ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 209 โหมดต่อสู้ (2) ตอนที่ 210 อำนาจกดดัน (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 209 โหมดต่อสู้ (2) ตอนที่ 210 อำนาจกดดัน (1)
ตอนที่ 209 โหมดต่อสู้ (2)
จวินอู๋เสียรู้ดีว่าเจ้าแมวดำตัวน้อยของนางนั้นแข็งแกร่งเพียงใด ยิ่งหลังจากที่มันกลืนราชสีห์ทองคำยักษ์ลงท้องพลังของมันก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของบัวหิมะมัวเมาได้อยู่ดี สัตว์ร้ายสีดำขนาดยักษ์ถูกภูติดอกบัวในโหมดต่อสู้บดขยี้และสะกดข่มโดยสมบูรณ์
จวินอู๋เสียเข้าใจมาโดยตลอดว่าดอกบัวขาวน้อยของนาง มีประโยชน์เพียงแค่ใช้เป็นยาเท่านั้น แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นประสิทธิภาพในการต่อสู้ แม้ในแง่ของกำลังมันจะยังไม่อาจเทียบได้กับนางผู้ซึ่งเป็นนาย แต่การแสดงออกของบัวหิมะมัวเมาในวันนี้ ก็ไม่อาจไม่ปฏิเสธว่ามันทำให้นางต้องมานั่งขบคิดถึงความสามารถในการต่อสู้ของเขาใหม่
เห็นทีนางจะต้องประเมินค่าของเขาใหม่เสียแล้ว
“เจ้าต่อสู้ได้ด้วยหรือ” จวินอู๋เสียหรี่ตาลงและมองไปที่บัวหิมะมัวเมาที่หน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์ของยอดสุราธาราหยกที่เขาเพิ่งดื่มเข้าไป
บัวหิมะมัวเมาที่จองหองและหยิ่งสโสยามอยู่ต่อหน้าสัตว์ร้ายสีดำ เมื่อเห็นจวินอู๋เสียปรายตามองมาเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะมีร่องรอยของความเย่อหยิ่งให้เห็น เด็กหนุ่มเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วกล่าวไปว่า “ทุบตีเจ้าเหมียวนั่นไม่เป็นปัญหาสักนิด”
“ความห่างชั้นในตอนก่อนและหลังดื่มสุราชัดเจนเกินไปแล้ว” จวินอู๋เสียกล่าว
เจ้าดอกบัวขาวน้อยกับบัวหิมะมัวเมามีนิสัยและความกล้าที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แน่นอนว่าในแง่ของประโยชน์ใช้สอยเองก็ด้วย
หนึ่งขี้ขลาดแต่มีสรรพคุณทางยา ส่วนอีกหนึ่งกล้าหาญและมีความสามารถในด้านการต่อสู้
“แต่เดิมแล้วบัวหิมะซังอวี้ก็ถูกเพาะเลี้ยงขึ้นจากยอดสุราชั้นเยี่ยม หากขาดความชุ่มชื้นของสุราไป ข้าย่อมไม่อาจแสดงพลังออกมาให้เห็นได้” บัวหิมะมัวเมากล่าวด้วยความทดท้อใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ มีหรือที่เขาจะยอมปล่อยให้เจ้าแมวบ้านั่นข่มขู่และกลั่นแกล้งเขาอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน!
“เขาพูดความจริง” จู่ๆ จวินอู๋เย่าก็พูดแทรกขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยของเขาดูจะสนอกสนใจบัวหิมะมัวเมานี้มากเป็นพิเศษ ก็ไม่รอช้าช่วยอธิบายไขความกระจ่างให้แก่นางไปว่า “รูปลักษณ์ที่แท้จริงของบัวหิมะซังอวี้สมควรจะเป็นเช่นนี้ ยิ่งมันดื่มสุรามากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น พละกำลังก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย บัวหิมะซังอวี้มีสัญชาตญาณและมีความสนอกสนใจในสุรารสเลิศโดยธรรมชาติ ดังนั้นการที่เจ้าตุ๊กตาตัวน้อยของเจ้าแอบขโมยดื่มสุรา จึงเป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดหมายเลย”
จวินอู๋เสียพยักหน้าเล็กน้อย หากเป็นเช่นนั้น ภูติวิญญาณของนางอาจไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่นางคิด
เพียงแต่…
นี่ไม่ใช่ข้ออ้างสำหรับบัวหิมะมัวเมาที่จะสิ้นเปลืองยอดสุราธาราหยกมากมายแบบนี้!
จวินอู๋เสียยกมือขึ้น จับคางของบัวหิมะมัวเมาไว้แล้วหรี่ตาลง พูดออกไปว่า “อยากดื่มสุราหรือ ได้สิ! แต่สุราทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าแตะต้อง เข้าใจหรือไม่!”
บัวหิมะมัวเมาเปิดปากของเขาออกมา คิดอยากจะพูดอะไรสักคำออกไปแต่เมื่อสบกับดวงตาคู่นั้นที่เชือดเฉือนคมกริบ มันก็หุบปากลงฉับทำได้เพียงพยักหน้าขึ้นลงอย่างแข็งทื่อ
จวินอู๋เสียปล่อยมือลงด้วยความพึงพอใจ นางเคยคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องที่ภูติวิญญาณของตนเองขาดความสามารถในการต่อสู้ แม้ว่าความแข็งแกร่งของเสี่ยวเฮยเจ้าแมวดำตัวน้อยของนางนั้นจะไม่เลวเลย แต่มันก็ยังไม่อาจตอบสนองต่อความต้องการของนางได้ทั้งหมด เวลานี้ได้ความแข็งแกร่งของบัวหิมะมัวเมามาเสริมทัพ มันที่ทรงพลังพอและมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นนักสู้มือหนึ่งในอนาคต เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ไม่เลวเลยจริงๆ
“รู้หรือไม่ว่าความแข็งแกร่งของเขาอยู่ขั้นใด” จวินอู๋เสียถามจวินอู๋เย่าออกไปตรงๆ
จวินอู๋เย่าตอบกลับว่า “นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเขาดื่มสุราไปมากแค่ไหน และดื่มสุราอะไรลงไปด้วย หากเป็นยอดสุราชั้นเยี่ยม แม้จะต้องต่อกรกับผู้มีพลังวิญญาณระดับสีม่วง เขาก็จะไม่กดดันและไม่เสียเหงื่อเลยสักหยดเดียว” ในสายตาของเขาความสามารถแค่นี้ของบัวหิมะมัวเมายังไม่พอที่จะดึงดูดสายตาของเขาได้ แต่สำหรับเด็กน้อยของเขาแล้ว ดูท่านางจะพึงพอใจในจุดนี้มากทีเดียวเชียว
กวาดสายตามองไปทั่วทั้งใต้หล้าแห่งนี้ พลังวิญญาณระดับสีน้ำเงินนับว่าอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว และตลอดระยะเวลากว่าศตวรรษที่ผ่านมา คนที่สามารถทะลวงขั้นไปจนถึงระดับสีม่วงได้นั้น ยังไม่มีปรากฏมาให้เห็นแม้แต่คนเดียว ดังนั้นความแข็งแกร่งของบัวหิมะมัวเมาอาจเรียกได้ว่าแข็งแกร่งติดอันดับต้นๆ ของรัฐชีเลยก็ว่าได้!
“สุราครั้งก่อนที่เจ้าเอามาให้ข้า ยังเหลืออยู่หรือเปล่า” จวินอู๋เสียถามแล้วมองไปที่จวินอู๋เย่า
จวินอู๋เย่ายกยิ้มเล็กน้อย รู้สึกว่าเด็กน้อยของเขาจะอาลัยอาวรณ์ยอดสุราธาราหยกนั่นเหลือเกิน เลยเปลี่ยนเป้าหมายมุ่งเป้ามาที่สุราแสงจันทร์ของเขาแทน
“ตราบเท่าที่เจ้าเอ่ยปาก ต้องการมากเท่าไหร่ข้าก็หามาให้เจ้าได้”
“เช่นนั้นปล่อยพวกเขาลงมาเถอะ” จวินอู๋เสียบอก
เมื่อได้รับความเมตตาอย่างล้นเหลือ เจ้าสัตว์ร้ายสีดำกับบัวหิมะมัวเมาก็ได้รับอิสรภาพ ต่อหน้าจวินอู๋เสีย ต่อให้พวกมันกล้าหาญมากแค่ไหนพวกมันก็ไม่กล้าหือหรอก!
“วันหน้าหากเจ้าต้องการสุรา ก็ให้ไปหาเขา” จวินอู๋เสียชี้ไปที่จวินอู๋เย่าพลางบอกกับบัวหิมะมัวเมา
บัวหิมะมัวเมาเหลือบมองไปที่จวินอู๋เย่า รู้สึกขมขื่นในใจเล็กน้อย
เขาเอาชนะบุรุษผู้นี้ไม่ได้!
จวินอู๋เย่านั้นมีกลิ่นอายรอบตัวที่ชั่วร้ายมาก การลงมือของเขาเองก็โหดเหี้ยมอำมหิตเกินกว่าจะคาดคิดถึง โชคยังดีที่เขาเป็นภูติไม่ใช่มนุษย์ หากเป็นมนุษย์ธรรมดาล่ะก็ ถูกเขาบีบเช่นนี้ไม่ตายก็คงพิการ
เจ้านายของเขา…ถึงกับบอกให้เขาไปขอสุราจากคนที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้เชียวหรือนี่!
จู่ๆ บัวหิมะมัวเมาก็รู้สึกว่าชีวิตของเขาในอนาคตคงจะไม่สวยงามอีกต่อไป…
ตอนที่ 210 อำนาจกดดัน (1)
เช้าตรู่วันถัดมา ก่อนที่มั่วเฉี่ยนยวนจะได้เริ่มประชุมขุนนางยามเช้า คนของสำนักชิงอวิ๋นกลุ่มหนึ่งก็บุกเข้ามาในท้องพระโรงอย่างอุกอาจ
มั่วเฉี่ยนยวนที่เพิ่งประทับนั่งบนบัลลังก์ เมื่อเห็นว่าหลังจากคนของสำนักชิงอวิ๋นบุกเข้ามาแล้ว เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายด้านล่างก็พากันขยับร่นถอยออกไปยืนอยู่ด้านนอกประตูท้องพระโรงด้วยความขลาดกลัว ดวงเนตรคมก็มืดครึ้มลงทันที
“หยกวิญญาณอยู่ที่ไหน” เจียงเฉินชิงไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าวิธีการของพวกเขานั้น จะเป็นการเหยียบหน้ามั่วเฉี่ยนยวนในฐานะฮ่องเต้ โดยไม่มีทั้งการบอกกล่าวหรือแจ้งให้ทราบ ก็บุกเข้ามาในท้องพระโรงโดยตรงแถมยังกดดันให้ขุนนางบุ๋นบู๊โดยรอบขยับร่นถอยออกไปอีก ร่างมีอายุยืนกร่างอยู่กลางท้องพระโรงใหญ่อย่างไม่หวาดกลัวใดๆ ทั้งสิ้น
บางทีอาจไม่ใช่เพราะไม่รู้ตัว แต่เป็นเพราะเขาไม่สนใจมันต่างหาก กับฮ่องเต้แคว้นเล็กๆ อย่างเขา มีอะไรให้ต้องกังวลกัน
มั่วเฉี่ยนยวนพยายามระงับอารมณ์ขุ่นมัวที่เกิดขึ้นภายในใจ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกท่านช่างตื่นเช้ากันเสียจริง ใครก็ได้ รีบยกที่นั่งให้แขกผู้มีเกียรติของพวกเราเร็วเข้า”
กลุ่มขันทีกระวีกระวาดวิ่งยกเก้าอี้เข้ามา คนของสำนักชิงอวิ๋นก็นั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม
“ข้าจะละเรื่องโง่ๆ ที่ยัยเด็กอวิ๋นเซียนนั่นทำลงไปก่อน แต่ข้อตกลงระหว่างอดีตฮ่องเต้ของเจ้ากับท่านเจ้าสำนักของพวกเรานั้นยังคงอยู่ พวกเราไม่ได้มีเจตนาที่จะมารบเร้าหรือสร้างความรำคาญใจให้แก่รัฐชี เพราะฉะนั้นฝ่าบาทรีบส่งมอบหยกวิญญาณออกมาให้พวกเราเถิด พวกเราจะได้กลับไปรายงานที่สำนักชิงอวิ๋นเสียที” เจียงเฉินชิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าคำพูดของเขาจะดูสุภาพ แต่น้ำเสียงและท่าทางที่แสดงออกนั้นไม่ได้บ่งบอกถึงความเคารพยำเกรงใดๆ เลย
แม้แต่คนที่มีอุปนิสัยดีอย่างมั่วเฉี่ยนยวน ก็ยังมิวายถูกคำพูดดังกล่าวทำให้โกรธจนแทบกระอัก แต่เพราะความแข็งแกร่งของสำนักชิงอวิ๋น เขาจึงทำได้เพียงต้องกัดฟันทนแล้วฝืนกลืนก้อนเลือดนั้นลงท้องไป
ในตอนนี้ เขาปรารถนาจริงๆ ว่าตัวเองจะย้อนเวลากลับไปเมื่อคืนแล้วยอมรับข้อเสนอของจวินอู๋เสีย ตัดคอไอ้เจ้ากลุ่มคนไร้ยางอายที่ไม่เห็นหัวใครกลุ่มนี้โดยตรง พวกมันจะได้ไม่มาทำตัวหยิ่งจองหองที่นี่อีก
“อ้อ ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เมื่อวานเราได้ให้สัญญากับพวกท่านไปแล้วนี่ว่าจะมอบหยกวิญญาณให้ แน่นอนย่อมไม่ผิดคำพูด เราได้สั่งคนให้ออกไปค้นหาหยกวิญญาณตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว เพียงแต่ติดปัญหาบางอย่าง” มั่วเฉี่ยนยวนได้เตรียมคำพูดของเขาไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืนนี้ จึงรู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป
“ปัญหารึ ปัญหาอะไรกัน!” สีหน้าของเจียงเฉินชิงคล้ำลงในทันที
หากไม่ใช่เพราะไป๋อวิ๋นเซียนกระทำการเอาแต่ใจส่งข่าวเท็จมาให้ พวกเขามีหรือจะสร้างเรื่องเอิกเกริก เรียกระดมคนจำนวนมากถ่อมาถึงรัฐเล็กๆ แห่งนี้
ในฐานะผู้อาวุโสของสำนักชิงอวิ๋นที่เป็นที่นับหน้าถือตา รัฐเล็กๆ อย่างรัฐชีไม่อยู่ในสายตาของเขาจริงๆ ทว่าตอนนี้เขาก็มาแล้ว เขาแค่อยากจะไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
“หยกวิญญาณนั้นอยู่ในรัฐชีไม่ผิด ทุกท่านเองก็คงทราบดีว่าปีนั้นหลังจากที่องค์ปฐมฮ่องเต้ก่อตั้งรัฐชีขึ้นมา ได้ทรงแบ่งหยกวิญญาณออกเป็นสองชิ้นด้วยกัน ชิ้นหนึ่งเก็บไว้กับตัวพระองค์เองซึ่งก็อยู่ในวังหลวงแห่งนี้ ทว่าอีกชิ้นหนึ่งนั้นได้ทรงมอบให้กับจวนหลินอ๋องผู้ซึ่งรบเคียงบ่าเคียงไหล่พระองค์มา เมื่อสิบปีก่อนบุตรชายคนโตของจวินเสี่ยนเสียชีวิตเพราะพลีชีพในสนามรบ จวินเสี่ยนเสียใจมาก จึงฝังหยกวิญญาณชิ้นนั้นไปพร้อมกับร่างจวินกู้บุตรชายของเขาด้วย ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็อยู่ในสุสานหลวงถูกฝังไปพร้อมกับพระบรมศพขององค์อดีตฮ่องเต้หลังจากที่ทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ไป…” มั่วเฉี่ยนยวนเล่าด้วยน้ำเสียงไม่ช้าไม่เร็ว เขาไม่กังวลนัก ด้วยอดีตฮ่องเต้ยามนี้ยังถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินอยู่เลย เพียงแต่แค่ประกาศออกไปว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว ส่วนร่างที่อยู่ในหลุมฝังศพในสุสานหลวง ก็เป็นเพียงร่างของนักโทษประหารคนหนึ่งที่เขาใช้เป็นศพแทนอตีตฮ่องเต้
เรื่องนี้มีคนรู้กันเพียงสองคนเท่านั้นนั่นก็คือจวินอู๋เสียกับมั่วเฉี่ยนยวน
เมื่อมั่วเฉี่ยนยวนพูดประโยคทั้งหมดนี้เสร็จ เขาก็เลื่อนสายตามองไปทางฉินอวี่เยียนโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ได้คาดหวังปฏิกิริยาใดๆ จากเจียงเฉินชิงผู้หยิ่งผยอง ในทางกลับกันเขาคาดหวังว่าคุณหนูใหญ่ผู้ที่ซึ่งงดงามและดูมีเหตุผล จะเข้าใจเรื่องพวกนี้และยอมปล่อยผ่านคนเหล่านั้นซึ่งตายไปแล้วไป เขาคาดหวังจริงๆ ว่านางจะเห็นถึงความสำคัญของคนตายและยอมรามือไม่ไปรบกวนความสงบของพวกเขาอีก
อย่างไรก็ตาม เมื่อมั่วเฉี่ยนยวนเพิ่งพูดประโยคเหล่านี้จบ เจียงเฉินชิงก็มีสีหน้าดำคล้ำอย่างถึงที่สุด เขาลุกขึ้นยืนทันที ชี้หน้าตวาดมั่วเฉี่ยนยวนไปว่า “เหลวไหลสิ้นดี! พวกเจ้ากล้าฝังหยกวิญญาณไปพร้อมกับศพได้อย่างไร! ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวโดยแท้! พวกเจ้ารีบไปขุดหยกวิญญาณทั้งสองชิ้นนั้นมาให้พวกเราเดี๋ยวนี้ ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะต้องขุดศพใคร หรือว่าเปิดหลุมฝังศพของผู้ใด ข้าสนเพียงแต่ว่าหยกวิญญาณสองชิ้นนั้นจะต้องมาถึงมือพวกข้าให้ได้!”
โดยไม่เหลือหนทางให้เจรจากันได้เลย เจียงเฉินชิงเปิดปากก็กดดันให้มั่วเฉี่ยนยวนกับสกุลจวินไปเปิดหลุมฝังศพบ้านตนเพื่อขุดเอาหยกวิญญาณมาให้กับพวกเขา!