ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 425 ความไว้ใจ ตอนที่ 426 โรคภัยหรือพิษร้าย (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 425 ความไว้ใจ ตอนที่ 426 โรคภัยหรือพิษร้าย (1)
ตอนที่ 425 ความไว้ใจ / ตอนที่ 426 โรคภัยหรือพิษร้าย (1)
ตอนที่ 425 ความไว้ใจ
ศิษย์พี่หนิงและกู้หลีเซิงให้ความสำคัญกับหลี่จื่อมู่มาก สิ่งนี้ทำให้อิ่นเหยียนอิจฉาเป็นอย่างมาก แต่หลังจากเขาเห็นท่าทางโง่เขลาของหลี่จื่อมู่แล้ว เขาก็แอบเยาะเย้ยในใจ
ท้ายที่สุดก็เป็นได้แค่ขยะ ไม่สามารถเป็นอะไรมากกว่านั้นได้
“เป็นไปได้อย่างไร” ศิษย์พี่หนิงขมวดคิ้ว สิ่งที่เกิดขึ้นแตกต่างจากสิ่งที่นางคาดการณ์ไว้
ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา เหตุผลที่นางปฏิบัติต่อหลี่จื่อมู่อย่างเป็นมิตรก็เพราะตั้งใจที่จะชักจูงเขา แต่ถ้าศักยภาพของอีกฝ่ายไม่ดีอย่างที่นางคิด นั่นมิใช่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือ
“เจ้าเฝ้าสังเกตเขาอีกครึ่งเดือน ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง เจ้ามาบอกข้า เดิมทีข้าตั้งใจจะขอให้ท่านพ่อมอบหลี่จื่อมู่ให้ข้าดูแล แต่ถ้าเขาไร้ประโยชน์จริงๆ ก็ไม่จำเป็นแล้ว” ศิษย์พี่หนิงกล่าวด้วยความไม่พอใจ ศิษย์เก่าแต่ละคนสามารถดูแลศิษย์ใหม่ได้สองคน คนที่นางดูแลคนแรกคืออิ่นเหยียน เดิมทีคนที่สองนางจะดูแลหลี่จื่อมู่แต่ตอนนี้นางคงต้องพิจารณาใหม่
“ศิษย์พี่หนิงวางใจเถิด ข้าจะคอยจับตาดูหลี่จื่อมู่อย่างใกล้ชิด” อิ่นเหยียนก้มศีรษะเพื่อซ่อนรอยยิ้มในดวงตาของเขา
ศิษย์พี่หนิงโบกมือด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย
…
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จวินอู๋เสียพักอยู่ในลานเล็กๆ ในป่าไผ่เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้ นางไม่รู้เลยว่าข่าวลือในสำนักศึกษาเฟิงหัวไม่ได้ลดน้อยลงแต่กลับรุนแรงมากขึ้น
หลังจากการทดลองและค้นคว้ามาตลอดทั้งเดือน ในที่สุดจวินอู๋เสียก็เข้าใจจุดบกพร่องของการแปลงพลังวิญญาณของทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณ ทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณของกู้หลีเซิงคือแปลงพลังวิญญาณเป็นพลังจิตวิญญาณก่อนจึงจะรักษาวงแหวนภูติวิญญาณ แต่จวินอู๋เสียพบว่าแม้จะไม่แปลงพลังวิญญาณก็สามารถรักษาได้โดยตรง แม้ว่าความเร็วในรักษาจะช้าลงเล็กน้อย แต่จะไม่เกิดการสูญเสียพลังวิญญาณเป็นจำนวนมาก
จวินอู๋เสียได้ทำการทดสอบบนตัวบัวหิมะซังอวี้อยู่หลายครั้ง และพบว่าพลังชีวิตของบัวหิมะซังอวี้นั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กลีบดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาก็ได้เจริญเติบโตขึ้นเหมือนเมื่อก่อน และจวินอู๋เสียก็สัมผัสได้ถึงพลังจิตวิญญาณที่คุ้นเคยของบัวหิมะซังอวี้
เชื่อว่าอีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ บัวหิมะซังอวี้จะฟื้นตัวเต็มที่
ในวันนี้ หลังจากจวินอู๋เสียรักษาบัวหิมะซังอวี้เสร็จแล้ว นางก็ออกมาจากเรือนพักทันที ที่มาของชื่ออาจิ้งที่แปลว่าความสงบมาจากฟ่านจัวที่ชอบความสงบ ในวันปรกติลานเล็กๆ ในป่าไผ่จะสงบมากจะมีเพียงแค่วันที่ฟ่านจิ่นมาที่นี่ลานเล็กๆ นี้จึงจะมีชีวิตชีวามากขึ้น
หลังจากทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณได้รับการปรับปรุง จวินอู๋เสียก็มีความคิดอื่นผุดขึ้นมาในหัว ถึงแม้ว่าตลอดทั้งเดือนนี้นางจะไม่ค่อยออกจากเรือนเล็กๆ ในลานป่าไผ่นี้ แต่นางก็แอบสังเกตสภาพร่างกายของฟ่านจัวซึ่งมันก็เป็นจริงอย่างที่เขาลือกันว่าร่างกายและกระดูกของฟ่านจัวใกล้ถึงขีดสุดแล้ว และโอสถวิเศษที่เขาทานเข้าไปในทุกวันนั้นมากกว่าอาหารที่เขาทานลงไปอีก แม้ว่าโอสถวิเศษเหล่านั้นจะช่วยประคองร่างกายของเขาให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่ว่าโอสถวิเศษทุกอย่างก็อาจเป็นพิษต่อร่างกายได้ และโอสถเหล่านั้นที่เขาทานลงไปก็ได้สร้างความเสียหายต่อร่างกายของฟ่านจัวแล้ว
เริ่มแรกอาจมองไม่เห็นถึงข้อเสียนั้น แต่เมื่อสะสมเป็นเวลานานหลายปีมันก็จะทำให้ภายในร่างกายของฟ่านจัวไม่เหลืออะไรอีก
จวินอู๋เสียเดินไปที่ห้องของฟ่านจัวและยืนอยู่หน้าประตูที่ปิดไว้ ในขณะที่นางกำลังจะยกมือขึ้นเพื่อจะเคาะประตูก็มีเสียงของอาจิ้งดังออกมาจากข้างใน
“คุณชาย จวินเสียที่เขาลือกันข้างนอกคือคุณชายจวินที่พักอยู่กับเราใช่หรือไม่ ท่านไม่รู้ว่าเพราะเขาคนข้างนอกด่าว่าคุณชายใหญ่ว่าอะไร…”
“อาจิ้ง เกิดอะไรขึ้น” เสียงของฟ่านจัวดังขึ้นมา
อาจิ้งนำเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสำนักศึกษาเฟิงหัวหลังจากที่จวินอู๋เสียเข้ามาให้ฟ่านจัวฟังด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเล็กน้อย
“คุณชายใหญ่จะทำแบบนั้นได้อย่างไร คุณชายใหญ่เป็นคนที่ดีที่สุดในโลก ข้าดูไม่ออกจริงๆ ว่าคุณชายจวินจะทำเรื่องแบบนั้น ไม่แปลกเลยที่เขาไม่ไปสำนักศึกษา ที่แท้ก็เพราะว่าเขาได้สร้างปัญหามากมายไว้แล้วไม่สามารถอยู่ในสำนักศึกษาต่อไปได้”
…..
ตอนที่ 426 โรคภัยหรือพิษร้าย (1)
อาจิ้งกำลังจะพูดต่อแต่ทันใดนั้นเสียงของฟ่านจัวก็ดังขึ้นมา
“อาจิ้ง ต่อไปนี้เจ้าอย่าพูดแบบนี้อีก ข้าเชื่อพี่ใหญ่และน้องเสีย คำพูดของคนอื่นจะเทียบกับสิ่งที่เห็นด้วยตาตัวเองและสิ่งที่ได้ยินกับหูตัวเองได้อย่างไร! ช่วงเวลาที่น้องเสียพักอยู่ที่นี่เขาเคยทำอะไรผิดหรือไม่ เจ้าอย่าบอกว่าเจ้าไม่รู้ว่ายาบำรุงที่เพิ่มมามากมายในห้องครัวมาจากที่ใด” ฟ่านจัวมองไปที่อาจิ้ง บนใบหน้าที่อ่อนโยนของเขาแสดงความไม่พอใจออกมา
จวินอู๋เสียไม่ชอบพูดและสื่อสารกับผู้คนไม่เก่ง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ
หลังจากที่จวินอู๋เสียเข้าไปพักในลานไม้ไผ่เล็กๆ อาจิ้งมักจะพบยาบำรุงล้ำค่าในห้องครัวอยู่เสมอ สิ่งของมีค่าเหล่านั้นถูกวางทิ้งไว้ในห้องราวกับพืชผักธรรมดาทั่วไป ตอนแรกอาจิ้งคิดว่าอาจารย์ใหญ่สั่งให้คนเอามาให้ แต่หลังจากถามองครักษ์ที่มาส่งของให้พวกเขาประจำจึงรู้ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นสิ่งของเหล่านั้นมาก่อน
อาจิ้งจึงบอกเรื่องนี้กับฟ่านจัวและฟ่านจัวก็เข้าใจในทันที
สิ่งของเหล่านี้เกรงว่าจะเป็นจวินอู๋เสียที่แอบเอาไปวางไว้ที่นั่น แม้ว่านางมักจะมีสีหน้าที่เย็นชาแต่ใจของนางกลับมิได้เย็นชาเยี่ยงนั้น
เมื่อได้ยินคำพูดของฟ่านจั่ว อาจิ้งก็พูดไม่ออกทันที หากไม่ได้ยินข่าวลือเหล่านั้น อาจิ้งก็ชอบคุณชายจวินคนนั้นมาก แต่เมื่อฟังข่าวลือแบบนั้นมากขึ้น เรื่องเท็จก็กลายเป็นเรื่องจริง และเมื่อเขาได้ยินว่าคุณชายใหญ่ถูกใส่ร้ายและถูกด่าว่ามากมายเพราะจวินอู๋เสีย อาจิ้งจึงหันมาโทษจวินอู๋เสีย
“ข้าจะคิดว่าข้าไม่เคยได้ยินสิ่งที่เจ้าพูดมาก่อน อย่าให้น้องเสียได้ยินเป็นอันขาด” ฟ่านจัวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
อาจิ้งก้มศีรษะลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า “แต่คุณชายใหญ่เขา…”
“พี่ใหญ่ไม่สนใจ ข้าก็ไม่สนใจเช่นกัน คนอื่นพูดว่าร่างกายของข้าเป็นภาระ หากข่าวลือเหล่านั้นเป็นความจริง ท่านพ่อและพี่ใหญ่ก็ควรขับไล่ข้าออกไปแล้วปล่อยให้ข้าเป็นไปตามยถากรรมหรือ” ฟ่านจัวกล่าว
อาจิ้งรีบส่ายหัวทันที
ฟ่านจัวถอนหายใจและในขณะที่เขากำลังจะกล่าวตักเตือนอาจิ้งอีกสักสองสามคำ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็มีเหงื่อไหลออกมา ใบหน้าที่ซีดขาวอยู่แล้วก็ยิ่งซีดขาวมากขึ้น เขาจับเสื้อตรงหน้าอกของเขาไว้แน่นด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดแล้วฟุบลงกับโต๊ะ
“คุณชาย คุณชาย” อาจิ้งตกใจอย่างยิ่ง
ปัง!
ประตูที่ปิดไว้ถูกเตะออกในทันที และก่อนที่อาจิ้งจะรู้สึกตัว เขาก็เห็นจวินอู๋เสียพุ่งตรงเข้ามาแล้วยกฟ่านจัวที่หมดสติอยู่ขึ้นแล้ววางเขาลงบนเตียงทันที
ฟ่านจัวที่นอนอยู่บนเตียงยังคงกระตุกไม่หยุด ปากของเขาปิดสนิท ริมฝีปากของเขาเริ่มคล้ำ สีหน้าของเขาเริ่มเขียวและคิ้วที่สวยงามของเขาขมวดแน่น อาจิ้งที่อยู่ด้านข้างกังวลจนแทบจะร้องไห้ออกมา
จวินอู๋เสียรีบจับชีพจรของฟ่านจัวทันที แต่หลังจากตรวจสอบชีพจรของฟ่านจัวแล้ว นางก็ขมวดคิ้วทันที
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นางได้สัมผัสตัวฟ่านจัวอย่างไม่ได้ตั้งใจและได้ตรวจสอบชีพจรของฟ่านจัวอย่างเงียบๆ แม้ว่าชีพจรของเขาจะอ่อนแอมากแต่ชีพจรของเขาก็ไม่เคยวุ่นวายเหมือนวันนี้มาก่อน ความวุ่นวายนี้อาจดูเหมือนว่ามาจากอาการกำเริบของเขา แต่ถ้าตรวจสอบดีๆ จะพบว่าความวุ่นวายนี้เกิดจากสาเหตุภายนอกปะปนอยู่จึงทำให้เป็นแบบนี้
นี่มิใช่อาการกำเริบจากอาการป่วย แต่เป็นผลจากการถูกกระตุ้นของยาพิษ!
ทันใดนั้นจวินอู๋เสียก็นึกถึงมั่วเฉียนหยวนทันที เพราะชีพจรของฟ่านจัวในตอนนี้เหมือนกับชีพจรของมั่วเฉียนหยวนในตอนนั้น แม้ว่ามั่วเฉียนหยวนจะถูกวางยาพิษแต่ร่างกายของเขาดีกว่าฟ่านจัวมาก ร่างกายที่อ่อนแอของฟ่านจัวนี้จะสามารถทนรับความเจ็บปวดและทรมานจากยาพิษได้อย่างไร
……