ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 217 ทะลวงระดับ (5) ตอนที่ 218 ทะลวงระดับ (6)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 217 ทะลวงระดับ (5) ตอนที่ 218 ทะลวงระดับ (6)
ตอนที่ 217 ทะลวงระดับ (5)
จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้น มองไปที่เจ้าอสรพิษทะยานที่แสนดุดัน ในดวงตาสีดำขลับราวกับน้ำหมึกมีแต่ความสงบและราบเรียบ
จวินอู๋เสียนั่งท่าขัดสมาธิท่ามกลางความมืดมิด ไม่มีแผนที่จะต่อสู้กับเจ้าอสรพิษทะยานแต่อย่างใด
เจ้าอสรพิษทะยานที่เย่อหยิ่ง เมื่อเห็นว่ามนุษย์ตัวเล็กจ้อยหย่อนกายลงนั่งใต้เปลือกตาของมันเอง ไม่มีทีท่าว่าจะถูกกลิ่นอายของมันสะกดข่มแม้แต่น้อย ก็ให้โกรธจนแทบกระอัก!
“เจ้า! ไม่กลัวข้าฉีกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ เลยหรือ” อสรพิษทะยานคำราม
จวินอู๋เสียลืมตาขึ้นเล็กน้อย แววตาของนางสงบนิ่งผิดปกติ
“เจ้าอยู่ในร่างกายของข้า จะฉีกข้าออกเป็นชิ้นๆ ได้อย่างไร”
อสรพิษทะยานชะงักไปครู่หนึ่ง สาวน้อยคนนี้จะสงบเยือกเย็นเกินไปหน่อยหรือไม่
แม้มันจะไม่รู้ว่าตัวมันถูกพามาที่ไหน แต่วินาทีนั้นที่มันถูกปลดปล่อยออกมา มันก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศของที่นี่แตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง ไอวิญญาณของที่นี่เบาบางมาก…ที่นี่จะต้องเป็นสามโลกเบื้องล่างอย่างแน่นอน
ในสามโลกเบื้องล่าง อย่าว่าแต่ภูติวิญญาณระดับมันเลย แม้แต่ภูติวิญญาณเหนือระดับเจ็ดสักตัวก็ยังไม่มี แต่จิตวิญญาณของมนุษย์ตัวจ้อยที่อยู่ตรงหน้า ทั้งๆ ที่เห็นร่างจริงของมันแล้ว ยังไม่กลัวจนฉี่ราดไปอีกหรือ
ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้พวกเขาเข้ามาอยู่ในร่างกายของนางแล้ว!
“เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” อสรพิษทะยานตกใจเล็กน้อยกับปฏิกิริยาของจวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียเพิ่งจะปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำถามของอสรพิษทะยาน นางก็ลืมตาขึ้นแล้วตอบกลับไปอย่างเสียไม่ได้ “เจ้าไม่ใช่ภูติวิญญาณตนแรกที่เข้ามาที่นี่ เพราะฉะนั้นเลิกส่งเสียงรบกวนข้าสักที”
สำหรับคนอื่นๆ หากต้องทำการดูดซับจิตวิญญาณภูติครั้งแรก อาจมีหวาดกลัว ตื่นตระหนก และทำอะไรไม่ถูกบ้าง แต่กับจวินอู๋เสีย เรื่องเหล่านี้ไม่ได้แปลกใหม่สำหรับนางแต่อย่างใด
เมื่อปีนั้นตอนที่นางผสานจิตวิญญาณของตัวเองเข้ากับเจ้าแมวดำตัวน้อยครั้งแรก มันก็เป็นเหมือนตอนนี้ที่ทั้งโลกมืดมิดมีแต่ความว่างเปล่า ในโลกที่มืดสนิทนี้ แท้จริงแล้วก็คือทะเลจิตวิญญาณของนางเอง ส่วนร่างกายในปัจจุบันของนาง ก็คือส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณที่ควบแน่นบังเกิดเป็นรูปลักษณ์ขึ้นมา และร่างกายของเจ้าอสรพิษทะยานนั้น ก็คือพลังวิญญาณที่นางเพิ่งดูดซับเข้ามาเมื่อสักครู่นั่นเอง
ครั้งแรกที่นางเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ นางก็สับสนมึนงงเหมือนกัน ทั้งหวาดกลัวและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี แต่ภายหลังจากที่ได้เรียนรู้และผ่านประสบการณ์ล่องลอยไร้จุดหมายมาอย่างยาวนาน จากตัวอย่างในกรณีของเจ้าแมวดำตัวน้อยในอดีต จวินอู๋เสียก็สาบานว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นซ้ำสองอีก!
ภายในทะเลจิตวิญญาณของนาง แม้สถานการณ์ตอนนี้จะแตกต่างออกไปบ้าง แต่โดยพื้นฐานแล้วการที่จิตวิญญาณแปลกหน้าจะทำร้ายนางในสถานที่แห่งนี้นั้นเป็นไปไม่ได้เลย สิ่งที่นางต้องทำในตอนนี้ คือสงบสติอารมณ์และใช้ทะเลจิตวิญญาณของนางดูดซับจิตวิญญาณของอสรพิษทะยาน
ประสบการณ์คือสิ่งสำคัญจริงๆ!
ครั้งนี้จวินอู๋เสียชนะขาดลอย!
เจ้าอสรพิษทะยานมองไปที่จวินอู๋เสียซึ่งนั่งขัดสมาธิบนพื้นอย่างสงบ มันสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณของมันกำลังถูกดูดออกไปทีละนิด
คราวนี้อสรพิษทะยานสงบนิ่งต่อไปไม่ไหวแล้ว!
อสรพิษทะยานที่ทั้งสง่างามและแข็งแกร่งอย่างมัน กำลังถูก ‘กลืนกิน’ โดยเด็กสาวที่มันแทบไม่เห็นอยู่ในสายตา!
“เดี๋ยวก่อน! เจ้าทำมันไม่ได้นะ!” เจ้าอสรพิษทะยานพยายามอ้อนวอน มันไม่อยากถูกมนุษย์กลืนกินเข้าไปสักนิด!
ถ้าไม่ใช่เพราะบุรุษที่น่ากลัวผู้นั้น มันจะตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชและอนาถแบบนี้ได้อย่างไร!
จวินอู๋เสียเพิกเฉยต่อเสียงร้องอ้อนวอนของเจ้าอสรพิษทะยาน นางเพียงแค่ดูดซับจิตวิญญาณของมันเข้าไปอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
นับตั้งแต่วินาทีที่เจ้าอสรพิษทะยานถูกดึงเข้ามาในทะเลจิตวิญญาณของนาง มันก็สูญเสียโอกาสในการหลบหนีแล้ว เมื่อเข้ามาที่นี่ นอกเสียจากว่าจิตวิญญาณของจวินอู๋เสียจะแตกซ่านสลายหายไป มันถึงจะหลบหนีออกไปได้ ไม่อย่างนั้นก็มีแต่ต้องก้มหน้ายอมรับชะตาถูกนางกลืนกิน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว จวินอู๋เสียลืมตาขึ้นจากการบ่มเพาะ ภาพที่ปรากฏสู่สายตาไม่ใช่ห้วงที่มืดมิดไร้ที่สิ้นสุดอีกต่อไป แต่เป็นภาพห้องที่นางคุ้นเคย…
น้ำเสียงขี้เล่นดังขึ้นเหนือศีรษะของนางผ่านความเงียบ “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องทำได้” สิ้นเสียง จวินอู๋เย่าก็หมุนร่างของเด็กสาวให้หันไปเผชิญหน้าด้วย
ใบหน้าเล็กๆ ของจวินอู๋เสียถูกปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่อสีใสราวผลึกอัญมณี แผงขนตางอนกระพือเบาๆ ดูเหมือนนางจะยังตื่นไม่เต็มที่นัก ช่วงเวลาที่นางเห็นจวินอู๋เย่า นางก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มศีรษะลงโดยไม่รู้ตัว เปลวไฟวิญญาณสีส้มถูกจุดขึ้นบนฝ่ามือของนาง
ตอนที่ 218 ทะลวงระดับ (6)
เปลวไฟสีส้มเข้มที่บ่งบอกถึงพลังวิญญาณระดับสีส้มส่องสว่างขึ้นมากระแทกตาจวินอู๋เสีย ทำเอาดวงตาที่ปกติสงบนิ่งไร้คลื่นอารมณ์ เผยความยินดีและประหลาดใจออกมาอย่างปิดไม่มิด
“ข้าทะลวงระดับแล้ว”
“ใช่แล้ว เสี่ยวเสียเอ๋อร์ของข้าเก่งที่สุด” จวินอู๋เย่าฉวยโอกาสนี้จุมพิตหน้าผากของจวินอู๋เสียอย่างแผ่วเบาและตื้นเขิน แต่มิได้รุกล้ำมากไปกว่านี้
หายากนักกว่าที่เด็กน้อยของเขาเพิ่งจะเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเขาไป เขาไม่อยากทำลายบรรยากาศที่สวยงามนี้
เด็กน้อยของเขาใช้เวลาดูดซับอสรพิษทะยานเร็วกว่าที่เขาคาดไว้มาก ดูเหมือนว่ากระบวนการดูดซับอสรพิษทะยานนั้นจะไม่ได้สร้างปัญหาให้แก่นางมากอย่างที่เขาเป็นกังวล
สมกับเป็นสตรีที่เขาหมายตาไว้!
จวินอู๋เสียใช้เวลาเลื่อนระดับพลังวิญญาณจากขั้นสีแดงไปเป็นขั้นสีส้มภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ในขณะที่คนทั่วไปต้องใช้เวลาเป็นปีๆ เพื่อทะลวงขั้นดังกล่าว ช่างทำให้ผู้คนไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
อย่างไรก็ตามหากไม่มีจวินอู๋เย่าตระเตรียมวงแหวนภูติวิญญาณไว้ให้นางก่อนล่วงหน้า จวินอู๋เสียคิดจะทะลวงระดับ ยอมง่ายดายและราบรื่นเช่นนี้แน่
“หลังจากเจ้าทะลวงระดับเข้าสู่ขั้นสีส้มแล้ว พลังวิญญาณที่เจ้าจะต้องใช้บ่มเพาะนั้นก็จะเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ตอนนี้เจ้ายังเล็กนัก ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไป” จวินอู๋เย่ายกมือขึ้นลูบผมนุ่มของจวินอู๋เสียอย่างอ่อนโยน
จวินอู๋เสียพยักหน้า บัวหิมะซังอวี้กอแรกที่เพาะปลูกไว้เบ่งบานเต็มที่จนหมดแล้ว พลังวิญญาณที่แผ่ออกมาหลังจากดอกบัวเบ่งบาน ก็ช่วยเรื่องการบ่มเพาะพลังของนางทำให้การฝึกฝนคืบหน้าขึ้นไม่น้อย โชคดีที่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเจ้าดอกบัวขาวน้อยผลิตเมล็ดบัวได้เพิ่มอีกสองสามเมล็ด เพียงพอสำหรับจวินอู๋เสียในช่วงเวลาสั้นๆ นี้แล้ว
อ้างอิงจากตำราโบราณเล่มนั้น ได้บันทึกเอาไว้ว่าหากใช้น้ำพุสวรรค์เทียนเฉวียนในการเพาะปลูกบัวหิมะซังอวี้ บัวหิมะซังอวี้จะใช้เวลาเบ่งบานเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น ดูเหมือนว่าฤทธิ์ของยอดสุราธาราหยกจะด้อยกว่ามากโข
จวินอู๋เสียที่เพิ่งทะลวงขั้นได้สำเร็จ ไม่รีบร้อนพ่มเพาะต่อ หลังจากที่นางกลืนกินอสรพิษทะยานผ่านไปได้สามวัน ภายในเมืองหลวงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน!
สำนักชิงอวิ๋นไม่สนหน้าของราชวงศ์ แอบบุกเข้าไปขุดสุสานหลวง แม้แต่สุสานของจวินกู้ก็ยังถูกขุดขึ้นมา
แต่แม้ว่าจะลงแรงไปมากแล้ว ทว่าคนของสำนักชิงอวิ๋นก็ยังค้นหาร่องรอยของหยกวิญญาณไม่พบ พวกเขาจึงเริ่มอาละวาด!
จวินอู๋เสียยังไม่ทันได้ล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยดี นางก็ได้ยินเสียงคำรามดังก้องมาจางทางหน้าประตูจวน เด็กสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย รีบคว้าเสื้อคลุมมาสวมทับอาภรณ์ชั้นในของตนไว้ลวกๆ แล้วก้าวออกจากประตูห้อง
“เสี่ยวเฮย”
แมวดำตัวน้อยที่นอนหมอบเฝ้าอยู่หน้าประตู เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเจ้านายมันก็รีบกลายร่างเป็นสัตว์ร้ายสีดำขนาดยักษ์แล้วพาจวินอู๋เสียขึ้นหลัง รีบทะยานไปยังต้นกำเนิดเสียงคำรามนั้น
จวินอู๋เย่าเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้เห็นแผ่นหลังของจวินอู๋เสียที่ขึ้นขี่หลังของเจ้าสัตว์ร้ายสีดำรีบร้อนทะยานออกไป รอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็พลันหายวับ
เป็นพวกมดแมลงโสโครกไม่กลัวตายจากที่ไหน ถึงได้กล้ามารบกวนเวลาพักผ่อนของเสี่ยวเสียเอ๋อร์ของเขาในเวลานี้…
นัยน์ตาสีดำขลับค่อยๆ เผยให้เห็นสีม่วงอันตราย บรรยากาศรอบตัวจวินอู๋เย่ากดดันและแผ่ขยายไปทั่วทั้งลานที่พักจนทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ออก เงาดำเมื่อเห็นความโกรธของจวินอู๋เย่าก็รีบปรากฏตัวออกมาจากที่ซ่อน คุกเข่าลงต่อหน้าผู้เป็นนายด้วยความประหม่า
“นายท่าน!”
“พวกมันเป็นใคร” มุมปากของจวินอู๋เย่าขดเป็นเส้นตรง
“เป็นคนของสำนักชิงอวิ๋นขอรับ”
“ดีมาก! ในเมื่อพวกมันแส่รนหาที่ตายดีนัก ข้าก็จะให้พวกมันได้สมปรารถนา” เสียงของจวินอู๋เย่าที่หัวเราะด้วยความหนาวเหน็บดังสะท้อนไปทั่วลานที่พัก นัยน์ตาสีม่วงเข้มของเขาเมื่อหันไปเห็นเจ้าดอกบัวขาวน้อยที่กำลังตะเกียกตะกายดิ้นรนอยู่ที่ริมขอบสระบัว แสงสีม่วงในดวงตาก็สว่างวาบออกมา
เจ้าดอกบัวขาวน้อยที่จู่ๆ ก็ถูกจ้องมองขนลุกพรึ่บ ความหวาดกลัวแล่นไปทั่วร่างของเขา เมื่อสักครู่เขาเพิ่งจะบ่มเพาะอยู่ที่ริมสระบัวอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็ถูกคลื่นพลังที่จวินอู๋เย่าปลดปล่อยออกมาด้วยความโกรธกระแทกเข้าใส่ร่างบัวหิมะซังอวี้จนเจ็บไปหมด เขาก็ตัวเล็กแค่นี้จะทนรับแรงกดดันนั้นได้อย่างไร จึงได้จำแลงร่างเป็นมนุษย์แล้ววิ่งหนีไปจากที่ตรงนั้นเสียเดี๋ยวนั้น อย่างไรก็ตามดูเหมือนสายตาของเจ้าปีศาจร้ายจะหมายหัวเขาเข้าให้เสียแล้ว
“ไปเอาไหสุราแสงจันทร์ของข้ามา” จวินอู๋เย่ามองไปที่ดอกบัวขาวน้อยแล้วสั่งการเงาดำที่คุกเข่าอยู่ด้านข้าง