ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END 恶役少爷不想要破灭结局 - บทที่ 368 ความคาดหวังที่มีต่อวีรบุรุษ
- Home
- ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END 恶役少爷不想要破灭结局
- บทที่ 368 ความคาดหวังที่มีต่อวีรบุรุษ
บทที่ 368: ความคาดหวังที่มีต่อวีรบุรุษ
“โรเอล!? ปลอดภัยดีสินะ ขอบพระคุณเทพีเซีย!”
หลังจากที่วิลเลียมและเทเรซาจากไปแล้ว ชาร์ล็อตก็ตามมาจนพบห้องที่โรเอลอยู่ผ่านการเชื่อมต่อของเธอกับจิตวิญญาณทองคำ เมื่อเห็นว่าเขาสบายดี เธอจึงรีบกระโดดเข้ามาทางหน้าต่างเข้าไปกอดอีกฝ่ายแน่น
ทว่าปฏิกิริยาของโรเอลนั้นผิดปกติไปเล็กน้อย
“ชาร์ล็อต… ถ้าเธอมาอยู่ที่นี่ก็แสดงว่าการต่อสู้สิ้นสุดลงแล้วงั้นเหรอ?”
“อืม มันจบแล้วล่ะ แต่ความปลอดภัยของที่รักสำคัญที่สุดนะ… มีอะไรรึเปล่า ?”
ชาร์ล็อตสังเกตเห็นว่าโรเอลกำลังจ้องเขม็งไปที่อีกด้านของห้อง แต่เธอกลับไม่พบสิ่งใด ๆ ที่ควรค่าแก่การจดจำ ซึ่งโรเอลก็รู้ดีว่าเธอน่าจะสับสนกับท่าทีที่ของเขาในตอนนี้ แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรอยู่ดี
ความไม่ไว้ใจที่วิลเลียมมีต่อนอร่าและคนอื่น ๆ ไม่มีผลใด ๆ กับโรเอล เขาเพียงแค่เคารพความต้องการของอีกฝ่ายที่อยากปกปิดตัวตน นอกจากเรื่องที่บรรพบุรุษของทั้งคู่เป็นสมาชิกของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำเหมือนกันแล้ว โรเอลยังติดหนี้บุญคุณที่ถูกพวกเขาช่วยเอาไว้ ดังนั้นมันคงไม่เหมาะเท่าไหร่หากจะเปิดเผยการมีอยู่ของทั้งสอง และขัดต่อเจตจำนงของพวกเขา
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่สงสัยว่าทำไมถึงได้มีเกราะพลังเวทย์ล้อมรอบห้องนี้ก็เท่านั้นเอง คงจะมีผู้มีอำนาจหรือคนสำคัญมาเช่าห้องนี้เอาไว้แน่ ๆ”
“พวกเขาน่าจะเป็นผู้ที่มีอิทธิพลมากเลยนะ พอมองจากการตกแต่งภายในที่ฟุ่มเฟือยกับเกราะพลังเวทย์ที่ปิดกั้นหมอกดำนั่นได้ นั่นย่อมหมายความว่าผู้ที่ร่ายของเกราะพลังเวทย์นี้มีพรจากเทพเจ้า”
“เอาเถอะ ยังไงซะตอนนี้พวกเขาก็คงกำลังดูแสงออโรร่าอยู่ที่ลานอวยพรล่ะมั้ง”
โรเอลพูดพลางหัวเราะคิกคัก
โชคดีที่ชาร์ล็อตไม่มีอารมณ์ใด ๆ จะมาสอบสวนเรื่องนี้ การสู้รบกับภาคีแห่งนักบุญเพิ่งสิ้นสุดลง ดังนั้นเธอจึงกังวลเรื่องแต้มการมีส่วนร่วมของตัวเอง ที่จะตัดสินสิทธิ์ในการครอบครองโรเอลเสียมากกว่า
ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมผู้คนมักจะพูดว่าการแข่งขันที่มากเกินไปย่อมส่งผลเสียต่อธุรกิจ เมื่อมีผู้เข้าแข่งขันหลายคนพร้อมแย่งชิงรางวัลหนึ่งเดียว สาว ๆ จึงไม่ลังเลใจเลยที่จะใช้วิธีการต่าง ๆ ที่ไร้ความรอบคอบ เพื่อที่จะได้รับชัยชนะเหนือกว่าคนอื่น ๆ
ด้วยความกังวลใจและอยากที่จะกลับไปยังที่เกิดเหตุให้ได้โดยเร็วที่สุด ชาร์ล็อตจึงอุ้มโรเอลไว้ในอ้อมแขนตัวเอง และรีบออกจากห้องไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก ขณะเดียวกันนั้น โรเอลก็ครุ่นคิดถึงการเผชิญหน้ากับเหล่าทายาทของสมาชิกสมัชชาก่อนหน้านี้
โรเอลไม่คาดคิดเลยว่าตนจะได้พบกับวิลเลียมและเทเรซาที่นี่ แต่การพบพานครั้งนี้ก็ช่วยให้เขาได้รับรู้ข้อมูลสำคัญที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ภาคีผู้นำพาแสงอรุณ… องค์กรที่พยายามจะรื้อฟื้นสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำกลับมา แม้ว่าพวกเขาจะมีวิธีที่แตกต่างกันออกไปบ้าง แต่ถ้าเป้าหมายของภาคีผู้นำพาแสงอรุณ เหมือนกับสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำแล้วละก็… โรเอลก็พร้อมจะสนับสนุน
มีภัยคุกคามมากมายซ่อนอยู่ในโลกนี้ การก่อตั้งกลุ่มเฉพาะทางเพื่อจัดการกับภัยที่ว่าจึงเป็นสิ่งจำเป็น แม้ว่าสิ่งต่าง ๆ อาจยังค่อนข้างสงบในขณะนี้ แต่ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ มันก็อาจจะสายเกินแก้
มีเพียงสิ่งเดียวที่โรเอลกังวล… ฐานะทางการเมืองของภาคีผู้นำพาแสงอรุณ
วิลเลียม แคมบอนไนต์ เป็นบุตรบุญธรรมของราชวงศ์แคมบอนไนต์แห่งอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์ และดูเหมือนว่าเขาจะมีอิทธิพลเป็นอย่างมากภายในภาคีผู้นำพาแสงอรุณ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าภาคีผู้นำพาแสงอรุณ ส่วนใหญ่อยู่ในอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์ และอาจอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของราชวงศ์แคมบอนไนต์
นั่นเป็นสิ่งที่น่ากังวล
ทำไมในอดีตสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ ถึงเป็นองค์กรที่ทรงพลังได้งั้นเหรอ?
นั่นก็เพราะพวกเขาองค์กรที่ก้าวข้ามพรมแดนของอาณาจักรต่าง ๆ เป็นองค์กรนานาชาติ ที่สมาชิกทุกคนต่างเคลื่อนไหวเพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติและเผ่าพันธุ์อื่น ๆ เป้าหมายอันสูงส่งนี้ได้รวมพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวและปลูกฝังความจงรักภักดีต่อองค์กร บางครั้งถึงขั้นยอมสละชีวิตเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ
ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและการอุทิศตนในระดับสูงสุดที่ทำให้พวกเขากลายเป็นขุมพลังอันทรงพลัง ทำให้พวกเขาสามารถหยุดวิกฤตการณ์ที่มีอำนาจเหนือกว่าอารยธรรมมนุษย์ได้
แล้วถ้าองค์กรระดับนั้นถูกผูกมัดไว้กับอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากผู้นำขององค์กรนี้เป็นของราชวงศ์? องค์กรนี้จะยังคงเป็นผู้ปกป้องมนุษยชาติไหม? หรือจะถูกลดทอนลงเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับอาณาจักรที่ว่า?
โรเอลไม่รู้ว่าราชวงศ์แคมบอนไนต์พร้อมจะอุทิศตน เสียสละเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริงหรือไม่ แต่ความคิดเห็นของเขาก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไร ตราบใดที่ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเป้าหมายขององค์กร สมาชิกขององค์กรก็ไม่มีทางที่จะสามารถอุทิศตนได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีความขัดแย้งในผลประโยชน์ของอาณาจักรเข้ามาในระหว่างการปฏิบัติภารกิจ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้การตั้งตัวเป็นกลางนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ โรเอลยังคิดว่ามันแปลกที่วิลเลียมกับเทเรซาไม่คิดจะติดต่อกับคนภายนอก
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว อาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์เรียกได้ว่าเป็นอาณาจักรที่ค่อนข้างสันโดษและเอกเทศ ในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่ามีนักเรียนที่มาจากเพนดอร์น้อยมาก จนเป็นเรื่องยากที่เขาจะได้รับข้อมูลเบื้องลึกเกี่ยวกับที่นั่น
ตามจริงแล้วโรเอลเองก็ไม่ได้สนใจพวกเขามากนัก ด้วยความรู้ ๆ เดิมที่เขามีในอดีตชาติ
ในเกมอายออฟโครนิเคิล คนที่ฆ่าโรเอลคือตัวเอกและเหล่านางเอกเป้าหมายในการจีบทั้งสี่ ดังนั้นความสนใจของเขาจึงจดจ่ออยู่เพียงแค่ในกลุ่มนั้น ทำให้เขาไม่ได้สนใจเรื่องอื่น ๆ ไปโดยปริยาย
ตามเนื้อเรื่องในเกม วิลเลียมได้เข้ามาศึกษาต่อที่สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ในช่วงที่พอลและคนอื่น ๆ กำลังก้าวขึ้นสู่ชั้นปีที่สอง หากลองคิดถึงเรื่องนี้แล้ว บางทีวิลเลียมในเกมอาจจะมาเพื่อจับตาดูโรเอล แอสคาร์ด เพื่อตรวจสอบว่าเขาจะปลุกพลังทางสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ดขึ้นมาได้หรือไม่ก็ได้
แน่นอนว่าโรเอลในเกมนั้นไม่สามารถปลุกพลังทางสายเลือดขึ้นมาได้ อีกทั้งยังกลายเป็นสมาชิกของลัทธิชั่วร้าย และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้วิลเลียมไม่เข้าไปแทรกแซงในตอนที่ตัวเอกและเหล่านางเอกจัดการกับเขา
เมื่อเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการเคลื่อนไหวของวิลเลียมแล้ว โรเอลก็พยักหน้าด้วยความตระหนัก อย่างไรก็ตามในไม่ช้าเขาก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายพูดเอาไว้ว่า พวกเขาจะได้พบกันอีกในไม่ช้า ก่อนที่จะจากไป
เดี๋ยวก่อน หรือว่า…
…
ขณะที่โรเอลกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับพวกวิลเลียม อัศวินในชุดเกราะและเด็กสาวผมสีชมพูก็กำลังวิเคราะห์ถึงการเผชิญหน้าของพวกเขาเช่นกัน ภายในห้องที่ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองของเมืองหลวงออโรร่า โอลส์
“ฉันยอมรับว่าก่อนหน้านี้ตัวลนลานเกินไป จากปฏิสัมพันธ์ของพวกเรา ดูเหมือนว่าเขายังระแวงองค์กรของพวกเราอยู่พอสมควร”
‘ฉันเองก็คิดเหมือนกัน ฉันคิดว่าเราควรรอสักพักหนึ่งก่อน’
“พูดตามตรง ฉันคิดว่ามันมีโอกาสที่เขาจะยอมรับข้อเสนอของเราในทันที อย่างไรก็ตามเขาให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากที่ฉันจินตนาการไว้มาก”
‘หมายความว่ายังไงงั้นเหรอ?’
“…ฉันอธิบายไม่ถูกเท่าไหร่ แต่ฉันรู้สึกว่าอุดมการณ์ของพวกเราไม่ตรงกัน แต่บางทีฉันอาจจะคิดมากไปเองก็ได้”
วิลเลียมมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอ่านสีหน้าของเขาผ่านหมวกหนา ๆ ที่สวมอยู่ มันบดบังแม้กระทั่งดวงตา เหลือเพียงเสียงที่ทรยศต่อความกังวลให้เล็ดลอดออกมา
การเผชิญหน้ากับโรเอล แอสคาร์ดในครั้งนี้ไม่ได้อยู่ในแผนการของทั้งสองคน แต่มันก็ส่งผลดีอยู่บ้าง ประการแรก การที่พวกเขาพบกันโดยบังเอิญเช่นนี้ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้อย่างตรงไปตรงมา
โรเอลแปลกใจชัดเจน ตอนที่เทเรซาแจ้งว่าพวกเขาไม่ต้องการเข้าไปข้องเกี่ยวกับส่วนอื่น ๆ ของโลก จึงสรุปได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาที่จะตัดสายสัมพันธ์เข้ามาสู่เงามืด ซึ่งขัดแย้งกับวิธีการดำเนินการของภาคีผู้นำพาแสงอรุณ
การคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะเป็นไปตามที่จินตนาการ รังแต่จะทำให้ผิดหวังถ้ามันไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ มันจึงไม่ใช่สิ่งที่ควรจะคิดตั้งแต่แรกแล้ว
“ฉันรู้ แต่พูดกันตามตรงนะเทเรซา เธอไม่ได้คาดหวังอะไรในตัวเขาเลยเหรอ? ตระกูลแอสคาร์ดสืบย้อนไปถึงผู้ก่อตั้งสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำเลยนะ! การที่ตระกูลนั้นจะให้กำเนิดผู้ที่ปลุกพลังสายเลือดขึ้นมาเองก็เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งในรอบหลายศตวรรษ ในฐานะลูกหลานของตระกูลที่พังทลายไป เธอจะไม่คาดหวังอะไรเลยงั้นเหรอ?”
“…”
เทเรซาที่กำลังเขียนบางอย่างลงในสมุดโน้ต ค่อย ๆ หยุดมือลง เธอก้มหน้าลง ไม่ยอมตอบคำถามของวิลเลียม แต่ความเงียบก็แสดงให้เห็นว่าเธอเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน เธอเองก็คาดหวังอย่างมากกับลูกหลานของตระกูลนั้น
มันเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติ ที่จะต้องคาดหวังเมื่อเผชิญหน้ากับทายาทของตระกูลผู้กล้า ซึ่งมักถูกกล่าวถึงในเรื่องราวที่บรรพบุรุษของเธอเล่า นั่นคือเหตุผลที่เธอสูญเสียความสุขุมไปเมื่อได้พบกับโรเอล
‘ถ้าเขาไม่ใช่คนแบบที่จินตนาการเอาไว้ล่ะ?’
เทเรซาเงียบไปนานก่อนที่จะเขียนคำถามนี้ลงในสมุดจด วิลเลียมครุ่นคิดกับคำถามนี้และใช้เวลาครู่ใหญ่ ๆ ก่อนจะตอบออกมาเรียบ ๆ
“พวกเรายังตอบคำถามนั้นไม่ได้หรอก มันยังเร็วเกินไป พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นคนแบบไหน”
‘แล้วพวกเราจะทำความรู้จักเขาให้มากขึ้นกว่านี้ได้ยังไงกันล่ะ? เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์เหมือนพวกเรานะ’
“ไม่ใช่เรื่องยากหรอก ถ้าเขาไม่มาหา พวกเราก็ไปหาเขาก็พอแล้วนี่”
วิลเลี่ยมมองไปยังเด็กสาวตรงหน้า และพูดในสิ่งที่ได้ตัดสินใจออกมา
“พวกเราจะทำเรื่องเข้าเรียนทันทีที่กลับไปถึงเพนเดอร์”