ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END 恶役少爷不想要破灭结局 - บทที่ 384 อับปาง
บทที่ 384: อับปาง
แอนโตนิโอรู้สึกสับสนอย่างสุดจะพรรณนา
ด้วยประสบการณ์ชีวิตอันยาวนาน และการเตรียมการมากมายที่เตรียมไว้ล่วงหน้า ชายชรามั่นใจเหลือเกินว่าตนจะเป็นผู้ควบคุมการสนทนาระหว่างโรเอล แอสคาร์ด เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าโรเอลจะมีไพ่ตายที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่ในมือ
ความมั่นใจของแอนโตนิโอส่งผลให้เขาเสมือนถูกแทงเข้าที่ลำไส้ และตกอยู่ในอาการมึนงง
หลังจากเงียบไปสองนาที โรเอลก็เริ่มพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับ ‘ตอนอายุสิบสี่ เคยส่งดอกไม้ให้อาจารย์ผิดคนในวันไหว้ครู’ ‘อยากดูดอกไม้ไฟกับเธอในวันปีใหม่ แต่หาเธอไม่เจอ’ และอื่น ๆ อีกมากมาย การโจมตีต่อเนื่องเหล่านี้ทำให้แอนโตนิโอกุมขมับ พลางโบกมือขอเวลานอก
ชายชราใช้เวลาสองนาทีในการเยียวยาจิตใจตัวเอง
หลังจากที่แอนโตนิโอฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ เขาก็ถอนหายใจพร้อมก่นด่าโรเอลในใจ
เด็กสมัยนี้ไม่มีความเกรงใจเลยรึไง? เจ้าจะใช้ประวัติศาสตร์อันดำมืดมาทำร้ายผู้เฒ่าวัยสี่ร้อยปีเนี่ยนะ ถ้าข้าหัวใจวายขึ้นมาจะทำยังไง?!
ระหว่างที่แอนโตนิโอกำลังพยายามฟื้นตัวจากการจู่โจม ที่กระทบกระเทือนจิตใจจากประวัติศาสตร์อันดำมืด ริมฝีปากของโรเอลก็คลี่ยิ้มอย่างมีชัย นี่เป็นความคิดที่ดีจริง ๆ ที่เขาขอให้แอนโตนิโอในวัยหนุ่มเปิดเผยประวัติศาสตร์อันดำมืดของตัวเอง ดูสิ นี่ทำให้เขาได้เปรียบขึ้นมาทันตาจริง ๆ!
หลังจากตกใจและสับสนอย่างหนักหน่วง แอนโตนิโอก็เริ่มสงสัยว่าโรเอลรู้เรื่องประวัติศาสตร์อันดำมืดระหว่างตนกับแอสตริด สมัยที่ยังเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของตนได้อย่างไร ความทรงจำพวกนั้นผ่านไปนานมากแล้ว จนเขาเกือบลืมพวกมันไปแล้วด้วยซ้ำ หลังจากพิจารณาความเป็นไปได้ทั้งหมด ในที่สุดเขาก็มาถึงคำตอบเดียวที่เป็นไปได้ นั่นก็คือพลังทางสายเลือดในตำนานของตระกูลอาร์เด้
“เจ้าบอกได้ไหมว่า เจ้าได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากที่ไหน?”
“สี่ร้อยปีที่แล้ว จากสมาชิกคนหนึ่งของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ ที่ใช้นามแฝงว่า ‘ผู้พิทักษ์’ ครับ”
“แบบนั้นเองสินะ…”
แอนโตนิโอเผยรอยยิ้มขมขื่นเมื่อได้ยินคำตอบ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจในที นี่หมายความว่าโรเอลเคยประสบกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เดียวกันกับเขา เมื่อสี่ร้อยปีก่อน ซึ่งทำลายกำแพงการสื่อสารระหว่างพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งที่แอนโตนิโอเล็งเห็นไว้ล่วงหน้าในการได้รับความช่วยเหลือจากโรเอลก็คืออีกฝ่ายนั้นยังไม่รู้ถึงการมีตัวตนของแอสตริด เพราะแอสตริดเกิดในยุคที่สอง แต่ประวัติศาสตร์ของตระกูลแอสคาร์ดสืบย้อนไปถึงเพียงแค่ช่วงปีแรก ๆ ของยุคที่สาม แม้แต่ชื่อสกุลของพวกเขาก็ยังต่างกันเลย!
แอนโตนิโออาจจะพยายามอธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้โรเอลฟังได้ แต่โรเอลก็อาจจะไม่เชื่อเช่นกัน แอสตริดระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ทิ้งร่องรอยการดำรงอยู่ของเธอไว้เบื้องหลัง ดังนั้นมันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาหลักฐานอันเป็นรูปธรรมเพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ของเธอกับตระกูลแอสคาร์ด
การปลุกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 1 เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะหากผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 1 กลายเป็นคนชั่วแล้วละก็ มันก็อาจทำให้เกิดภัยพิบัติได้
หากพิจารณาจากตัวแปรดังกล่าว มันก็อาจจะทำให้โรเอลมีโอกาสปฏิเสธคำร้องขอความช่วยเหลือจากแอนโตนิโอ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแอนโตนิโอถึงโล่งใจมาก เมื่อได้รู้ว่าโรเอลผ่านช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์เดียวกันกับเขามาแล้ว
“อาจารย์ใหญ่แอนโตนิโอ ผมเคยได้รับความช่วยเหลือจากคุณแอสตริดในเมืองนี้เมื่อสี่ร้อยปีก่อน และผมก็รู้ว่าคุณโกรธแค้นตระกูลของเราที่ลืมคุณแอสตริด แต่ได้โปรดเชื่อผมเถอะ ว่าพวกเรามีเป้าหมายเดียวกัน”
“…”
ภายใต้แสงไฟสลัว แอนโตนิโอจ้องมองใบหน้าอันจริงจังของโรเอลอย่างลึกซึ้ง ครู่ต่อมาสีหน้าของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าได้ยืนยันความจริงใจของอีกฝ่ายแล้วเรียบร้อย
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว โรเอลก็กล่าวต่อ
“ผมมาที่นี่เพื่อถามคุณ ‘ผู้พิทักษ์’ แอนโตนิโอ ว่าบรรพบุรุษของผม แอสตริด อาร์เด้ อยู่ในสถานการณ์แบบไหน? ปัญหาที่เธอเผชิญอยู่เกี่ยวข้องกับสมาชิกสมัชชาที่เหลืออยู่ภายในอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์รึเปล่า?”
“… นั่นเป็นคำถามที่ตอบได้ยาก”
แอนโตนิโอถอนหายใจด้วยความเศร้าก่อนจะค่อย ๆ เปิดเผยความจริง
“เริ่มกันที่คำถามแรกก่อนก็แล้วกัน ท่านแอสตริดยังไม่ตาย แต่ข้าก็ไม่สามารถพูดได้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่”
“นั่นมันหมายความว่ายังไงกันครับ?”
“เธอหลอมรวมตัวเองให้เป็นหนึ่งเดียวกับห้วงความฝันแห่งความวุ่นวาย”
“!”
ดวงตาของโรเอลเบิกกว้างอย่างตกใจ แอนโตนิโอรู้สึกท่วมท้นด้วยอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง แต่เขารีบส่ายหัวเพื่อสลัดความงุนงง และเริ่มเปิดเผยประวัติศาสตร์ที่แท้จริง ซึ่งเกิดขึ้นโดยปราศจากการแทรกแซงของโรเอลและลิเลียน
เมื่อสี่ร้อยปีที่แล้ว ภาคีแห่งนักบุญสาขาเลนสเตอร์ ตกอยู่ในอาการขวัญเสียหลังจากพ่ายแพ้ให้กับ ภราดรภาพแห่งการกอบกู้หลายครั้งติดต่อกัน เมื่อไม่มีโรเอลก้าวขึ้นมาปลุกขวัญกำลังใจ ไม่นานนักพวกเขาก็ถูกกำจัดจนหมดสิ้น
ด้วยเหตุนี้ภราดรภาพแห่งการกอบกู้จึงทุ่มเทกำลังทั้งหมดล้อมกรอบสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า มันเป็นการต่อสู้ที่น่าสยดสยองอย่างแท้จริง และกองทัพทหารของสถาบันก็ต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนักหน่วง
เพื่อกอบกู้สถานการณ์ แอนโตนิโอได้ลักลอบออกไปลอบสังหารผู้บัญชาการของกองทัพศัตรูอย่างซาร์โทนี่ แม้ว่าแผนจะสำเร็จ แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมา ดังนั้นแอสตริดจึงส่งเขาไปที่แนวหลังเพื่อพักผ่อน
ทว่าในจังหวะที่พวกเขาคิดว่าสามารถพลิกสถานการณ์ได้แล้ว จู่ ๆ ราชาจอมเวทพริสเลย์ เม็กเวลก็ปรากฏตัวขึ้น และการต่อสู้หลังจากนั้นก็ได้กลายมาเป็นฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนแอนโตนิโอไปเกินกว่าศตวรรษ
ซากปรักหักพังของอาคารที่ถล่มลงมา และร่างของสหายที่เสียชีวิต คาถาเวทของพริสเลย์คือการทำลายล้างที่สังหารพลเรือนนับไม่ถ้วน
ในวินาทีสุดท้ายของการต่อสู้ แอสตริดจึงได้ผสานร่างของเธอเข้ากับห้วงความฝันแห่งความวุ่นวาย
“การโจมตีครั้งสุดท้ายของพริสเลย์ ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ท่านแอสตริด แต่เป็นห้วงความฝันแห่งความวุ่นวายที่ถูกดึงเข้ามาสู่โลกแห่งความเป็นจริงตลอดการต่อสู้ แม้จะสิ้นลมหายใจ เขาก็ยังฝันที่จะทำลายห้วงความฝันแห่งความวุ่นวาย และได้พรจากผู้กอบกู้ เพื่อให้อีกฝ่ายชุบชีวิตตัวเอง ช่างเป็นคนที่น่าขันเสียจริง!”
“อย่างไรก็ตาม แม้แต่การโจมตีของคนขี้ขลาดอย่างเขาก็มากเกินไปที่จะทลายห้วงความฝันแห่งความวุ่นวายอันเปราะบาง เพื่อรักษาเสถียรภาพสมบัติที่คอยปกป้องอนาคตของมวลมนุษยชาติ ท่านแอสตริดที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงเลือกที่จะหลอมรวมตัวเองเข้ากับห้วงความฝันแห่งความวุ่นวาย แม้เธอจะสามารถเอาชีวิตรอดจากความบ้าคลั่งของห้วงความฝันแห่งความวุ่นวายผ่านพลังทางสายเลือดของผู้ท่องความฝัน แต่มันก็ส่งผลให้เธออยู่ในสภาพหลับใหลไปชั่วนิรันดร์”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เสียงของแอนโตนิโอก็แหบแห้งลง ถึงกระนั้นเขาก็ยังยืนกรานที่จะเล่าต่อ
การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้เลนสเตอร์กลายเป็นเมืองร้าง แม้สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าจะซ่อมแซมตัวเองโดยอัตโนมัติในยามเช้าได้ด้วยเกราะพลังเวทมิติห้วงความฝันของแอสตริด แต่ผู้รอดชีวิตก็มีจำนวนน้อยนิด ไม่ถึงร้อยคน
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อมวลมนุษยชาติ
ข่าวที่ราชาจอมเวท พริสเลย์ เม็กเวล ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 1 และหนึ่งในผู้นำของมวลมนุษยชาติได้ตกลงสู่ความเสื่อมทราม จนลงมือสังหารผู้คนหลายแสนคนภายในเมืองเลนสเตอร์ ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นต่อสังคมของมวลมนุษยชาติ
มันเป็นเหตุการณ์ใหญ่ ที่ทำให้เหล่าผู้นำระดับสูงของมนุษยชาติตกตะลึง ทำให้พวกเขาต้องลงมือออกมาตรการพิเศษ
กองกำลังพันธมิตรของมนุษยชาติได้หยุดการสู้รบกับพวกกลายพันธุ์ชั่วคราว และจัดตั้งทีมสืบสวนกำจัดพวกคลั่งไคล้ลัทธิชั่วร้ายออกจากกองทัพ และเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก โศกนาฏกรรมในเลนสเตอร์และชื่อ ‘ราชาจอมเวท พริสเลย์ แม็กเวล’ จึงถูกลบออกไปจากประวัติศาสตร์
หลายศตวรรษผ่านไป มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะจำโศกนาฏกรรมดังกล่าวได้
“อะไรที่ทำให้คุณแอสตริดไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้งั้นเหรอครับ?”
หลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมของเมืองเลนสเตอร์เมื่อสี่ร้อยปีที่แล้ว โรเอลก็หันความสนใจไปที่ปัญหาของบรรพบุรุษ ซึ่งแอนโตนิโอก็มีคำตอบสำหรับเรื่องนั้น
แผนการของแอสตริดไม่มีอยู่ในมาตรการรับมือที่เก็บไว้ในมาร์กาเร็ต ซึ่งทำให้อีกฝ่ายไม่รู้ว่าตนเองควรจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไรดี นอกจากนี้สมาชิกของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ ก็ยังมีมติต่อต้านไม่ให้ปลุกแอสตริดขึ้นมา
การเสียสละของ ‘นักวิชาการ’ แอสตริด อาร์เด้ นั้นเป็นการกระทำที่สูงส่ง แต่สมัชชาจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญให้ผลประโยชน์ของมนุษยชาติเหนือสิ่งอื่นใด การช่วยเหลือแอสตริดอาจจะทำให้ห้วงความฝันแห่งความวุ่นวายหยุดทำงานลง ซึ่งเป็นสิ่งที่สมัชชายังไม่พร้อมจะเสี่ยง
น่าเสียดายที่แอนโตนิโอในตอนนั้นยังไม่มีความแข็งแกร่งหรือมีไหวพริบมากพอที่จะหาวิธีช่วยแอสตริดได้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แอนโตนิโอปฏิเสธที่จะยอมแพ้ แม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมายขวางทาง เขาก็ยังอุทิศชีวิตในอีกศตวรรษข้างหน้าเพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับห้วงความฝันแห่งความวุ่นวาย เมื่อเขาเรียนรู้มากเกี่ยวกับมันมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็สามารถกำหนดวิธีแก้ปัญหาที่สมเหตุสมผลออกมาได้
“มีสองเงื่อนไขที่จำเป็นในการช่วยท่านแอสตริดออกจากห้วงความฝันแห่งความวุ่นวาย หนึ่งคือแหวนกุหลาบดำที่บรรจุมิติห้วงความฝันของท่านแอสตริดเอาไว้ สองก็คือผู้สืบสายเลือดเดียวกันกับท่านแอสตริด เนื่องจากท่านแอสตริดเป็นพวกเลือดผสม ข้อนี้จึงต้องแบ่งออกเป็นสองส่วน… มนุษย์และผู้ท่องความฝัน”
“แค่เลือดจากสมาชิกของตระกูลแอสคาร์ดนั้นยังไม่เพียงพอ แม้ว่าตระกูลแอสคาร์ดจะสืบเชื้อสายมาจากตระกูลอาร์เด้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปกว่าพันปี ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างมากในสายเลือด ด้วยเหตุผลนั้น มันจึงต้องเป็นเลือดของผู้ที่ปลุกพลังสายเลือดสำเร็จเท่านั้นถึงจะใช้ได้ผล นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”
แอนโตนิโออธิบาย
“เข้าใจแล้วครับ แต่คุณบอกว่าพวกเราต้องการเลือดของผู้ท่องความฝันด้วย อย่างนั้นคุณมีเบาะแสเกี่ยวกับพวกเขารึเปล่าครับ?”
โรเอลถาม
“มีสิ อาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์”
เมื่อได้ยืนยันความสงสัยของตนแล้ว โรเอลก็หรี่ตาลงอย่างคนมีจุดมุ่งหมายในใจ