ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END 恶役少爷不想要破灭结局 - บทที่ 321 การกลับมาของเธอ
บทที่ 321: การกลับมาของเธอ
พริสเลย์ยกไม้เท้าขึ้น พยายามที่จะป้องกันแสงสีรุ้งที่ส่องผ่านรอยแตกร้าว แต่มันก็สายเกินไปแล้ว
การปะทะกันระหว่างแสงสีขาวและแสงสีรุ้งทำให้เกิดคลื่นกระแทกขนาดใหญ่ที่กวาดไปทั่วพื้นดิน
พริสเลย์อยู่ในวัยที่เริ่มเสื่อมโทรมแล้ว เมื่อประกอบกับผลการเร่งความชราภาพที่มาจากพลังของผู้เรียกพายุ ยิ่งทำให้เขาอ่อนแอลงไปอีก การปะทะกับแอสตริดเพียงครั้งเดียว จึงทำให้ร่างของเขากระตุกจนเลือดเริ่มซึมออกมาจากมุมปาก
ถึงกระนั้นราชาจอมเวทย์ก็ยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง
พริสเลย์เงยหน้าขึ้นมองดูเส้นขอบฟ้าที่แตกสลายและเด็กหนุ่มผมดำที่ลอยอยู่กลางอากาศ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ว่าพลังเวทย์อันแปลกประหลาดที่สัมผัสได้ในตอนที่เข้ามาในเกราะพลังเวทย์คืออะไร
ชายชราส่ายหัวก่อนจะพูดขึ้น
“แผนของเจ้าคือการใช้ลมแห่งความชรานั่น เพื่อบังคับให้ข้าทำลายเกราะพลังเวทย์งั้นเหรอ ? เป็นแผนการที่ไม่เลว ต่อให้ข้ารู้ถึงมันล่วงหน้า ข้าก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องทำแบบนี้ แต่เจ้าคิดจริง ๆ เหรอว่าจะสามารถเอาชนะข้าได้ด้วยสิ่งนี้ ?”
ดวงตาของพริสเลย์เปล่งประกายด้วยความมั่นใจอีกครั้ง เขามองดูรอยแตกของเกราะพลังเวทย์ที่กำลังซ่อมแซมอย่างช้า ๆ ด้วยเสียงหัวเราะที่แต่งแต้มไปด้วยความโกรธเคือง
“การสั่นสะเทือนแค่นี้ไม่มีทางปลดปล่อยเธอออกมาจากมิติห้วงความฝันได้หรอก ! การโจมตีครั้งก่อนนั้นน่าจะเป็นการโจมตีที่แรงที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้แล้วใช่ไหมล่ะ เปล่าประโยชน์สิ้นดี เธอไม่สามารถฆ่าข้าได้หรอก !”
ราชาจอมเวทย์ทุบไม้เท้าของเขาลงกับพื้น จากนั้นเงาที่ยื่นออกมาจากเท้าของเขาก็แยกออกเป็นสามส่วน ร่างกายของเขาเริ่มเปล่งประกายเจิดจรัสอีกครั้ง ในขณะที่เขากระจายลมสีเหลืองที่พยายามจะห้อมล้อมตัวเขาออกไป
“นี่เป็นคาถาเวทย์โบราณจากอาณาจักรแห่งเงาที่สาบสูญไปแล้วในยุคโบราณ นอกจากความสามารถในการเสื่อมสภาพของผู้เรียกพายุแล้ว ไม่มีวิธีใดในโลกที่จะสามารถฆ่าข้าได้ ข้ายังมีโอกาสอีกสามครั้งในขณะที่เจ้าร่อแร่เต็มที คาถาเวทย์ที่รุนแรงย่อมมีค่าใช้จ่าย และมันใกล้ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องชดใช้ผลข้างเคียงของมัน”
“…ฉันไม่ปฏิเสธสิ่งที่คุณพูดหรอกนะ”
การปะทะกับพริสเลย์ก่อนหน้านี้ทำให้พลังเวทย์ของโรเอลหายไปจนเกือบหมด ซึ่งหมายความว่าเขาไม่สามารถรักษาความสเถียรของคาถาเวทย์ผู้กลืนกินกาลเวลาได้อีกต่อไป แถมเขายังต้องรับผลข้างเคียงจากการใช้มันอีกด้วย
โรเอลยอมรับอย่างตรงไปตรงมากับสภาพที่ย่ำแย่ของเขา แต่ดวงตาของเขาก็ยังไม่ปรากฏร่องรอยของความสิ้นหวังที่พริสเลย์หวังว่าตนเองจะได้เห็น กลับกันแล้วริมฝีปากของเด็กหนุ่มขดขึ้นเป็นรอยยิ้ม ขณะที่เขาพูดซ้ำคำก่อนหน้านี้อีกครั้ง
“คุณแพ้แล้ว ราชาจอมเวทย์ คุณไม่ได้แพ้ฉัน แต่แพ้ให้กับพวกเรา คุณลืมไปเหรอว่ายังมีพวกเราอีกคนหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ นี้ ?”
หลังจากพูดคำเหล่านั้น เด็กสาวผมดำก็ปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ โรเอล ลิเลียนส่งสายตาอันเย็นชาใส่ชายชราที่ผอมแห้งก่อนจะยื่นมือให้กับโรเอล
โรเอลประสานมือของตนเข้ากับลิเลียน ก่อตัวเป็นสะพานที่กระตุ้นเสียงสะท้อนอันทรงพลังระหว่างพวกเขาในช่วงเวลาสั้น ๆ จากนั้นหยดเลือดสดที่ห่อหุ้มไปด้วยแสงสีรุ้งส่งก็ตรงไปยังลิเลียน เด็กสาวแยกริมฝีปากของเธอและกลืนเลือดหยดนั้นลงไปโดยไม่ลังเล
แอสตริดใช้ทางเดินที่ถูกเปิดโดยพริสเลย์ ข้ามจากมิติห้วงความฝันไปสู่ความเป็นจริงเพื่อส่งเลือดของเธอไปไว้ในมือของพวกเขา พลังสายเลือดที่มีระดับภูมิคุ้มกันสูงสุด สายเลือดของผู้ท่องความฝัน !!
ด้วยวิธีนี้ลิเลียนจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ชั่วข้ามคืนขึ้นมาได้
ปีกอันเปล่งประกายยื่นออกมาจากหลังของลิเลียน ขณะที่หูเล็ก ๆ ของเธอก็แหลมขึ้นเล็กน้อย ภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของเธอทำให้ใบหน้าอันสวยงามดูมีเสน่ห์ขึ้น ทำให้ยากต่อการที่จะละสายตาไปจากเธอ
ภายใต้แสงสีรุ้งและการใช้เลือดของบรรพบุรุษเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ลิเลียนสามารถเปลี่ยนแปลงกลายเป็นผู้ท่องความฝันได้ชั่วคราว
ตอนนั้นเองโรเอลก็ได้ใช้คาถาเวทย์ที่ราชินีแม่มดมอบให้กับเขา อัญเชิญอาร์เทเชีย
ทันทีที่คาถาเวทย์นี้ถูกเรียกบนลิเลียน วงจรพลังเวทย์สีแดงเข้มก็เริ่มแตกออกมาด้านนอกราวกับสายฟ้า ผู้ครอบครองสายเลือดคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งมงกุฎได้เดินทางข้ามเวลาและห้วงมิติไปยังราชสำนักของราชินีแม่มด เพื่ออัญเชิญเธอ !!
“ฝ่าบาท ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องเสด็จขึ้นไปบนเวทีกับพวกเรา !”
เมฆกลายเป็นลูกคลื่นอันมืดมิดปกคลุมท้องฟ้า ภายใต้คำเชิญอันนุ่มนวลของโรเอล ทันใดนั้นหมอกสีดำก็พุ่งลงมาห่อหุ้มร่างของลิเลียนเอาไว้ และในทันทีที่มันสลายไป เด็กสาวผมดำก็แปลงร่างกลายเป็นราชินีแม่มดผมขาว
หลังจากผ่านไปหลายชั่วอายุคน ในที่สุดอาร์เทเชียก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนโลกใบนี้ เธอมองไปที่เด็กหนุ่มที่กำลังจับมือเธอ พร้อมเผยรอยยิ้มออกมา
“ช่างฉลาดอะไรเช่นนี้วีรบุรุษของข้า นิ้วของเจ้ากำแน่นมากจนข้าแทบจะทนไม่ไหวที่จะออกมาปรากฏตัวตามคำเรียกของเจ้า”
อาร์เทเชียพูดพร้อมกับหัวเราะอย่างขบขัน
นัยน์ตาสีแดงของแม่มดผมขาวที่ลอยอยู่กลางอากาศเปล่งประกายแวววับ ทันใดนั้นโลกทั้งใบก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ ก่อนที่วินาทีต่อมาทุกอย่างจะเริ่มย้อนกลับ
พื้นดินที่พังทลายกลับคืนสู่สภาพเดิม และอาคารที่พังทลายกลับสู่สภาพเดิม ฝุ่นและทรายที่ลอยอยู่ในอากาศหายไปจากสายตา
ราวกับว่าโลกนี้เป็นสนามเด็กเล่นของอาร์เทเชีย เมื่อเธอมาถึง ทุกอย่างต้องสง่างามเรียบร้อย
“นี่..นี่มัน…”
พริสเลย์เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงในปาฏิหาริย์ที่ยากจะเข้าใจ ตั้งแต่วินาทีที่อาร์เทเชียปรากฏกาย เขาก็รู้สึกถึงอารมณ์ที่เขาคิดว่าตนเองทิ้งไปแล้วเมื่อหลายศตวรรษก่อน
ความกลัว !!
กล่าวกันว่าแม่มดเป็นเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นจากเงาของเทพีเซีย อันตรายและปริศนาคือคำจำกัดความของพวกเธอ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตในสมัยโบราณ พวกเธอเป็นคนที่เข้าถึงและสื่อสารได้ยากที่สุด แต่ก็คงไม่มีใครกล้าพอที่จะลองทำสิ่งนั้น
“ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ !”
หัวใจที่เต้นแรงอย่างลนลานของพริสเลย์ บอกให้เขารู้ถึงอันตรายที่ไม่อาจมีใครเทียบได้ตรงหน้า ลางสังหรณ์ถึงความตายที่เขารู้สึกได้บีบบังคับให้เขาริเริ่มที่จะต่อสู้กับอาร์เทเชีย…ด้วยที่มันคือวิธีเดียวที่เขาจะสามารถเอาชีวิตรอดจากการอุปสรรคครั้งนี้ได้ !!!
ขณะที่ราชาจอมเวทย์ตะโกน เลือดก็เริ่มไหลออกจากตา จมูก ปาก และหูของเขา มันคือราคาหนักที่เขาต้องจ่ายเพื่อแปรเปลี่ยนเป็นพลังเวทย์ที่มากขึ้น เขาเรียกการป้องกันอย่างสมบูรณ์จากความสามารถของพลังทางสายเลือดของเขาออกมา
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ขนาดมหึมาผุดขึ้นจากพื้นดิน เติบโตในอัตราที่น่าสะพรึงกลัว วิญญาณเปล่งประกายประสานกันอย่างกลมกลืน แท่นบูชาผุดขึ้นมาจากจุดที่พริสเลย์ยืนอยู่ เหล่าทวยเทพโบราณที่พำนักอยู่ในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญได้ลืมตาตื่นขึ้นอย่างช้า ๆ เพื่อปกป้องเขา
ภายใต้สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ราชาจอมเวทย์ชี้ไม้เท้าไปที่อาร์เทเชีย ปล่อยการโจมตีอันบ้าคลั่งรุนแรงที่สุดที่เขาเคยปลดปล่อยออกมาภายใต้แรงกดดันของความกลัว
ด้วยเลือดที่หลอมละลาย กระดูกเป็นโครงสร้าง และกิ่งก้านของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในฐานะใบมีด ดาบสังหารเทพเจ้าก็ปรากฏขึ้น ดาบอันไร้ที่ติที่ส่องแสงสาดส่องภายใต้แสงศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ใบหน้าของพริสเลย์แดงก่ำด้วยความตื่นเต้น แม้ว่าร่างกายจะเหี่ยวแห้งและสูญเสียแขนไป
นี่เป็นปาฏิหาริย์ที่พริสเลย์ดึงออกมาโดยหลอมรวมร่างของเขาเข้ากับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งนักบุญกลายเป็นดาบแห่งนักบุญ มันได้รับพรจากเทพเจ้าโบราณทั้งสิบสองที่พำนักอยู่ในแท่นบูชา ทำให้มีพลังมหาศาลจนแทบจะไร้ขีดจำกัด
เราสามารถชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้ !!
ดาบแห่งนักบุญนี้ทำให้พริสเลย์เชื่อมั่นในชัยชนะของเขา มันเป็นคาถาเวทย์อันไม่คาดคิดซึ่งสร้างขึ้นจากความกลัวในความตาย และพลังอันยิ่งใหญ่ใดก็ไม่สามารถหยุดยั้งมันได้ !!
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าอัญเชิญตัวตนแบบไหนมา แต่ผลลัพธ์จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หายไปซะ !”
พริสเลย์ทิ้งไม้เท้าของเขาและคว้าดาบของนักบุญที่กำลังเรืองแสงด้วยแขนข้างที่เหลือ ทันทีที่ราชาจอมเวทย์สัมผัสกับมัน ร่างกายของเขาก็เปล่งประกายแสงเจิดจ้า พรของเทพเจ้าโบราณทำให้เขาย้อนเวลาได้ชั่วคราว กลับไปสู่วัยหนุ่มอีกครั้ง
เขาเหวี่ยงดาบด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ ปล่อยคลื่นแสงพุ่งออกไป ราวกับว่ามิติและเวลาจะถูกตัดขาดด้วยพลังของมัน
ทว่าอาร์เทเชียกลับยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าคลื่นแสง มองดูอนุภาคแสงที่ลอยอยู่ด้วยรอยยิ้มอันขบขัน ราวกับว่าเธอกำลังดูการแสดงที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น
“มันสวยจังเลยนะ… วีรบุรุษของข้า”
“ใช่ แต่เธอจะไม่ป้องกันตัวเองหน่อยเหรอ ?”
“มันไม่สำคัญหรอก เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นแม่มดประเภทไหน ?”
“!”
เมื่อเห็นโรเอลเบิกตากว้างด้วยความตระหนัก ริมฝีปากของอาร์เทเชียก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์
ทันใดนั้นร่างมากมายก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขาทั้งสอง พระราชวัง หอคอย เสาหินและหลุมศพสีขาว ฝูงชนที่ส่งเสียงเชียร์ดังสนั่น และนักรบที่กำลังฟันดาบปะทะกันในสนามรบอันขมขื่น…
ทั้งหมดกลายเป็นนักรบเพียงคนเดียวถือโล่เดินทัพขึ้นมา เขายกโล่ขึ้น จากนั้นดวงตาสีแดงเข้มขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าเขา มันปล่อยทะเลเพลิงออกมาสกัดคลื่นเอาไว้
ตูม !
อาร์เทเชียมองดูฉากต่าง ๆ เหล่านี้อย่างสงบแม้ว่าจะมีเสียงระเบิดดังขึ้นรอบ ๆ ตัวเธอ ราวกับว่าเธอกำลังดูการแสดงดอกไม้ไฟ เธอชี้นิ้วไปยังโล่ของนักรบที่ยืนอยู่ข้างหน้าเธออย่างมีความสุข และเริ่มอธิบายให้โรเอลฟัง
“นั่นคือโล่ต้องสาปที่สร้างขึ้นจากดวงตาของเทพธิดาแห่งอัคคีรุ่นแรก เธอตกอยู่ในความต่ำทรามและเผาป่าแห่งชีวิต ทำให้โล่นั้นกลายเป็นอาวุธที่มีคุณสมบัติตรงกันข้ามกับดาบเล่มนั้น ซึ่งปลอมแปลงมาจากกิ่งของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์”
“สิ่งนี้สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้น อะไรก็ตามที่มีความขัดแย้งกันก็ไม่สามารถทำร้ายข้าได้ และตอนนี้มันก็ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะยุติเรื่องตลกนี้”
“!”
อาร์เทเชียหันมองไปทางชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดมหึมา อีกฝ่ายกำลังคำรามสุดปอด แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่สามารถที่จะผลักดาบแห่งนักบุญศักดิ์สิทธิ์ผ่านทะเลเพลิงไปได้
“เจ้าคือคนที่ทรยศเผ่าพันธุ์ของตัวเองงั้นเหรอ ? ช่างน่าขยะแขยงเสียจริง สำหรับข้าไม่มีอะไรน่ารังเกียจไปกว่าเจ้าแล้ว นอกจากนี้ เจ้ายังกล้าทำร้ายวีรบุรุษของข้าด้วยงั้นเหรอ ? ช่างเป็นคนที่เลวทรามจริง ๆ”
ดวงตาสีแดงของอาร์เทเชียเย็นยะเยือกขึ้น ขณะที่เธอโบกมืออย่างดูถูก ชวนให้นึกถึงตัวตันศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังชำระล้างสิ่งโสโครกไปจากพื้นโลก
“จนสำนักความผิดบาปของเจ้าในเปลวเพลิงโลกันต์แห่งปฐมภูมิเสียเถอะ”
เมื่อถ้อยคำเหล่านั้นจบลง เปลวเพลิงอันลุกโชนก็ได้เผาไหม้สวรรค์สีเขียวขจี กลืนกินสถานศักดิ์สิทธิ์และแผดเผาร่างของคนบาปไปจนสิ้น !!