ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END 恶役少爷不想要破灭结局 - บทที่ 230 ใช่แล้ว เขาคือคนของตระกูลแอสคาร์ด
- Home
- ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END 恶役少爷不想要破灭结局
- บทที่ 230 ใช่แล้ว เขาคือคนของตระกูลแอสคาร์ด
บทที่ 230: ใช่แล้ว เขาคือคนของตระกูลแอสคาร์ด
ทันทีที่โครงกระดูกขนาดมหึมาที่ห่อหุ้มด้วยแสงสีแดงเข้มปรากฏขึ้นท่ามกลางหุบเขาของป่าเครอน การเคลื่อนไหวของผู้จู่โจมก็หยุดลงทันที ไม่ว่าจะเป็นร็อดนีย์และวู้ดที่โห่ร้องอย่างบ้าคลั่ง หรือนักรบที่พุ่งเข้าใส่อย่างกล้าหาญ
มันเป็นความรู้สึกอันน่ากลัวที่ทำให้ทั้งร่างต้องแข็งทื่อจนพวกเขาต่างสงสัยว่าเลือดภายในร่างกายของตนหยุดนิ่งไปแล้วรึเปล่า จากนั้นแรงกดดันมหาศาลเกินจะต้านก็ถาโถมเข้ามาบดขยี้พวกเขา เพียงแค่ชั่วครู่ เหล่าผู้นับถือลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่งก็คุกเข่าและก้มศีรษะลง มีเพียงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงอย่างร็อดนีย์และวู้ดเท่านั้นที่ยังคงยืดหยัดต่อไปได้อย่างทุลักทุเล
ขณะเดียวกันกลุ่มทหารรับจ้างของลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแน่วแน่ ก็รู้สึกถึงแรงกดดันอย่างหนักที่ร่างกายของพวกเขาเช่นกัน แม้ว่าจะได้รับการแจ้งล่วงหน้าแล้ว ทำให้พวกเขาไม่ได้ตื่นตระหนกเท่าไหร่ แต่ตัวตนอันทรงพลังของกรันด้า ทำให้พวกเขาต้องละสายตาไปทางอื่น มีเพียงซินเทียเท่านั้นที่สามารถเหลือบมองไปยังตัวตนอันทรงพลังนั้นได้ แต่ยิ่งเธอมองไปที่เขา เธอก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมีประสาทสัมผัสอันเฉียบแหลม ซึ่งทำให้พวกเขาเข้าใจถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าได้ดีขึ้น มองเห็นธรรมชาติและความแข็งแกร่งของพวกเขา จากความรู้สึกของซินเทีย โครงกระดูกสีแดงเข้มคือตัวตนที่ไม่มีวันโอนอ่อนต่อสิ่งใด สูงส่งทัดเทียมกับเทพธิดาแห่งผืนปฐพีที่เธอบูชา
เขาบูชาเทพเจ้าสององค์พร้อม ๆ กัน? นี่มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ?
คำพูดไม่สามารถอธิบายได้ว่าซินเทียนั้นตกใจแค่ไหน
เทพเจ้าโบราณนั้นทั้งมีความเข้มงวดและรุนแรง พวกเขาเรียกร้องความจงรักภักดีจากผู้ศรัทธาอย่างเด็ดขาด ผู้ศรัทธาอาจสูญเสียพรของเทพเจ้าได้ เพียงแค่แต่งงานกับผู้หญิงที่เทพเจ้าไม่โปรดปราน นับประสาอะไรกับการบูชาเทพเจ้าองค์อื่น
ทว่าสามัญสำนึกดังกล่าวดูเหมือนว่าจะใช้ไม่ได้กับโรเอล
ซินเทียไม่รู้ว่าโรเอลมีสัญญาเท่าเทียมกับกรันด้าและเปตรา ในฐานะตัวตนที่พาพวกเขาออกจากการหลับใหลชั่วนิรันดร์ กลายเป็นสะพานที่เชื่อมโยงพวกเขาเข้ากับความเป็นจริงในปัจจุบัน การดำรงอยู่ของพวกเขาเป็นประโยชน์ต่อกันและกัน ต่างจากผู้ศรัทธาคนอื่น ๆ ที่วิงวอนขอพรจากเทพเจ้าผ่านความเชื่อของพวกเขา
ทันใดนั้น ซินเทียก็ตระหนักได้ว่าเด็กชายผมสีดำที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นได้กลายเป็นตัวตนที่เธอไม่อาจหยั่งรู้ได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่เธอไม่มีวันเข้าใจถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริง
สมาชิกของลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่ง ต่างก็ตกอยู่ในความเงียบสงบจนกระทั่งวู้ดได้เริ่มพูดขึ้นมา
“โอ้ ท่านเทพเจ้าผู้สูงส่ง ผู้ศรัทธาเช่นพวกข้าได้กระทำสิ่งที่ไม่สมควรลงไปแล้ว ได้โปรดประทานอภัยให้แก่พวกข้าที่ได้แสดงการดูหมิ่นต่อบุตรศักดิ์สิทธิ์อย่างใหญ่หลวงด้วย”
…
หนึ่งชั่วโมงหลังจากความโกลาหลทั้งหมด บรรดาผู้ศรัทธาจากลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่งก็ได้ทิ้งอาวุธของพวกเขา และก้มลงคุกเข่าอย่างนอบน้อมเบื้องหน้าขบวนรถราวกับฝูงนกเพนกวิน ในขณะเดียวกันด้านข้างอลิเซียที่ยืนอยู่อย่างสงบห่างออกไปไม่ไกล โรเอลได้จ้องมองไปยังทิวทัศน์ของภูเขา พร้อมกับไม้เท้าในมือขณะฟังคำอธิบายของร็อดนีย์และวู้ด
ตลอดชั่วโมงที่ผ่านมานี้ โรเอลได้รับคำอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่ง โดยพื้นฐานแล้วสาเหตุที่ผู้ศรัทธาของกรันด้า กลายเป็นกองโจรที่ดักปล้นขบวนรถพ่อค้าที่แล่นผ่าน แท้จริงแล้วนั้นเกี่ยวโยงกับแผนการธุรกิจของตระกูลโซโรฟยาที่พยายามจะพัฒนาดินแดนแห่งความโกลาหล ทำให้เด็กชายประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุนี้อลิเซียจึงเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจต่อสมาชิกของลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่ง และได้วิพากษ์วิจารณ์การใช้อำนาจอย่างชั่วร้าย กดขี่มวลชนผู้บริสุทธิ์อย่างไม่ลดละของตระกูลโซโรฟยา
“ท่านพี่ ชาร์ล็อตช่างเป็นผู้หญิงที่แย่จริง ๆ!”
ขณะที่อลิเซียกำลังก่นด่าชาร์ล็อตอย่างหนัก โรเอลก็มองไปที่เกล็ดที่เขาเพิ่งได้รับจากร็อดนีย์และเริ่มสื่อสารกับเปตรา
‘เกล็ดแห่งเทพงู’ นี่เป็นเกล็ดจากลูกหลานของเทพธิดาแห่งผืนปฐพีไม่ผิดแน่ จากมุมมองของเปตรา มันเป็นของที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยเหลนของเธอ… ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถดึงดูดสายตาของราชินีแห่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้เลย แต่มันก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปซะทีเดียว
ผ่านมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่เปตราได้สูญหายจากโลกนี้ไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะหาสื่อที่สามารถควบคุมพลังของเธอได้ เกล็ดจากลูกหลานของเธอจึงถือเป็นสมบัติหายากอย่างไม่ต้องสงสัย ศักยภาพของมันจะได้รับการทวีคูณเป็นอย่างมากหากได้รับพรจากเปตรา มันจะไม่ใช่เพียงแค่เกล็ดที่รวบรวมงูสองสามตัวได้ด้วยพลังเวทบาง ๆ ของมันอีกต่อไป
ลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแข็งแกร่งนั้นมีความอนุรักษ์นิยมเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นความเคารพและศรัทธาของพวกเขาในตัวโรเอลนั้นยิ่งใหญ่กว่าลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแน่วแน่มาก เพียงการเผชิญหน้าครั้งเดียวก็สามารถทำให้พวกเขาทั้งหมดยอมจำนนต่อโรเอลได้ในทันที พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กชายมีชื่อ สถานะ หรือตำแหน่งอะไร!
แม้ว่าการปรากฏตัวของกรันด้าจะมีส่วนทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ แต่พวกเขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะมอบเกล็ดของเทพงู ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาปฏิเสธจะมอบให้แก่เหล่าลัทธิชั่วร้ายมาเป็นเวลาหลายปี
ตามที่ร็อดนีย์เล่า สมาชิกของลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแน่วแน่ตั้งใจที่จะออกเดินทางตามหาโรเอลภายในสองสามวันหลังจากนี้ และนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขามีส่วนร่วมในการโจรกรรม ด้วยคำขอร้องของผู้มีพระคุณ
โรเอลมองดูเสื้อผ้าของอีกฝ่ายและตัดสินใจที่จะเชื่อใจพวกเขา หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขามีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 อยู่ถึงสองคน ถ้าพวกเขาไม่หวั่นไหวกับการปล้นสะดมผู้อื่นจริง ๆ ล่ะก็ พวกเขาก็น่าจะร่ำรวยจากการโจรกรรมไปนานแล้ว พวกเขาคงไม่ต้องทนทุกข์อยู่ในสภาพน่าสมเพชถึงกับแต่งตัวด้วยเศษผ้าเช่นนี้แน่… แต่สิ่งที่เด็กชายกังวลที่สุดก็คืออะไรเป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาเหล่านี้ต้องมาปล้นพวกโรเอล
“เดี๋ยวก่อนนะ มีคนขอให้พวกนายทำแบบนี้งั้นเหรอ?”
“ใช่ครับ พวกเราต้องการตอบแทนบุญคุญของเจ้าแห่งผืนป่า จึงได้พยายามจะปล้นขบวนรถของท่าน”
“ฉันเข้าใจแล้ว… ใครคือเจ้าแห่งผืนป่ากันแน่? เขาเป็นผู้นับถือลัทธินอกรีตจากดินแดนแห่งความโกลาหลด้วยงั้นเหรอ?”
“อา มันไม่ใช่อย่างนั้นครับ คือว่า…”
ภายใต้การจ้องมองอย่างงุนงงของโรเอล ร็อดนีย์และวู้ดต่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจเปิดเผยความจริงออกมาในที่สุด
“เจ้าแห่งผืนป่าแท้จริงแล้วเป็นเทรนท์โบราณครับ”
“!”
โรเอลเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขาถามคำถามเพิ่มอีกสองสามข้อเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดให้ดีขึ้น แต่นั่นกลับทำให้เด็กชายตกใจกว่าเดิม เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันที่ต้นไม้คิดจะมาปล้นเขา และสิ่งที่ไร้สาระที่สุดก็คืออีกฝ่ายได้ส่งผู้ศรัทธาของกรันด้ามาปล้นเขา!
ทันทีที่โรเอลรู้ว่าเทรนท์โบราณกำลังเล็งไปที่ไวน์เห็ดอันน่าขยะแขยงยี่สิบถังของเขา เด็กชายก็เข้าใจความหมายของคำพูดอิซาเบลลาจากมิติสถานะผู้เฝ้ามองขึ้นมาในทันที
เข้าใจแล้ว เราไม่จำเป็นจะต้องทำอะไรเลยสินะ… ใครก็ตามที่นำไวน์เห็ดจำนวนมากเข้ามาในป่าเครอน จะได้พบกับเทรนท์ขี้เมาอย่างแน่นอน
เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นมาสักพักใหญ่ ๆ เนื่องจากไม่มีขบวนรถพ่อค้าที่ไหนคิดจะซื้อไวน์ราคาถูกที่น่าขยะแขยงพวกนี้ไปขายแน่ นับประสาอะไรกับการขนส่งมันผ่านป่าเครอนที่สุดแสนจะอันตราย อันที่จริงตั้งแต่สิ้นสุดยุคแห่งการผจญภัย ถนนส่วนใหญ่ที่มุ่งสู่ป่าเครอนก็ทรุดโทรมลงไปหมดแล้ว
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์นี้แล้ว โรเอลจึงคิดว่าคำพูดของเทรนท์โบราณ เคเดย์ ที่กล่าวว่าเขาไม่ได้ลิ้มรสไวน์เห็ดมาเกือบร้อยปีแล้วเป็นความจริง ขณะเดียวกันร็อดนีย์และคนอื่น ๆ ก็ดีใจที่ได้รู้ว่าพวกเขาไม่ต้องเลือกระหว่างความภักดีต่อโรเอลกับบุญคุญที่พวกเขาเป็นหนี้เจ้าแห่งผืนป่าแล้ว จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเดินทางเข้าไปที่ส่วนลึกของหุบเขาด้วยกัน
…
เนื่องจากตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ต่าง ๆ จึงมีดอกตูมงอกตามกิ่งไม้ และมักจะมีนกบินวนอยู่เหนือป่า มันเป็นฤดูกาลแห่งการตื่นขึ้นของป่าเครอน ทว่า ดวงตาของเคเดย์นั้นยังคงปิดแน่นอยู่ภายในส่วนลึกของหุบเขา
สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความลับที่ว่าทำไมเทรนท์โบราณจึงมีอายุที่ยืนยาว พวกเขาเป็น NEET นั่นเอง
หากไม่สามารถขยับได้เคเดย์ก็จะไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เขาใช้ชีวิตอย่างเงียบ ๆ มาตลอดหลายชั่วอายุคนราวกับต้นโอ๊คธรรมดาที่มองเห็นทั้งช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรือง และภัยพิบัติอย่างเงียบ ๆ เมื่อได้เห็นเกือบทุกอย่างบนโลก มันก็ไม่มีอะไรที่จะดึงดูดความสนใจของเขาได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการจากไปของกลุ่มคนรู้จักที่เขาสนิทสนมอย่างใกล้ชิด ก่อนที่เขาจะรู้ตัวชีวิตก็ได้กลับสู่ความสงบเสียแล้ว
ไม่มีอะไรมารบกวนเคเดย์ได้ และไม่มีใครกล้าที่จะรบกวนเขา
เคเดย์มีเหล่าลูกหลานของผู้ที่ถูกสาปแช่งโดยเหล่าทวยเทพเป็นผู้พิทักษ์ และในทางกลับกัน เขาก็ได้ทำให้สัญชาตญาณของพวกเขาเหล่านั้นอ่อนลงเป็นสิ่งตอบแทน ช่วยรักษาอารมณ์ของพวกเขาให้คงที่ การแลกเปลี่ยนทางผลประโยชน์ร่วมกันนี้ ได้นำความสงบสุขมาสู่ป่าเครอน และยังคงเป็นแบบนั้นมาหลายร้อยปี ทว่าในวันนี้ พลังเวทอันทรงพลังได้ทำลายความสงบของป่าเครอนลง
ทันทีที่รัศมีอันทรงพลังปรากฏขึ้น ดวงตาที่มีรอยย่นลึกคู่หนึ่งบนต้นไม้โบราณอันสูงตระหง่านก็เปิดขึ้น การปรากฏตัวของเทพเจ้าอันน่าสะพรึงกลัวทำให้เคเดย์ตื่นตระหนก มันทำให้เขาต้องรีบหาวิธีรับมือกับสถานการณ์นี้ ด้วยความตื่นกลัว ร่างกายของเขาเริ่มสั่นเมื่อแสงริบหรี่จาง ๆ ส่องเข้ามายังส่วนลึกในลำตัวของเขา โลกโดยรอบเริ่มสั่นสะท้าน พร้อมฝุ่นผงที่ลอยขึ้นไปในอากาศ ทำให้ฝูงนกหวาดกลัว
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่เคเดย์ถอนรากถอนโคนตัวเองจากพื้นดิน
ขณะเดียวกัน เงากว่าร้อยเงาที่กระจัดกระจายอยู่ในความมืดของป่า เหล่ามนุษย์หมาป่า คู่สัญญามาตั้งแต่โบราณกาลของเคเดย์ ได้ออกมาเสนอความช่วยเหลือให้แก่เจ้าแห่งผืนป่า ยามที่เขาตกอยู่ในอันตรายตามพันธสัญญา ต่อจากนั้นเหล่าสัตว์อสูรทรงพลังที่เคเดย์เคยได้ทำสัญญาด้วยก็เริ่มโผล่ตาม ๆ กันมา นกขนาดมหึมาบินวนอยู่บนท้องฟ้าคอยเฝ้าระวังจากบนฟ้า และแมงป่องที่มีพิษร้ายแรงก็ได้ออกมาจากโพรงของมันเพื่อคุ้มกันเขา
“ในที่สุด พวกเขาหาข้าเจอจนได้งั้นเหรอ?”
เคเดย์พึมพำด้วยเสียงอันแหบแห้ง
เทรนท์โบราณมองไปในทิศทางที่เสียงฝีเท้าค่อย ๆ ดังชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ แต่เคเดย์ก็ต้องประหลาดใจเมื่อตัวตนที่ทำให้เขาตื่นกลัวนั้นไม่ใช่กองทัพนับพันแต่อย่างใด ทว่ากลับเป็นเพียงบุคคลเพียงคนเดียว
เขาเป็นเด็กผู้ชายผมสีดำที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่เรียบ ๆ ธรรมดา ๆ มีรูปลักษณ์ที่ถือว่าหล่อเหล่ากว่ามนุษย์ทั่ว ๆ ไป และมีบรรยากาศของขุนนางอยู่รอบตัว เด็กชายจับไม้เท้าเก่า ๆ ในมือแล้วแหงนมองไปที่เคเดย์ด้วยดวงตาสีทองอันสงบ การปรากฏตัวของเขาไม่ได้สง่างามเท่าไหร่นัก แต่ก็คงไม่มีสิ่งมีชีวิตใดกล้าเข้าใกล้เขาโดยประมาทแน่
งูสีทองอันงดงามได้ลุกขึ้นมาจากไม้เท้า เลื้อยมาเกาะอยู่บนมือของเด็กชายอย่างสงบ ทำให้สัตว์อสูรในบริเวณนั้นก็สั่นสะท้านจนต้องหนีไป ข้างหลังเด็กชายมียักษ์ขนาดมหึมาปรากฏกายขึ้นด้วยพลังเวทสีแดงเข้ม เขาเหลือบมองดูพวกมนุษย์หมาป่าในบริเวณนั้น ก่อนจะหันไปมองที่เทรนท์โบราณที่สูงตระหง่าน
เคเดย์จ้องไปที่เด็กชายที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เข้ามาด้วยดวงตาที่ค่อย ๆ เบิกกว้างขึ้น การที่มีรัศมีของเทพเจ้าโบราณถึงสององค์แผ่มาจากบุคคลเพียงคนเดียว ทำให้เขาหวนนึกถึงความทรงจำในอดีตเมื่อนานมาแล้วของตนเอง ดึงความทรงจำที่ควรจะเลือนหายไปแล้วกลับมา ขณะที่จิตใจของเทรนท์กำลังล่องลอยอยู่ เด็กชายผมดำก็หยุดฝีเท้าลงในที่สุด
“ยินดีที่ได้พบท่านเจ้าแห่งผืนป่าผู้ยิ่งใหญ่ ท่านเคเดย์ ผมมีชื่อว่าโรเอล แอสคาร์ด ทายาทของคนรู้จักคนหนึ่งของท่าน ผมต้องขอโทษด้วยสำหรับการมาเยือนอย่างกะทันหัน”
ตามมารยาทโบราณ โรเอลวางมือบนหน้าอกและโค้งคำนับเล็กน้อย ทันใดนั้นดวงตาของเทรนท์โบราณก็สว่างขึ้นมาในทันใด
“ ใช่แล้ว เขาคือคนของตระกูลแอสคาร์ดนี่เอง…”