ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END 恶役少爷不想要破灭结局 - บทที่ 320 พายุแห่งพลบค่ำ
บทที่ 320: พายุแห่งพลบค่ำ
ตามเจตจำนงของผู้เป็นนาย พายุสีเหลืองก่อตัวขึ้นมานับไม่ถ้วนก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นหอกอย่างรวดเร็วตามคำสั่งของโรเอล
หอกลมเหล่านี้มีพลังทำลายรุนแรงจนไม่อาจต้านทานได้ พวกมันพร้อมจะกัดกร่อนทุกสิ่งที่ขวางทาง แม้แต่ห้วงมิติก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่งต่อหน้าพลังแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นี้ ด้วยการโบกมือของโรเอล หอกลมจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่พริสเลย์ด้วยเสียงคำรามอันน่าสยดสยอง
กลับกันแล้วพริสเลย์ได้ใช้พลังเวทย์จำนวนมหาศาลฟื้นฟูร่างกายของเขาให้กลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์ ต่อหน้าพลังอันล้นหลามของหนึ่งในหกภัยพิบัติ ราชาจอมเวทย์ได้ยกไม้เท้าขึ้น เรียกวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนส่องประกายรอบตัวเขา
เขาใช้วิญญาณเหล่านี้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เปลี่ยนท้องฟ้าไปตามคำสั่งของตนในทันใด แสงสีขาวที่กลืนกินทิวทัศน์จนแทบมองไม่เห็นได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
พลังทั้งสองปะทะกันและพยายามที่จะกลืนกินกันและกัน
โรเอลรู้สึกแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมด้วยการเสริมพลังที่ได้รับมาจากราชินีแม่มดและเลือดของลิเลียน มันมากกว่าที่เขาเคยได้รับมาจากพรของเปตราเสียอีก ด้วยพลังเวทย์ที่มากเพียงพอ ทำให้เขาสามารถโยนทุกอย่างที่มีใส่พริสเลย์ได้โดยไม่ต้องกังวลอะไรอีก
คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของโรเอลสั่นสะท้านในขณะที่เขาลอยไปกลางอากาศ เด็กหนุ่มจ้องไปที่พริสเลย์ด้วยดวงตาที่เปล่งประกายราวกับแสงเทียนในขณะที่ยกฝ่ามือขึ้น เขาปล่อยพลังของศิลาแห่งมงกุฏอย่างเต็มที่ ราวกับว่าตั้งใจจะปลดปล่อยสัตว์ประหลาดโบราณลงมาบนโลก
เงาสูงตระหง่านที่มีใบหน้าไม่ชัดเจนปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายลมสีเหลืองยามพลบค่ำ มันเป็นเงาของตัวตนผู้ที่ทำลายอารยธรรมโบราณมานับไม่ถ้วน
ตอนนั้นเองที่พริสเลย์เข้าใจได้ว่าทำไมโรเอลถึงได้มีความมั่นใจมากถึงขนาดนี้
“นี่คือเหตุผลเบื้องหลังความเย่อหยิ่งสินะ ? สัตว์ประหลาดในตำนานที่ทำลายอารยธรรมโบราณจำนวนมากให้สูญสิ้น หนึ่งในทูตของมารดาแห่งเทพธิดา ‘ผู้เรียกพายุ’ ช่างเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวโดยแท้จริง”
พริสเลย์กล่าวขณะที่เขาจ้องไปที่สัตว์ประหลาดที่ก่อตัวขึ้นจากลม
หลังจากนั้นเขาก็ลดสายตาลงเพื่อมองไปยังโรเอล
“ด้วยพลังของศิลาแห่งมงกุฎ และคาถาเวทย์ที่ผิดปกติ ย่อมสามารถแสดงพลังได้เหนือกว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 …ช่างน่าประทับใจจริง ๆ แต่คิดจริง ๆ เหรอว่าจะสามารถเอาชนะข้าได้ด้วยพลังที่มากว่าระดับแก่นแท้ 3 เพียงเอื้อมมือ ?
“นั่นเป็นเพียงแค่ข้อกำหนดขั้นต่ำที่จะมายืนต่อหน้าข้าเท่านั้น !”
เสียงของพริสเลย์ดังขึ้น เขายกไม้เท้าขึ้นปล่อยแสงสีขาวให้แผ่ขยายออกไปอย่างหนาแน่น หอกลมจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้าหาเขากระจัดกระจายสลายไปก่อนที่จะไปถึงตัวของชายชราเสียอีก
ราชาจอมเวทย์เงยศีรษะขึ้น จ้องมองตรงไปยังปรากฏการณ์ที่ไม่ชัดเจนบนท้องฟ้า ไร้ซึ่งความกลัวราวกับเป็นจักรพรรดิที่แท้จริง
พริสเลย์อาจจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่นั่นไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 1 ปัญญาและประสบการณ์ที่เขาสั่งสมมาหลายปีจากความกล้าหาญผ่านอันตรายและความยากลำบากไม่ใช่สิ่งที่สามารถพรากไปจากเขาได้ด้วยกาลเวลา
“ไม่ว่าพลังของเจ้าจะเหมือนกันกับสัตว์ประหลาดตัวนั้นแค่ไหน เจ้าก็ยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับมันได้ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าป้องกันคาถาเวทย์มนตร์ของข้าด้วยสายลมนั่นได้อย่างไร แต่ท้ายที่สุดความพยายามของเจ้าก็จะไร้ความหมาย ตราบใดที่เจ้าไม่สามารถทำร้ายข้าได้”
พริสเลย์กล่าว
เขาส่ายหัวราวกับว่าเห็นจุดจบของการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว อย่างไรก็ตามโรเอลกลับไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของเขา
ไม่สามารถทำร้ายคุณได้งั้นเหรอ ? นี่คุณคิดแบบนั้นจริง ๆ งั้นหรือ ?
“พริสเลย์ นี่คุณยังไม่รู้สึกตัวอีกเหรอ ?”
“อะไร ?”
“ลมของฉันไม่ได้สกัดคาถาเวทย์ของคุณ พวกมันหายไปเพียงเพราะพวกมันถึงวาระแล้วต่างหาก”
โรเอลเปิดเผยความจริงอย่างใจเย็น
ราชาจอมเวทย์เริ่มขมวดคิ้วในขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงความจริงอันน่าสะพรึงกลัวเบื้องหลังสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน
โรเอลยกมือขึ้นอย่างใจเย็นหมุนเกลียวลมบนฝ่ามือ เขาจ้องไปที่เกลียวคลื่นนี้อย่างลึกซึ้งก่อนจะพูดอธิบาย
“ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าฉันหยิ่งสินะ ฉันขอคืนคำเหล่านั้นกลับไปให้คุณก็แล้วกัน อารยธรรมมากมายได้พังทลายลงสู่พื้นดินเบื้องหน้าผู้เรียกพายุ แน่นอนว่ารวมถึงเผ่าพันธุ์โบราณที่มีอำนาจเหนือกว่าพวกเรามากด้วยเช่นกัน คุณอาจจะแข็งแกร่งมากก็จริง แต่อะไรทำให้คุณคิดว่าตัวเองเป็นข้อยกเว้นกัน ?”
คำพูดนั้นดังก้องอยู่ในหูของพริสเลย์ แต่ก่อนที่เขาจะตอบกลับได้ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกอ่อนแอลง
ปึง !
โคมไฟสีเขียวร่วงลงไปกับพื้น
เนื่องจากการมองเห็นที่พร่ามัวของเขา ราชาจอมเวทย์จึงต้องหรี่ตาลงเพื่อที่จะมองดูแขนของตนเอง ก่อนจะสังเกตเห็นว่ามือที่เขาดูแลอย่างพิถีพิถันมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นเต็มไปด้วยรอยย่น
“นี่มัน !”
“… สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเท่าเทียมกันต่อหน้าผู้เรียกพายุ ปริมาณพลังเวทย์นั้นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือเรื่องของเวลาต่างหาก”
โรเอลเปิดเผยคำตอบอย่างใจเย็น
พริสเลย์ตกใจเมื่อได้ยินแบบนั้น ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคาถาเวทย์ของเขาถึงไม่สามารถเข้าถึงตัวโรเอลได้ แม้ว่าจะมีความแตกต่างอย่างมากในความสามารถของพวกเขา
พลังของเวลาทำให้แม้แต่คาถาเวทย์ที่แข็งแกร่งมากพอที่จะทำลายป้อมปราการสิบทิศได้ ก็ยังต้องสูญสลายไปจากการสูญเสียพลังเวทย์ ด้วยที่มันเป็นกฎเกณฑ์ความเป็นไปของโลก
“คุณแพ้แล้วพริสเลย์ คุณแพ้ให้กับตระกูลของเราแล้ว !”
โรเอลมองลงไปที่ชายชราผู้อ่อนแออย่างรวดเร็ว พร้อมพูดอย่างมั่นใจว่าราวกับว่าทุกอย่างได้จบลงแล้ว
การประกาศนั้นทำให้ร่างของราชาจอมเวทย์หยุดนิ่ง ก่อนที่ความโกรธอันไร้ขอบเขตจะเริ่มทำให้จิตใจของเขาไหม้เกรียม
“ข้าแพ้แล้วงั้นเหรอ ? ฮา ฮา ! ฮ่า ๆๆๆ ! เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าพูดคำแบบนี้ต่อหน้าข้า ! เข้าใจแล้ว นี่สินะอานุภาพของหกภัยพิบัติ ? ช่างเป็นพลังที่ไม่มีใครสามารถต้านทานได้ อย่างไรก็ตามคาถาเวทย์ของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับ 3 ไม่มีทางที่จะทำร้ายข้าได้อยู่ดี !
“อีกอย่างเจ้าเองก็ไม่ใช่ผู้เรียกพายุจริง ๆ เจ้ายังมีข้อจำกัดอยู่ ขอบเขตพลังของเจ้ามาจากเกราะพลังเวทย์ของมิติห้วงความฝันใช่ไหมล่ะ ? ถ้าเช่นนั้น ทั้งหมดที่ข้าต้องทำก็คือทำลายเกราะพลังเวทย์นี้ลงซะ !”
ราชาจอมเวทย์คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ ประสบการณ์อันมั่งคั่งทำให้เขาสามารถหาทางออกจากสถานการณ์อันเลวร้ายได้ เขาปล่อยพลังเวทย์ที่สะสมอยู่ภายในร่างกายออกไปอย่างไม่ลังเล
บริเวณโดยรอบสั่นสะเทือนทันทีตอบสนองต่อพลังเวทย์อันท่วมท้น
มันเป็นฉากฝันร้ายที่ชวนให้นึกถึงการปะทุของภูเขาไฟ พลังเวทย์อันรุนแรงพุ่งออกมาจากร่างของพริสเลย์ ทำให้เขากลายเป็นหายนะจากการเดินได้ เพียงแค่แรงกดดันที่ชายชราปล่อยออกมาก็ทำให้อาคารที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
พลังเวทย์ของพริสเลย์แผ่ออกมาในรูปของแสงสีขาวสว่างจ้า ขัดแย้งกับแสงสีเหลืองยามพลบค่ำของสายลมพายุที่โหมกระหน่ำโดยรอบ ดึงทุกสิ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าไปยังขอบเขตของมิติห้วงความฝัน
เกราะพลังเวทย์ของมิติห้วงความฝันของแอสตริดทำให้เธอสามารถซ้อนทับความฝันกับความเป็นจริงและเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ …เพื่อที่จะเพิ่มพลังคาถาเวทย์ใหม่ของโรเอลอย่างผู้กลืนกินกาลเวลา เธอได้สร้างพื้นที่มิติปิดรอบตัวพวกเขา เพื่อให้เด็กหนุ่มสามารถรวมพลังลมรอบ ๆ พริสเลย์เข้าไว้ด้วยกันเพื่อกระตุ้นให้ราชาจอมเวทย์แก่ชราลงอย่างรวดเร็วได้
มิฉะนั้น หากการต่อสู้ยืดเยื้อต่อไป คนที่เสียเปรียบที่สุดก็คือโรเอลที่อ่อนแอกว่า
สิ่งที่ถูกปกคลุมด้วยเกราะพลังเวทย์ของมิติห้วงความฝันจะกลายเป็นความเป็นจริงใหม่ ส่งผลให้ศัตรูแทบไม่มีทางหนีออกจากเกราะพลังเวทย์ของมิติห้วงความฝันได้เลย ถึงกระนั้น พริสเลย์ก็สามารถฉีกเกราะพลังเวทย์ออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยพลังเวทย์ที่ระเบิดออกมาอย่างท่วมท้นของเขาได้อยู่ดี
ครึก !
ด้วยเสียงที่ชวนให้นึกถึงกระจกที่ค่อย ๆ ร้าวก่อนจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ รอยแตกเริ่มปรากฏขึ้นบนเกราะพลังเวทย์ของมิติห้วงความฝัน ภายใต้แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวจากการปะทุของพลังเวทย์ สายลมสีเหลืองเริ่มเล็ดลอดออกจากเกราะพลังเวทย์ ทำให้พลังของมันเริ่มแสดงสัญญาณที่จะจางหายไป
อัตราการแก่ชราของพริสเลย์เองก็เริ่มช้าลงเช่นกัน
มันได้ผล !
พริสเลย์มีเหงื่อไหลออกมากจากความตึงเครียด การคุกคามจากการเสื่อมถอยชราภาพตามหลอกหลอนในความฝันของเขามาหลายปีแล้ว และโรเอลก็พยายามจะเร่งกระบวนการนั้นให้เร็วขึ้น แล้วเขาจะไม่ตื่นกลัวได้อย่างไร ?
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาอันแสนสำคัญนี้ ราชาจอมเวทย์ก็ยังคงพลิกสถานการณ์กลับมาได้โดยใช้สัญชาตญาณอันเฉียบแหลมและพลังที่เหนือกว่า เขาจะไม่ยอมให้ใครมาขวางทางเป้าหมายของตนแน่ แม้ว่าจะเป็นผู้ครอบครองสายเลือดตระกูลแอสคาร์ดที่หลอมรวมเข้ากับศิลาแห่งมงกุฎก็ตาม !
ท่ามกลางแสงสีขาวที่พร่างพรายและเศษเหล็กที่ถล่มลงมาของอาคารที่พังถล่ม พริสเลย์หันไปทางโรเอล ตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว ลมสีเหลืองส่วนใหญ่ถูกผลักออกจากเกราะพลังเวทย์ ซึ่งหมายความว่าแผนการของโรเอลนั้นล้มเหลว
ทว่าสิ่งที่ทำให้ราชาจอมเวทย์ต้องสับสนก็คือ เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด มีเพียงรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์บนใบหน้าเท่านั้น… ราวกับว่าแผนการของเขาประสบความสำเร็จ !
โรเอลยกมือขึ้นให้พริสเลย์ดูแหวนสีดำที่นิ้วกลางของเขา มันเป็นปัจจัยที่จะกำหนดผลของการต่อสู้ในครั้งนี้
“มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องสำหรับคุณที่จะทำลายเกราะพลังเวทย์ของมิติห้วงความฝัน แต่คุณเคยสงสัยไหมว่า คุณอยู่ในความฝันของใคร ?”
“ความฝันของใครงั้นเหรอ ?”
พริสเลย์พึมพำด้วยความงุนงง ขณะที่เขาจ้องมองไปยังแหวนสีดำที่มีรูปร่างเหมือนดอกกุหลาบ วินาทีต่อมา ดวงตาของเขาหรี่ลงด้วยความสยดสยอง เมื่อในที่สุดเขาก็ตระหนักได้
“เดี๋ยวก่อน นั่นคือ…”
“ใช่แล้ว มันเป็นความฝันของผู้ที่ละทิ้งอิสรภาพ เธอได้ผนึกความฝันของเธอลงในแหวน เพื่อที่เธอจะได้ปกป้องรักษาห้วงความฝันแห่งความวุ่นวายไว้เพื่อประโยชน์ของโลกและมนุษยชาติ ความฝันของแอสตริด อาร์เด้ !”
“ในเมื่อคุณทำลายความฝันของเธอ ดังนั้นมันจึงเป็นการช่วยเปิดประตูให้กับเธอ”
แสงสีรุ้งเริ่มส่องผ่านรอยแยกของเส้นขอบฟ้าที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมกับบุคคลผู้มีอำนาจสูงส่งที่กำลังจะเดินทางข้ามพรมแดนระหว่างความฝันและความเป็นจริงลงมา !!