานะผู้เฝ้ามอง : 59 ชั่วโมง 44 นาที】
สองวันครึ่ง?
โรเอลจ้องนาฬิกาจับเวลาเงียบ ๆ ก่อนจะแจ้งให้ ชาร์ล็อตได้ทราบ ซึ่งเด็กสาวก็ตอบพร้อมพยักหน้ารับทราบ
“สองวันครึ่ง… นั่นน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับข้าที่จะท่องจำคาถาเวททั้งหมด”
“ดีแล้ว ในเมื่อเป้าหมายของเธอสำเร็จลุล่วงแล้ว สิ่งที่เราต้องทำก็คือ รอดกลับไปให้ได้อย่างปลอดภัย”
“กลับไปให้ได้อย่างปลอดภัยงั้นเหรอ? แต่เรือลำนี้ยังบรรทุกไข่เอาไว้อยู่นะ และที่ที่มันจะไปในตอนท้ายที่สุดก็คือ…”
เมื่อคิดถึงท่าเรือเยือกแข็งชั่วนิรันดร์ในความทรงจำ ชาร์ล็อตก็ดึงชายเสื้อของโรเอลแน่นขึ้นด้วยความกังวล แม้ตอนนี้จะยังสงบ แต่เธอก็รู้อยู่ลึก ๆ ในใจว่าอันตรายได้รุกล้ำเข้ามาถึงพวกเขาแล้ว
ทันทีที่ผืนน้ำสงบนิ่ง กองเรือทองคำก็จะถูกห้อมล้อมไปด้วยศัตรู ไม่ว่าจะเป็นชาวเผ่าทะเล กองเรือกบฏของกอร์ดอน หรือภาคีแห่งนักบุญ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่ล่อแหลม
เกือบจะพูดได้เลยว่า อิซาเบลลานั้นตัดสินใจผิดพลาดในการรับภารกิจส่งไข่ นี่เป็นภารกิจที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันเป็นรูปธรรมแก่ราชวงศ์โซเฟียหรือกองเรือทองคำเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันกลับกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งภายในอาณาจักร ก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างกลุ่มอนุรักษ์นิยมกับกลุ่มปฏิวัติที่นับถือมนุษย์ให้รุนแรงยิ่งขึ้น
สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำอาจมีความสามารถในการระดมทรัพยากรจำนวนมาก แต่มันก็ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะสามารถชดเชยความสูญเสียของอาณาจักรโซเฟียที่เกิดจากสงครามภายในนี้ได้
ด้วยทุกสิ่งที่เธอต้องสูญเสียไป ทำไมอิซาเบลลาถึงยังเลือกที่จะยอมรับภารกิจนี้ในที่สุด?
มันเป็นเพราะวินสเตอร์งั้นหรือ? หรือเป็นเพราะแรงกดดันจากสมัชชา?
ถ้าโรเอลไม่ได้พบกับอิซาเบลลา เขาคงคิดอย่างนั้น แต่หลังจากที่ได้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวอันมีเสน่ห์ของเธอ เขาก็นึกภาพไม่ออกว่าเธอเป็นคนที่จะยอมทำตามแรงกดดันจากคนรอบข้าง ต่อให้มันจะมาจากคนรักของเธอก็ตาม หญิงสาวเป็นผู้นำที่เข้มแข็งไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดง่าย ๆ
ความเป็นไปได้ที่ชัดเจนที่สุดของเหตุผลที่อิซาเบลลาเลือกหนทางนี้ น่าจะเป็นเพราะว่าเธอเป็นมนุษย์
อิซาเบลลาต่างจากกอร์ดอนที่สนับสนุนสายเลือดไฮเอลฟ์ อิซาเบลลาเชื่อว่าเธอเป็นมนุษย์และมองว่ามันเป็นเกียรติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
หญิงสาวอาศัยอยู่ในยุคแห่งความโกลาหลครั้งใหญ่ การรุกรานครั้งแรกของพวกกลายพันธุ์ทำให้ทุกคนตื่นตัวต่อภัยร้ายที่ทำให้มนุษยชาติเกือบจะสูญพันธุ์ แต่ในขณะเดียวกันมันก็หลอมรวมมวลมนุษยชาติทั้งหมดให้กลายเป็นหนึ่งเดียว
แม้มนุษยชาติจะสามารถรับมือกับการรุกรานของพวกกลายพันธ์ุได้สำเร็จ แต่พวกเขาก็ไม่มีแรงเหลือจะไปรับมือกับหนึ่งในหกภัยพิบัติที่อาจจะตื่นขึ้นมาในช่วงเวลานี้แน่ ในสถานการณ์อันสิ้นหวังนี้ สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำจึงตัดสินใจที่จะก้าวออกมาข้างหน้า จัดการกับวิกฤตการณ์นี้ด้วยตนเอง
อิซาเบลลาและกองเรือทองคำ อาจกล่าวได้ว่าเป็นความหวังสุดท้ายของมนุษยชาติ หากพวกเขาทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ อารยธรรมของมนุษยชาติและทุก ๆ อาณาจักรคงจะต้องล่มสลายสูญหายไปอย่างแน่นอน
โรเอลไม่รู้ว่าอิซาเบลลาทนตัดสินใจเลือกเส้นทางอันเจ็บปวดนี้ได้อย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนเลยก็คือ ท้ายที่สุดเธอก็ทำภารกิจได้สำเร็จ ที่ทางแยกแห่งโชคชะตานี้ พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่เสียสละชีวิตเพื่อพามวลมนุษยชาติไปสู่เส้นทางแห่งการพิชิตอุปสรรคทั้งมวลเพื่อความอยู่รอด
แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่นานที่พวกเขาได้พบกัน แต่โรเอลก็เต็มไปด้วยความเคารพต่ออิซาเบลลา อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก เกี่ยวกับชะตากรรมสุดท้ายที่รอคอยกองเรือทองคำอยู่
การเดินทางครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของพวกเขาแล้วงั้นเหรอ?
สองวันครึ่งใช่มั้ย? ตราบใดที่พวกเราสามารถอยู่รอดได้จนถึงตอนนั้นล่ะก็…
ด้วยความคิดเช่นนั้นในใจ โรเอลสวมกอดเด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงตรงหน้าเขาเบา ๆ