ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END 恶役少爷不想要破灭结局 - บทที่ 304 เหมือนคู่รัก
บทที่ 304 : เหมือนคู่รัก
การมาถึงอย่างกะทันหันของลิเลียนปราศจากการคัดค้านใด ๆ จากเหล่าสาวกของภาคีแห่งนักบุญ พวกเขาเชื่อมั่นในทูตศักดิ์สิทธิ์ ทำให้พวกเขามีความไว้วางใจในตัวโรเอลอย่างไม่มีเงื่อนไข ตราบใดที่เขาบอกว่ามันไม่มีปัญหา พวกเขาก็จะไม่เคลือบแคลงใจใดๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ลิเลียนยังได้รับความเคารพนับถือเป็นอย่างดีต่างจากโรเอล สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะเหล่าสาวกไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับทูตศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความแข็งแกร่งอันล้นหลามที่ลิเลียนได้แสดงออกมา…
พวกเขาคงจะโง่มากแน่ ๆ หากคิดจะละทิ้งผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ระดับแก่นแท้ 3 ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ นอกจากนี้ลิเลียนเองก็ไม่ใช่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 ธรรมดา ๆ อีกด้วย
เมื่อคืนก่อน เพื่อการตามหาโรเอล ลิเลียนและกองทัพของเธอได้ทำลายแนวหลังของกลุ่มภราดรภาพแห่งการกอบกู้จนสิ้น บรรเทาแรงกดดันที่มีต่อฝ่ายภาคีแห่งนักบุญ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่น่าอัศจรรย์…
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว โรเอลและลิเลียนก็ตัดสินใจที่จะแสดงภาพให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคู่รักแทนที่จะเป็นพี่น้องกัน แม้ว่าทั้งสองคนจะหน้าตาดี แต่ก็มีบรรยากาศที่แตกต่างกันมาก โรเอลให้บรรยากาศที่อ่อนโยนออกมา ในขณะที่ลิเลียนเป็นสาวผู้เยือกเย็น นอกจากนี้สีตาของพวกเขาก็ยังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้การอ้างว่าลิเลียนเป็นคนรักของเขา ยังช่วยอธิบายเรื่องที่เธอไม่เข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในภาคีแห่งนักบุญได้อีกด้วย ทำให้เหล่าสาวกไม่คิดสงสัยอะไรหากเธอทำอะไรแปลกๆ
โชคดีที่ภาคีแห่งนักบุญค่อนข้างเสรีในเรื่องการแต่งงานของเหล่าสาวก มันไม่ได้ผิดกฎของพวกเขา เหมือนกันกับภารดรภาพแห่งการกอบกู้ การมีคนรักนั้นไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะมันถือเป็นวิธีหนึ่งในการนำสาวกใหม่เข้ามาสู่ลัทธิ
เนื่องจากนิสัยอันสูงส่งของลิเลียนและความแข็งแกร่งอันทรงพลังของเธอที่ไม่สอดคล้องกับอายุ ข่าวลือจึงเริ่มแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในหมู่คนหนุ่มสาวว่าเธอเป็นลูกสาวของขุนนางชั้นสูงที่เลือกที่จะหนีตามมากับโรเอล ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครกล้าถามชื่อสกุลของเธอ
สิ่งนี้ช่วยพวกเขาได้มาก ในยามลำบากเช่นนี้ แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว ตัวตนของลิเลียนไม่ได้อยู่ในระดับของ ‘ธิดาของขุนนางชั้นสูง’
ด้วยความคิดดังกล่าวโรเอลได้หันไปมองลิเลียน ซึ่งเด็กสาวก็หันมองกลับมาที่เขาโดยเอียงศีรษะอย่างสงสัย ปฏิกิริยาที่น่ารักและความอ่อนโยนในดวงตาของเธอทำให้หัวใจของโรเอลเต้นไม่เป็นจังหวะ
“รุ่นพี่ คุณดูดีมากเลยในชุดราตรี…”
“ย..อย่างนั้นเหรอ? ฉันจะใส่มันบ่อย ๆ นะ ถ้าเธอชอบมัน”
เพื่อปกปิดความอับอายของตัวเอง โรเอลได้พยายามส่งเสียงชมเชยเธอ ซึ่งลิเลียนก็พอใจกับมัน ทำให้บรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองเริ่มกลมกลืนกันมากขึ้น จนรู้สึกเหมือนกลายเป็นคู่รักกันแล้วจริงๆ
แม้แต่พวกเขาทั้งสองคนก็รู้สึกแบบนั้น มันจึงไม่มีทางที่คนนอกจะรู้สึกสงสัยอะไร…
เนื่องจากการเจรจาล้มเหลว โรเอลจึงสั่งให้สมาชิกของภาคีแห่งนักบุญเสริมการป้องกันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในทันที ณ จุดนี้เขาค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าการต่อสู้จะต้องปะทุขึ้นแน่ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปในครั้งนี้ก็คือโรเอลไม่ได้สนใจที่จะเข้าร่วมในการต่อสู้อีกต่อไปแล้ว
เนื่องจากการรวมตัวของเขากับลิเลียนเป็นไปได้ด้วยดี เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ณ ภาคีแห่งนักบุญจึงได้บรรลุแล้ว ที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็คือการรอให้ทางสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าติดต่อพวกเขากลับมา
ขณะเดียวกันโรเอลก็ได้ใช้เวลานี้เพื่อตรวจดูสถานะในระบบของเขา
【การประเมินอย่างละเอียด : การดำเนินการโดยเฉลี่ย (66 %)】
【เวลานับถอยหลังสู่จุดสิ้นสุดของสถานะผู้เฝ้ามอง : 177 ชั่วโมง 42 นาที】
โรเอล รู้สึกประหลาดใจกับผลประเมินนี้ เพราะเขายังไม่ได้ทำอะไรที่สำคัญลงไปเลย เขาไม่ได้ฆ่าสัตว์ประหลาดใด ๆ หรือเคลียร์เป้าหมายสำคัญใด ๆ นอกจากรวมตัวกับลิเลียนอีกครั้ง ซึ่งโดยรวมแล้วก็เป็นฝีมือของลิเลียนเสียมากกว่า และการเจรจาเองก็ไม่น่าจะได้คะแนนมากเท่าไหร่
เขาจึงไม่เข้าใจว่าคะแนนการประเมินของเขาพุ่งขึ้นมากถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?
นี่หมายความว่ามีอย่างอื่นเกิดขึ้นในที่ที่เราไม่รู้งั้นเหรอ หรือเป็นเพราะจี้อำพันที่เราส่งไปหาสถาบันการศึกษากันนะ?
ดวงตาของโรเอลเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นข่าวดีสำหรับพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดว่า ‘นักวิชาการ’ หรือ ‘ผู้พิทักษ์’ จะเคลื่อนไหวในเร็ว ๆ นี้ จากสถานการณ์ปัจจุบัน แม้แต่เพื่อนสมาชิกในสมัชชาก็น่าจะยังต้องคิดทบทวนครั้งสองครั้งก่อนที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นอกจากนี้เขายังอาจจะถูกมองว่าเป็น ‘ตัวแปรที่ไม่รู้จัก’ อีกด้วย
ดังนั้นโรเอลจึงตัดสินใจที่จะใช้เวลานี้เพื่อพักผ่อน ลิเลียนต่อสู้มาสองวันติดต่อกันแล้วและต้องการการพักผ่อนเป็นอย่างมาก ในขณะที่โรเอลยังคงทุกข์ทรมานจากผลกระทบของสัมผัสธารน้ำแข็ง เมื่ออะดรีนาลีนจากการกลับมาพบกันใหม่หมดลง สิ่งที่เหลืออยู่จึงมีเพียงความเหนื่อยล้า
หลังจากการเตรียมการแล้ว โรเอลก็พาลิเลียนกลับเข้าไปในห้องเพื่อพักผ่อน เพื่อไม่ให้ดูแปลกไปจากที่พวกเขากำลังสมมติเล่นบทบาทเป็นคู่รัก แต่ถึงแม้จะทำได้ พวกเขาก็ไม่อยากแยกจากกันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้อยู่ดี…
ด้านหนึ่งเป็นเพราะความกังวลใจหลังจากที่ต้องแยกจากกันทันทีที่เข้าสู่สถานะผู้เฝ้ามอง และอีกด้านหนึ่งก็คือปัญหาด้านความปลอดภัยของพวกเขา ปัจจุบันพวกเขาเป็นสายลับในค่ายศัตรู ดังนั้นมันคงจะปลอดภัยกว่ามากหากพวกเขาย้ายไปอยู่ด้วยกัน
ลิเลียนรู้ดีถึงเรื่องนั้นเช่นกัน แต่พวกเขาก็ยังคงทะเลาะกันเรื่องนี้
“ฉันเป็นพี่สาวของเธอ ดังนั้นเธอควรเป็นคนที่ได้ขึ้นไปนอนบนเตียง”
“จะให้ผมปล่อยให้คุณนอนบนพื้นได้ยังไง? คุณก็เอาเตียงไปสิครับ”
ทั้งสองคนเชื่อมั่นในจุดยืนของตัวเอง ปฏิเสธที่จะขยับเขยื้อนแม้แต่นิ้วเดียว แต่แล้วในที่สุดพวกเขาก็ประนีประนอมกัน เมื่อพิจารณาได้ว่ากำลังอยู่ในค่ายศัตรู พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะผลัดกัน
คนหนึ่งจะนอนขณะที่อีกคนยืนเฝ้า
โรเอลไม่ได้นอนมานานห้าวันแล้ว เมื่อคืนนี้เขาแทบจะไม่ได้ขยิบตาเลยเพราะกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกจากสัมผัสธารน้ำแข็ง แม้ว่าร่างกายของเขาจะพัฒนาขึ้นมามากแล้ว ด้วยการเติบโตในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ แต่เขาก็ได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว หากเทียบกันแล้วล่ะก็ ลิเลียนไม่ได้นอนเพียงแค่สองคืนเท่านั้น หลังจากเข้าสู่สถานะผู้เฝ้ามอง
ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจว่าโรเอลควรจะเป็นฝ่ายที่ได้รับการพักผ่อนก่อน…
กว่าพวกเขาจะรับประทานอาหารเย็นเสร็จ และกลับมายังห้องพักก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว ในช่วงครึ่งแรกของคืน โรเอลนอนหลับอย่างสงบภายใต้การคุ้มครองของลิเลียน การมีญาติอยู่เคียงข้างทำให้จิตใจของเด็กหนุ่มสงบลงและหลับสบาย
หน้าที่ของทหารยามที่น่าเบื่อ กลับสนุกอย่างผิดปกติสำหรับลิเลียน เพียงแค่ได้มองดูเด็กหนุ่มที่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียง เธอก็แทบจะยิ้มไม่หุบ
มันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่มากสำหรับลิเลียน…
การมาถึงของใครบางคนที่สำคัญในชีวิตอย่างกะทันหัน ทำให้ลิเลียนรู้สึกราวกับว่าเธอได้ตกหลุมรักอย่างสุดซึ้ง การคิดถึงโรเอลทำให้เธอมีความสุข และกระตุ้นให้เธออยากเข้าใกล้เขามากขึ้น แม้แต่การฟังเสียงหายใจของเขาทำให้หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความอบอุ่น
ลิเลียนไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน และเธอก็หวงแหนมันมาก
แต่ในขณะเดียวกัน เด็กสาวก็เข้าใจดีว่าความสุขนี้ดีแค่ในส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น เช่นเดียวกับน้ำตาลหวาน การที่มีมากเกินไปจะทำให้ธรรมชาติของความสัมพันธ์เปลี่ยนไป เธอกลัวว่าความรู้สึกของตนจะยุ่งเหยิงอีกครั้งภายใต้ผลกระทบของพลังทางสายเลือด หากหมกมุ่นอยู่กับมันมากเกินไป
ลิเลียนถอนหายใจอย่างไม่เต็มใจก่อนจะเดินออกจากห้องนอน มุ่งหน้าไปยังโซฟาเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย…
…
เมื่อโรเอลลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาพบว่าตัวเองนั่งอยู่บนบัลลังก์หยกอันคุ้นเคย ต่างจากครั้งแรกที่เขาเข้ามาที่นี่ ท้องฟ้ามืดสนิท ไม่มีคบไฟในห้องโถงเพื่อให้แสงสว่างอีก มีเพียงแสงจาง ๆ ที่ส่องมาจากดอกไม้สีม่วงในทุ่งดอกไม้เบื้องล่าง
ราวกับว่าเขากำลังถูกล้อมรอบด้วยทะเลดาวระยิบระยับ ทำให้ทุกอย่างดูเหนือจินตนาการ…
แม่มดผมขาวสวมชุดสีเข้มกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้นั้น ดวงตาสีแดงของเธอกำลังจดจ่ออยู่ที่ดอกไม้รอบ ๆ ตัว ขณะที่เธอกำลังเลือกดอกไม้ที่บานสะพรั่งอย่างระมัดระวัง ก็มีมัดของมันอยู่ในมือของเธออยู่แล้ว
เธอกำลังจะทำอะไรกันแน่? แม่มดสนใจดอกไม้ด้วยงั้นเหรอ?
โรเอลจ้องไปที่ภาพเงาข้างใต้อย่างเงียบ ๆ โดยไม่ส่งเสียงใด ๆ อย่างไรก็ตาม ไม่มีทางเลยที่เขาจะปกปิดตัวตนของตัวเองจากอาร์เทเชียได้
“ยินดีต้อนรับกลับมาวีรบุรุษของข้า…ขอเวลาข้าสักครู่จะได้ไหม?”
อาร์เทเชียเงยหน้าขึ้นทักทายเขาด้วยรอยยิ้มที่ยินดี เธอดูไม่แปลกใจกับการมาถึงของเขาเลย ซึ่งโรเอลก็พยักหน้าแทนคำตอบ แม้จะทึ่งกับสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ก็ตาม
ครู่ต่อมา อาร์เทเชียก็เด็ดดอกไม้งามออกมาอีกดอกหนึ่ง ก่อนจะมองดูดอกไม้ที่เธอรวบรวมไว้ในอ้อมแขน หลังจากการตรวจดูอย่างระมัดระวัง เธอก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วแหละ”
เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ชวนให้หลงใหล…
วินาทีถัดมา อาร์เทเซียก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าโรเอล โชว์ดอกไม้ให้เขาดูด้วยใบหน้าที่เบิกบาน ราวกับว่าเธอกำลังขอคำชมจากเขา
“ฮิฮิ เป็นยังไงบ้างล่ะ? ดอกไม้พวกนี้คือ ดอกไม้แห่งภวังค์ที่มีเฉพาะในอาณาเขตของข้า มันสวยมากใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่…พวกมันสวยมาก…”
“ค่อยยังชั่ว! ข้ากังวลว่าเจ้าจะไม่ชอบพวกมันตั้งนาน งั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหากข้าจะใช้มันเป็นวัสดุ”
“วัสดุ?” โรเอลถามอย่างสงสัย
อาร์เทเชียพยักหน้าตอบ “ใช่ วัสดุ”
ขณะที่พูด เธอปล่อยมือจากดอกไม้และอ้าแขนกว้าง แทนที่จะร่วงลงกับพื้น ดอกไม้กลับลอยเข้าที่เข้าทางและเริ่มพันกัน ในเวลาไม่นานมงกุฎก็ถูกทอขึ้นจากดอกไม้เหล่านั้น
“นี่คือมงกุฏที่ข้าทำขึ้นมา เพื่อเจ้าโดยเฉพาะ วีรบุรุษของข้า เจ้าชอบมันไหม?”
อาร์เทเชียถามอย่างไร้เดียงสา