ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 1001 ใครกลืนกินใครกันแน่ (3) / ตอนที่ 1002 ใครกลืนกินใครกันแน่ (4)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 1001 ใครกลืนกินใครกันแน่ (3) / ตอนที่ 1002 ใครกลืนกินใครกันแน่ (4)
ตอนที่ 1001 ใครกลืนกินใครกันแน่ (3)
สิ่งที่ทุกคนพบว่ายากที่จะเชื่อก็คือสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติตัวนั้นคือร่างแปลงของเจ้าตัวเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้!
ในที่สุดทุกคนก็เข้าใจ สัตว์วิญญาณที่ดูอ่อนแอเปราะบางที่ไม่น่าจะต้านทานการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว ความจริงแล้วไม่ใช่สัตว์วิญญาณระดับต่ำอย่างที่พวกเขาคิด แต่เป็นสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติที่ซ่อนพลังและระดับที่แท้จริงของมันเอาไว้!
ใครจะไปคิดว่าสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติที่เคยได้ยินแค่ในตำนานจะปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนในรูปร่างแบบนั้น
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าทำไมสัตว์วิญญาณระดับต่ำทุกตัวที่ได้ยินเสียงร้องของใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะแค่ครั้งเดียวถึงได้หวาดกลัวจนตัวสั่นในทันที ต่อหน้าพลังที่ยิ่งใหญ่ของสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติ สัตว์วิญญาณระดับต่ำพวกนั้นจะไปทำอะไรได้ ต่อให้เป็นวานรทมิฬหกแขนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่สามารถทำอะไรได้เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น!
สัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติที่ยืนอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร สามารถจัดการสัตว์วิญญาณที่ระดับต่ำกว่าระดับภัยพิบัติได้ภายในชั่วพริบตา!
และนั่นก็รวมถึงมังกรมายาที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับภัยพิบัติ!
หลินเฟิงยังคงนิ่งอึ้งขณะที่มองใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะเดินลงจากซากเวที กีบเท้าของมันเหยียบย่างลงบนก้อนหิน สายตาของเขายังคงแสดงความเหลือเชื่อถึงขีดสุด เขาจะไปคิดได้อย่างไรว่าสัตว์วิญญาณของจวินอู๋เสียแท้จริงแล้วคือสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติ
ทั่วทั้งเมืองพันอสูรไม่มีใครสามารถฝึกสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติได้โดยไม่มีตัวช่วยใดๆ เลย และต่อให้มีกำไลสะกดอสูรก็ไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ ทั่วทั้งเมืองพันอสูร สิ่งที่สามารถทำให้สัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติยอมจำนนได้มีอย่างเดียวก็คือขลุ่ยกระดูกควบคุมวิญญาณ!
ในฐานะสัตว์วิญญาณที่ทรงอำนาจเหนือสัตว์วิญญาณตัวอื่นๆ พลังและสติปัญญาของสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติจึงทำให้พวกมันไม่ยอมจำนนต่อใครทั้งนั้น นานแสนนานมาแล้วในการต่อสู้ที่สับสนวุ่นวายครั้งหนึ่ง เจ้าเมืองของเมืองพันอสูรได้เคยสั่งการสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติตัวหนึ่งแต่นั่นต้องใช้ขลุ่ยกระดูกควบคุมวิญญาณช่วย และการใช้ขลุ่ยกระดูกควบคุมวิญญาณเพื่อบิดเบือนสติสัมปชัญญะของสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติเป็นการกระทำที่เป็นอันตรายต่อตัวมันเป็นอย่างมาก หากเกิดความผิดพลาดหรือประมาทเลินเล่อแม้เพียงเล็กน้อยก็จะทำให้สัตว์วิญญาณตัวนั้นหันกลับไปเล่นงานผู้ใช้เสียเอง!
หลินเฟิงไม่เคยได้ยินเลยว่ามีใครสามารถทำให้สัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติยอมจำนนต่ออีกฝ่ายได้ด้วยความสามารถของตัวเอง…
ครั้งนี้หลินเฟิงโชคร้ายเป็นสองเท่าจริงๆ เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้เห็นจวินอู๋เสียร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสมเพชเท่านั้น แต่เขายังทำให้มังกรมายาที่ล้ำค่าที่สุดของบิดาถูกฆ่าด้วย หลินเฟิงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
เขามองใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะเดินเข้าไปหาจวินอู๋เสียอย่างหวาดกลัว รู้สึกเหมือนว่าทุกๆ ย่างก้าวของมันได้เหยียบลงบนหัวใจของเขา เจาะลึกลงไปที่กลางใจ!
โกง! เจ้ามันขี้โกง! ทันใดนั้นหลินเฟิงก็ลุกขึ้นชี้นิ้วไปที่จวินอู๋เสียพร้อมกับตะโกนเสียงดัง ลานประลองสัตว์วิญญาณอนุญาตให้สัตว์วิญญาณระดับต่ำเข้ามาประลองเท่านั้น! เจ้าคนขี้โกง! เจ้าเอาสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติมาทำท่าเป็นสัตว์วิญญาณระดับต่ำเพื่อเข้าประลองที่นี่! นั่นเป็นการฝ่าฝืนกฎของลานประลองสัตว์วิญญาณชัดๆ! เจ้าต้องทำตามกฎ! เจ้าต้องส่งมอบสัตว์วิญญาณของเจ้ามา!
ใบหน้าของหลินเฟิงขาวซีดขณะตะโกนออกมาเสียงดังด้วยท่าทางที่แสร้งทำเป็นกล้าหาญ
เสียงตะโกนอย่างสิ้นหวังของหลินเฟิงทำให้ผู้ชมที่เงียบอยู่ทั้งลานประลองรู้สึกแปลกๆ
จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองหลินเฟิงที่ตื่นเต้นจนทำผ้าคลุมหล่นเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขาต่อหน้าทุกคน
อย่างไรมันก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว
ทหาร! เขาฝ่าฝืนกฎ! นั่นมันขี้โกงชัดๆ! ยึดสัตว์วิญญาณจากเขาเลย! หลินเฟิงกระโดดอย่างบ้าคลั่ง การสูญเสียมังกรมายาไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถแบกรับได้ และเมื่อบิดาของเขารู้เรื่องนี้เข้า ต่อให้ละเว้นชีวิตเขาแต่เขาก็ต้องถูกถลกหนังทั้งเป็นแน่!
ยิ่งกว่านั้นมังกรมายาก็เป็นสิ่งที่ตั้งใจมอบให้แก่ท่านผู้นั้น ถ้าท่านผู้นั้นรู้ว่าเขาทำให้มังกรมายาถูกฆ่าตายเพราะความโกรธแค่ชั่ววูบละก็…
หลินเฟิงไม่กล้าคิดต่อเลย!
ตอนที่ 1002 ใครกลืนกินใครกันแน่ (4)
มังกรมายาตายไปแล้ว หลินเฟิงจึงรู้สึกตื่นตระหนกมากพยายามคิดหาทางออกให้ตัวเองในสถานการณ์นั้น ด้วยความร้อนใจเขาจึงตัดสินใจจะยึดเอาสัตว์วิญญาณของจวินอู๋เสียไปจากนาง!
แม้ว่ามังกรมายาจะมีค่ามาก แต่สัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติก็น่าจะพอชดเชยได้!
หลินเฟิงร้องโวยวายไม่หยุด แต่ไม่มีใครในลานประลองสัตว์วิญญาณกล้าเห็นด้วยกับหลินเฟิง ถึงแม้พวกเขาจะจำได้ว่าหลินเฟิงเป็นใคร แต่พวกเขาก็ยังไม่เสียสติที่จะตระหนักถึงความจริงได้ว่าจวินอู๋เสียยังมีสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติที่โตเต็มวัยอยู่ในมือ!
ตอนที่สัตว์วิญญาณตัวนั้นกลับคืนสู่ร่างเดิมเมื่อครู่ มันก็ได้เหยียบคนตายไปกลุ่มหนึ่งแล้ว พวกเขายังไม่พร้อมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นกับตัวเอง
จวินอู๋เสียมองหลินเฟิงร้องโวยวายเสียงดังอย่างเย็นชา แม้ว่าหลินเฟิงจะตะโกนจนเสียงแหบแห้ง แต่ก็ไม่มีใครสักคนในลานประลองสัตว์วิญญาณกล้าตอบเสียงร้องอย่างน่าสมเพชของเขา
โวยวายเสร็จหรือยัง จวินอู๋เสียถามอย่างเมินเฉย
ใบหน้าซีดขาวของหลินเฟิงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขณะที่มองไปยังจวินอู๋เสียพร้อมกับหอบอย่างแรง ดูเหมือนเขาอยากจะให้สายตาของเขาแทงทะลุร่างของเด็กหนุ่มคนนั้นได้จริงๆ
ไม่คิดว่าคุณชายของตึกน้ำค้างเหมันต์จะทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ ต้องให้คนนอกอย่างข้าบอกกฎของลานประลองสัตว์วิญญาณให้ฟังหรือไม่เล่า จวินอู๋เสียพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลินเฟิงตกใจ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ตัว ทุกคนที่เขามองพากันก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครกล้ามองสบตาเขาเลย
กฎของลานประลองสัตว์วิญญาณกำหนดขึ้นเพื่อใช้กับเจ้านายที่เป็นมนุษย์มากกว่าสัตว์วิญญาณ ตราบใดที่ผู้เข้าแข่งขันไม่มีกำไลสะกดอสูรอยู่ในครอบครอง ไม่ว่าสัตว์วิญญาณจะอยู่ในระดับใด คนของลานประลองสัตว์วิญญาณจะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนั้น ต่อให้สัตว์วิญญาณของจวินอู๋เสียเป็นสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติที่โตเต็มวัยนาง ก็ไม่ได้ทำผิดกฎของลานประลองสัตว์วิญญาณข้อใดเลย
ถ้าเจ้าพูดว่าข้าทำผิดกฎ เช่นนั้นการที่เจ้าแอบนำมังกรมายามาที่นี่จะบอกว่าคืออะไรเล่า เจ้าอยากให้ข้าเตือนหรือไม่ว่ามังกรมายาเป็นสัตว์วิญญาณระดับไหน จวินอู๋เสียเย้ยหยันพร้อมมองหลินเฟิงอย่างดูถูก นางไม่สนใจจะทะเลาะกับเด็กที่ถูกตามใจจนเสียคนหรอก แต่ในเมื่อเขาเสนอหน้าเข้ามาให้นางตบเอง แล้วนางจะปฏิเสธ ‘ข้อเสนอที่ใจกว้าง’ ของเขาอย่างหยาบคายได้อย่างไร
หลินเฟิงพูดไม่ออก เขาเซถอยหลังไปสองสามก้าว ไม่คิดว่าจวินอู๋เสียจะรู้เรื่องของมังกรมายาด้วย
แทนที่จะมัวมาเถียงกับข้าอยู่ที่นี่ คุณชายแห่งตึกน้ำค้างเหมันต์ควรจะเอาเวลาไปคิดว่าจะตอบบิดาของท่านอย่างไรดีมากกว่า จวินอู๋เสียก้มลงอุ้มใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะขึ้นมา การที่ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะกินมังกรมายาเข้าไปนั้นเหนือความคาดหมายของนาง แต่อย่างไรก็เถอะเรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว ต่อให้ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะขย้อนมันออกมา มังกรมายาก็ไม่มีทางฟื้นคืนกลับมามีชีวิตได้หรอก
นอกจากนั้น…
นางก็ไม่คิดที่จะคืนซากของมังกรมายากลับไปให้หลินเฟิงด้วย
เจ้า…เจ้าแพ้แล้ว…อย่างไรเจ้าก็แพ้อยู่ดี! หลินเฟิงไม่สามารถหาข้อโต้แย้งที่มีเหตุผลอื่นได้ แต่ก็ไม่อยากปล่อยจวินอู๋เสียไปแบบนั้น ไม่เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาไม่เหลืออะไรแล้วน่ะสิ และนั่นก็เท่ากับว่าเขาเสียทุกอย่างที่ได้วางเดิมพันเอาไว้ด้วย
จวินอู๋เสียเหลือบตาขึ้นมองหลินเฟิง
สัตว์วิญญาณของเจ้าก้าวเท้าออกนอกเวทีประลอง! เท้าของมันออกนอกเขตแล้ว แปลว่ามันแพ้แล้ว! มังกรมายาเป็นฝ่ายชนะ! หลินเฟิงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
อย่างนั้นหรือ ไม่เป็นไร ข้ามาท้าชิงใหม่พรุ่งนี้ก็ได้ จวินอู๋เสียตอบกลับง่ายๆ
มันก็แค่อีกสองวันเท่านั้นเอง นางรอได้
อย่างไรเสียนางก็ไม่คิดที่จะไปจากเมืองพันอสูรอีกพักใหญ่
ท่าทางนิ่งสงบของจวินอู๋เสียยิ่งทำให้ทุกคนที่นั่นเห็นความตื่นตระหนกของหลินเฟิงได้อย่างชัดเจน
ไม่ว่าหลินเฟิงจะออกอาการเกรี้ยวกราดไร้เหตุผลอย่างไร หรือจะก่อกวนด้วยความสิ้นหวังมากขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่ส่งผลกระทบกับจวินอู๋เสียเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่ต้นจนจบ
ปฏิกิริยาไม่ใส่ใจนั้นเป็นเหมือนการตบหน้าหลินเฟิงแบบอ้อมๆ แม้ว่ามันจะไม่เจ็บแต่ความรู้สึกอัปยศนั้นก็เป็นของจริง!
ใช่แล้ว มีสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติอยู่กับตัวจะต้องกังวลเรื่องเริ่มต้นใหม่ที่ลานประลองสัตว์วิญญาณไปทำไม
สัตว์วิญญาณที่นางมีอยู่ก็เป็นข้อพิสูจน์ที่เพียงพอแล้วว่านางจะไม่พ่ายแพ้อย่างแน่นอน!