ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 1525 สำนักธาราเมฆ (2) / ตอนที่ 1526 สำนักธาราเมฆ (3)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 1525 สำนักธาราเมฆ (2) / ตอนที่ 1526 สำนักธาราเมฆ (3)
ตอนที่ 1525 สำนักธาราเมฆ (2) / ตอนที่ 1526 สำนักธาราเมฆ (3)
ตอนที่ 1525 สำนักธาราเมฆ (2)
ตอนที่ 1525 สำนักธาราเมฆ (2)
พอชายชราตัวเล็กอธิบายให้ฟัง บุรุษคนนั้นก็เข้าใจถึงความละเอียดอ่อนในเรื่องนี้ทันที “แต่จากที่ท่านพูด…เด็กคนนั้นเลือกตำหนักหยกวิญญาณเพราะเขาอยากหลีกเลี่ยงสิบสองตำหนักอย่างนั้นหรือ แต่ถ้าอย่างนั้น ทำไมเขาถึงมาร่วมงานชุมนุมเทพยุทธ์เล่าขอรับ”
บุรุษคนนั้นเข้าใจแค่บางส่วน แต่เขาก็ยังสับสนในบางส่วนอยู่ดี
ทางเลือกของจวินอู๋เสีย จากการวิเคราะห์ของชายชราตัวเล็ก แสดงให้เห็นว่าจวินอู๋เสียไม่ได้อยากเกี่ยวข้องกับสิบสองตำหนัก แต่นางก็ยังมาเข้าร่วมงานชุมนุมเทพยุทธ์ที่จัดโดยสิบสองตำหนัก นั่นมันไม่ขัดแย้งกันหรอกหรือ
ชายชราตัวเล็กทำเสียงต่ำในลำคออย่างไม่พอใจ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ใครจะไปรู้ว่าเจ้าหนูนั่นคิดอะไรอยู่ เขาอาจจะชอบบรรยากาศบนภูเขาที่เงียบสงบและน้ำใสไหลเย็นที่สำนักธาราเมฆของเรา เลยอยากจะมาใช้ชีวิตที่สงบเงียบที่นี่บ้างก็ได้ เจ้าไม่มีทางรู้หรอก”
เสียงของชายชราเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอย่างมาก
บุรุษคนนั้นมองชายชราตัวเล็กที่กำลังยกย่องตัวเองอย่างไร้ยางอาย แล้วเขาก็อ้าปากค้างนิ่งอยู่กับที่ พูดอะไรไม่ออก
“เออ ใช่ ตั้งนานแล้ว ข้ายังไม่รู้ชื่อของเจ้าหนูนั่นเลย เขาชื่ออะไรเล่า” ชายชราตัวเล็กถาม
“จวินอู๋ขอรับ”
“จวินอู๋” ชายชราทวนคำพร้อมกับเลิกคิ้วและลูบเคราสีขาวของตัวเอง
“อย่างไรเสีย เมื่อจวินอู๋ได้เข้าสำนักธาราเมฆ เขาก็จะกลายเป็นคนของสำนักธาราเมฆเรา ให้คนคอยดูแลเขาหน่อยแล้วกัน”
บุรุษคนนั้นพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร แต่เขาก็อดบ่นในใจไม่ได้
นายท่านพูดอยู่ตลอดว่าไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องของสิบสองตำหนักและไม่สนงานของสำนักด้วย แต่เด็กคนนี้ยังไม่ได้เข้าสำนักธาราเมฆด้วยซ้ำ ท่านก็จัดให้ดูแลเป็นพิเศษแล้ว นี่ยังเรียกว่ายุติธรรมอยู่อีกหรือ
แต่คำพูดในใจพวกนั้นจะไม่มีวันออกจากปากเขาแน่
ไม่นานหลังจากงานชุมนุมเทพยุทธ์ปิดม่านลง สำนักธาราเมฆก็เปิดประตูรับผู้โชคดีที่สิบสองตำหนักเลือกไว้
ในงานชุมนุมเทพยุทธ์ครั้งนี้ คนของสิบสองตำหนักได้เลือกผู้สมัครเอาไว้ตั้งแต่เริ่มงานจนจบงาน ทำให้มีศิษย์เข้ามาเกือบพันคน ในจำนวนนั้น ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจมีจำนวนคนมากที่สุด และตำหนักจิงหงมีจำนวนคนน้อยที่สุด ในตอนท้ายของงานชุมนุมเทพยุทธ์ ตำหนักทั้งหลายต่างก็เจอกับสถานการณ์ที่พวกเขาตั้งเป้าหมายไว้ที่ผู้สมัครคนเดียวกัน และผู้สมัครพวกนี้ก็จะเลือกจากอำนาจของตำหนักนั้นๆ
สามโลกชั้นกลางเป็นสถานที่ที่ผู้แข็งแกร่งครองอำนาจ ทำให้พวกผู้เยาว์ที่เข้าร่วมงานชุมนุมเทพยุทธ์มีความโน้มเอียงที่จะเข้าหาผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ ยิ่งตำหนักมีอำนาจมากเท่าไร ก็สามารถดึงดูดผู้มีพรสวรรค์ได้มากเท่านั้น ดังนั้น ถ้าดูจากความยาวของรายชื่อผู้สมัครที่ได้รับจากตำหนักต่างๆ เพื่อเข้าสำนักธาราเมฆแล้วละก็ ก็จะสามารถเห็นความแตกต่างได้เลย
และในบรรดาผู้เยาว์ทั้งหมดที่ถูกส่งมาจากตำหนักต่างๆ นั้น คนที่ดึงดูดความสนใจได้มากที่สุดก็คือเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางคนนั้น
ตอนที่สำนักธาราเมฆเปิดประตู ตำหนักต่างๆ ได้ส่งคนมาหลายคนเพื่อมาส่งกองกำลังสำรองเหล่านี้เข้าสู่สำนักธาราเมฆ และเพื่อพูดเตือนพวกเขาในบางเรื่องก่อนที่จะเข้าสำนัก
มีเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ตามลำพังด้านนอกประตูใหญ่ของสำนักธาราเมฆ ดูแล้วโดดเด่นเป็นอย่างมาก
“นั่นคือคนจากตำหนักหยกวิญญาณหรือ” ผู้เยาว์หลายคนอกกระซิบกระซาบกันไม่ได้เมื่อเห็นร่างเล็กๆ ยืนอยู่เพียงลำพัง
“นอกจากเขาแล้วจะเป็นใครได้อีก”
“อย่างนั้นก็จริงน่ะสิ มีคนเลือกตำหนักหยกวิญญาณจริงๆ หรือ ข้าเกือบลืมไปแล้วว่ามีที่ที่เรียกว่าตำหนักหยกวิญญาณอยู่ด้วย เจ้าหมอนั่นคิดอะไรอยู่นะ เลือกตำหนักหยกวิญญาณนี่ล้อเล่นใช่หรือไม่เนี่ย”
“เจ้ามันไม่รู้อะไร จะบอกให้นะ ข้าได้ยินมาจากคนที่ไปสนามแข่งพรสวรรค์แต่กำเนิดว่าเจ้าหมอนั่นได้รับคำเชิญจากทั้งสิบสองตำหนักเลย แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ตำหนักไหนเลย แต่กลับเอาตราที่ได้จากจ้าวตำหนักหยกวิญญาณออกมา แปลกจริงๆ” กลุ่มผู้เยาว์รวมตัวกันพูดคุยด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ร่างที่ยืนอยู่โดดเดี่ยวของจวินอู๋เสีย
ตอนที่ 1526 สำนักธาราเมฆ (3)
หลังจากงานชุมนุมเทพยุทธ์จบลงทุกครั้ง ก็มักจะมีผู้เยาว์ที่โดดเด่นมากๆ บางคนกลายเป็นประเด็นพูดคุยที่ร้อนแรง แต่ครั้งนี้เรื่องกลับต่างออกไปเล็กน้อย
การถกเถียงที่ดุเดือดที่สุดในครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความสามารถที่เหนือกว่าทุกคนหรือภูติวิญญาณที่โดดเด่น แต่กลับพุ่งเป้าไปที่ผู้เยาว์คนแรกที่ได้รับคำเชิญจากสิบสองตำหนักทั้งหมด แต่กลับไม่เลือกพวกเขาเลย แล้วไปเลือกตำหนักหยกวิญญาณที่ตกต่ำแล้วแทน
การกระทำของจวินอู๋เสียในสายตาของผู้เยาว์พวกนี้เป็นความโง่อย่างถึงที่สุด!
คนต้องปีนขึ้นสูงขณะที่น้ำไหลลงล่าง นี่เป็นกฎที่ผู้เยาว์ทุกคนรู้ดี แต่ก็มีพวกนอกรีตเลือกทำลายอนาคตที่สดใสของตัวเองและเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ที่ไม่ได้เรื่องอย่างนั้น
ไม่รู้ว่ามีผู้เยาว์กี่คนถูกครอบงำด้วยความอิจฉาที่ไม่สามารถรับใช้ตำหนักในอุดมคติของพวกเขาได้ ทุกคนต่างปรารถนาจะเข้าไปแทนที่เขาทั้งนั้น
เสียงถกเถียงกันดังขึ้นรอบๆ แต่สายตาของจวินอู๋เสียยังคงเย็นชาเช่นเดิม นางยืนอยู่คนเดียวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกท่ามกลางสายลมที่หนาวเย็น ราวกับเสียงรอบตัวไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางเลย
ความเงียบและเฉยเมยของนางทำให้พวกที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านพวกนั้นยิ่งปากกล้ามากขึ้น คำพูดของพวกเขายิ่งก้าวก่ายรุกล้ำมากขึ้น
“ทักษะเสริมวิญญาณบ้าบออะไร ข้าว่าพวกเจ้าไม่ควรเชื่อทุกอย่างที่ได้ยินนะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะมีไอ้โง่ที่ทิ้งคำเชิญจากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจแล้วเลือกเข้าร่วมกับตำหนักหยกวิญญาณแทน ข้าว่า…น่าจะเป็นเพราะข่าวลือถูกบิดเบือนมากกว่า เรื่องที่ว่าไม่สนใจเข้าร่วมตำหนักเปลวเพลิงปีศาจนี่มันเหลวไหลทั้งเพ หมอนั่นไม่ได้มีความสามารถแบบนั้นด้วยซ้ำ! มีความสามารถที่แปลกประหลาดแล้วอย่างไร หมายความว่าพลังของหมอนั่นก็แค่ขยะไม่ใช่หรือ ข้าคิดว่าความแข็งแกร่งของเจ้าหมอนั่นด้อยกว่าเฉียวฉู่ของเราเยอะ!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งมองจวินอู๋เสียอย่างดูถูก แล้วหันไปยิ้มกว้างให้เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา
เฉียวฉู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามองผู้เยาว์ที่ตั้งใจประจบประแจงเขา แล้วอยากจะทุบเจ้าคนงี่เง่านี่ให้จมดิน
กล้าสงสัยความสามารถของน้องเสียของเขาอย่างนั้นหรือ ไอ้โง่นี่มันโผล่มาจากไหน
แม้ว่าในใจเขาอยากจะบีบคอเด็กหนุ่มที่พูดแย่ๆ เกี่ยวกับจวินอู๋เสีย แต่เฉียวฉู่ก็จำคำที่จวินอู๋เสียเตือนพวกเขาไว้ได้ เขาจึงแกล้งทำหน้านิ่ง
“ฮ่า!” เฉียวฉู่หัวเราะเย้ยหยัน
“แหะๆ เฉียวฉู่ การแสดงของเจ้าในการแข่งพลังวิญญาณนี่สุดยอดจริงๆ! มีแค่คนอย่างเจ้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นสมาชิกของตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ ข้าได้ยินว่ามีหกตำหนักที่ยื่นคำเชิญให้เจ้า เรื่องนั้นจริงหรือเปล่า” เด็กหนุ่มขี้ประจบกล่าวต่อไป
เฉียวฉู่ไม่อยากสนใจเจ้าหมอนี่ แต่เพราะต้องปลอมตัวให้ดี จึงได้แต่พึมพำส่งๆ ไปว่า “อืม”
“ข้าว่าแล้ว…”
เฉียวฉู่รำคาญคนคนนี้เต็มที เขามองหาร่างที่คุ้นเคยท่ามกลางฝูงชนโดยไม่รู้ตัว นอกจากจวินอู๋เสียที่เป็น “ที่จับตาของคนนับหมื่น” เขาก็เห็นพวกฮวาเหยาอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขามีแววยิ้มแฝงอยู่เมื่อมองเห็นพวกเขา
ขณะที่พวกผู้เยาว์กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ด้วยความตื่นเต้น ศิษย์จากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจที่รับหน้าที่พาพวกเขามาที่สำนักธาราเมฆก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเข้มงวด
“เงียบ” บุรุษคนนั้นพูดเสียงทุ้ม
พวกผู้เยาว์ที่ส่งเสียงดังกันอยู่ก็พากันหุบปากทันที และหันมามองบุรุษคนนั้นด้วยความกังวลใจ
“สิ่งที่ควรพูด ผู้อาวุโสก็ได้บอกพวกเจ้าอย่างชัดเจนไปเมื่อวานแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่เปลืองน้ำลายอีก มีแค่เรื่องเดียวที่ข้าต้องเตือนพวกเจ้าทุกคนเอาไว้ คนที่เข้าร่วมตำหนักหยกวิญญาณคนนั้น ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าคนใดไปหาเรื่องเขา พวกเจ้าต้องไม่สร้างปัญหาให้เขา” บุรุษคนนั้นหรี่ตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
คำพูดของบุรุษคนนั้นทำให้กลุ่มผู้เยาว์ตกตะลึงทันที