ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 659 ถึงผาสุดขอบฟ้า (3) ตอนที่ 660 ลงสู่ก้นหน้าผา (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 659 ถึงผาสุดขอบฟ้า (3) ตอนที่ 660 ลงสู่ก้นหน้าผา (1)
ตอนที่ 659 ถึงผาสุดขอบฟ้า (3) / ตอนที่ 660 ลงสู่ก้นหน้าผา (1)
ตอนที่ 659 ถึงผาสุดขอบฟ้า (3)
เยี่ยเม่ยส่ายศีรษะ
“นายท่านไม่ได้สั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ เราไม่อาจตัดสินใจเองได้ ยิ่งกว่านั้น…” คิ้วของเยี่ยเม่ยขมวดเข้าหากันแน่น เขาพูดว่า “ข้าคิดว่าเหตุผลที่นายท่านไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของท่านแก่คุณหนูใหญ่ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นางต้องเป็นอันตราย คนพวกนั้น…กระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมรามือจากนายท่าน”
เยี่ยซาชกหมัดกับฝ่ามืออย่างโมโห
“ถ้าตอนนั้นเราไม่ติดกับพวกมันละก็ หนอนแมลงต่ำต้อยเช่นนั้นมีหรือจะสามารถทำอะไรนายท่านได้! น่าเสียดายนัก หลังจากถูกผนึกอยู่หลายปี พลังของนายท่านก็ลดลง ไม่เช่นนั้นข้าจะเป็นคนแรกที่จะตามหลังนายท่านไปลบล้างความอัปยศในครั้งนั้น!”
สิ่งที่เกิดขึ้นกับจวินอู๋เย่าตอนนั้นเป็นหนามยอกอกของเยี่ยซาและสหายของเขา
การปล่อยให้นายท่านได้รับความอัปยศ ก็คือการไร้ความสามารถของข้ารับใช้!
ถ้าพวกเขาไม่ต้องตามหาจวินอู๋เย่าละก็ พวกเขาคงฆ่าตัวตายเพื่อชดใช้ความผิดที่ไม่อาจปกป้องนายท่านได้ไปแล้ว
“มันเป็นอดีตไปแล้ว เราต้องรอจนกว่านายท่านจะกลับมาตัดสินใจว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร แต่จากที่ข้าเห็น คุณหนูใหญ่ตั้งใจที่จะลงไปยังผาสุดขอบฟ้า ถ้าเราเปิดเผยความจริงให้คุณหนูใหญ่รู้ไม่ได้ อย่างน้อยเราก็ควรลงไปกับพวกเขาด้วย ข้อแรกเราจะได้มีโอกาสตามดูแลคุณหนูใหญ่อย่างใกล้ชิด และข้อที่สองเราจะได้แน่ใจด้วยว่าที่ด้านล่างผาสุดขอบฟ้านั้นเป็นผลงานของดินแดนเทพมารจริงๆ หรือไม่” หลังจากไตร่ตรองตัวเลือกทั้งหมดแล้ว เยี่ยเม่ยก็รู้สึกว่านี่เป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลเดียวเท่านั้น
เยี่ยซาไม่มีความคิดอะไรที่ดีกว่านั้น จึงทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วยกับมัน
ทั้งสองคนกลับมาปรึกษากับจวินอู๋เสีย ขอติดตามลงไปด้านล่างผาสุดขอบฟ้าด้วย ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงไม่สามารถตอบคำถามจวินอู๋เย่าได้ถ้าหากจวินอู๋เสียไปพบเจอเข้ากับอันตราย
เมื่อพวกเขานำชื่อของจวินอู๋เย่าขึ้นมาอ้าง จวินอู๋เสียก็เลิกโต้เถียง
นอกจากนั้นเยี่ยซาก็มีความสามารถสูง และดูจากวิธีที่เยี่ยเม่ยปฏิบัติต่อเยี่ยซา ความสามารถของเยี่ยเม่ยก็คงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน การมียอดฝีมือสองคนไปกับพวกเขาย่อมเป็นการปลอดภัยกว่า
กลุ่มของจวินอู๋เสียนำเอาเชือกสิบม้วนไปด้วยเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและเอาไว้เผื่อให้เยี่ยซากับเยี่ยเม่ยด้วย
มู่เชียนฟานอยู่ที่ยอดผาคอยเฝ้าอุปกรณ์ข้าวของต่างๆ ขณะที่จวินอู๋เสียกับคนอื่นๆ มัดเชือกของตัวเองให้แน่นและโยนปลายอีกด้านลงหน้าผา เชือกยาวร่วงลงไปด้านล่างและหายไปในหมอกหนาสีขาวอย่างรวดเร็ว
“ให้พวกเรานำลงไปก่อนเถิดขอรับ” เยี่ยซาเสนอ
จวินอู๋เสียพยักหน้า
เยี่ยซากับเยี่ยเม่ยคว้าเชือกริมสุดทั้งสองด้านซึ่งจะพบเจอกับอันตรายได้มากที่สุด ในเวลาเดียวกันเยี่ยซาก็อุ้มใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะมาจากจวินอู๋เสียและใส่มันไว้ในเสื้อคลุมของเขาเพื่อลดน้ำหนักให้จวินอู๋เสีย
หลังจากเยี่ยซากับเยี่ยเม่ยลงไปได้สักพัก จวินอู๋เสียก็ได้ยินเสียงพวกเขาตะโกนเรียก และทุกคนก็คว้าเชือกของตัวเองและไต่ตามลงไป
ระยะทางจากยอดผาถึงด้านล่างนั้นไกลมาก พวกเขาถึงกับต้องค้างคืนกันบนเชือก ทั้งกลุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าหนาขึ้นและใส่เสื้อคลุมกันน้ำไว้ด้านนอกด้วย ถึงแม้จะไม่สามารถกันความชื้นในหมอกได้สมบูรณ์แบบนัก มันก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย
จวินอู๋เสียสวมถุงมือผ้ากระสอบหนาและหยาบไว้ที่มือ นางจับเชือกไว้แน่นและค่อยๆ เคลื่อนที่ลงหน้าผาไปอย่างช้าๆ
พวกเขาลงไปไม่เร็วมากนัก สำหรับการปีนเป็นระยะทางไกลเช่นนี้ การใช้แรงมากเกินไปจะทำให้พวกเขาหมดแรงกันตั้งแต่ครึ่งทาง
พวกเขาเพิ่งจะลงกันมาได้ไม่ถึงสิบเมตร จวินอู๋เสียก็รู้สึกว่าอุณหภูมิรอบตัวนางลดลงฮวบฮาบอย่างกะทันหัน เชือกที่พวกเขาเพิ่งโยนลงมาเมื่อสักครู่มีละอองน้ำเคลือบไว้บางๆ แล้ว ถ้าพวกเขาไม่ได้เตรียมตัวมาอย่างดีด้วยการซื้อเชือกป่านที่หยาบมากขึ้นคู่กับถุงมือหยาบเพื่อเพิ่มแรงเสียดทานในการจับ เชือกที่เปียกและลื่นเช่นนี้จะสร้างปัญหาให้แก่พวกเขาเป็นอย่างมาก
จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้นมองไปด้านบน นางไม่สามารถมองเห็นยอดผาได้อีก ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้านางถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาสีขาวจนหมดสิ้น
ตอนที่ 660 ลงสู่ก้นหน้าผา (1)
เพิ่งจะแค่สิบเมตรเท่านั้น แถมยังมองเห็นพระอาทิตย์อีกด้วย แต่ทัศนวิสัยกลับต่ำมาก มีเหตุผลที่จะคิดได้ว่าเมื่อไปถึงด้านล่างผาแล้วจะไม่มีแสงสว่างใดอีกเลย
จวินอู๋เสียปัดความคิดทั้งหมดทิ้งไปแล้วจดจ่ออยู่กับการไต่ลงไปด้านล่างอย่างระมัดระวัง
คาดการณ์กันเอาไว้แล้วว่าการลงไปด้านล่างจะกินระยะเวลานาน ดังนั้นจวินอู๋เสียกับสหายจึงผูกเชือกเอาไว้ที่สะโพกก่อนที่จะลงมาเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน
การปีนลงนั้นช้าและน่าเบื่อ แต่ไม่มีใครผ่อนคลายได้เลยสักวินาที ชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับเชือกที่จับอยู่ในมือเท่านั้น การลื่นเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้พวกเขาตกลงสู่หุบเหวไร้ก้นและกระแทกพื้นจนร่างแหลกสลายได้!
การถูกหมอกหนาห่อหุ้มเอาไว้ทำให้การรับรู้ของพวกเขาบิดเบือนตามเวลาที่ผ่านไป พวกเขาเห็นแต่เพียงสีขาวอยู่รอบตัวเพียงสีเดียวไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิที่ลดลงเรื่อยๆ พวกเขาคงรู้สึกว่าไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนเลยอย่างแน่นอน
จวินอู๋เสียกลับมาเพ่งสมาธิใหม่และไต่ลงไปอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
ถ้านางพยายามทำเช่นนี้ด้วยเรี่ยวแรงในชาติก่อนของนางละก็ นางคงอยู่ไม่ถึงตอนนี้ แต่หลังจากเกิดใหม่ พลังวิญญาณของนางได้เพิ่มขึ้น ตลอดการปีนนี้พลังวิญญาณได้ช่วยไม่ให้ร่างกายของนางทำงานหนักเกินไป ตำแหน่งของจวินอู๋เสียอยู่ตรงกลางห่างจากสหายของนางแค่หนึ่งเมตรเท่านั้น ระยะห่างระหว่างกันถูกไตร่ตรองอย่างรอบคอบเพื่อให้พวกเขาช่วยดูแลกันและกันได้เมื่อจำเป็น
ในตอนแรกจวินอู๋เสียยังสามารถมองเห็นหรงรั่วที่อยู่ด้านซ้ายและเฉียวฉู่ที่อยู่ด้านขวาของนางได้ แต่เมื่อลงต่ำไปมากขึ้น ทัศนวิสัยก็แย่ลงเนื่องจากหมอกที่หนาขึ้น และแสงแดดก็ส่องทะลุลงมาได้น้อยลงเรื่อยๆ รอบด้านเริ่มมืด ความเย็นชื้นก็เริ่มซึมเข้ามา
จวินอู๋เสียไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเฉียวฉู่กับหรงรั่วอย่างชัดเจนได้อีกต่อไป นางเห็นเพียงเงาร่างพร่ามัวของพวกเขาเท่านั้น
พวกเขายังลงไปได้ไม่ถึงครึ่งทางเลย สถานการณ์ก็เป็นเช่นนี้แล้ว
ในตอนนั้นจวินอู๋เสียก็เพิ่มความระมัดระวังในสิ่งที่พวกเขาอาจจะพบเจอที่ด้านล่างของผาสุดขอบฟ้าให้มากขึ้น
ยิ่งพวกเขาลงไปลึกเท่าไร อุณหภูมิก็ยิ่งลดลงจนถึงจุดที่ทำให้พวกเขาเริ่มหนาวยะเยือก จวินอู๋เสียไม่มีทางเลือกนอกจากใช้พลังวิญญาณปกคลุมร่างตัวเองอีกเล็กน้อยเพื่อลดการสูญเสียความร้อนในร่างกาย
“เราควรพักกันสักหน่อยหรือไม่” จู่ๆ เสียงของเฉียวฉู่ก็ดังก้องมา
“เราปีนกันมานานแค่ไหนแล้ว” เสียงของเฟยเยียนดังมาจากความมืดสลัวรอบด้าน
“ข้าไม่รู้”
จวินอู๋เสียหยุดแล้วพูดว่า “สิบชั่วโมง”
นางคอยนับวินาทีอยู่ในใจและโดยไม่รู้ตัว เมื่อนางนับถึงหกชั่วโมง เวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งวัน
“พักกันสักหน่อยเถอะ” จวินอู๋เสียพูด
ถึงแม้มือของนางจะมีถุงมือหนาคอยปกป้องเอาไว้ แต่หลังจากการเสียดสีไม่หยุดตลอดสิบชั่วโมง มันก็ทำให้ฝ่ามือของนางชาเล็กน้อย
มันเป็นเช่นนี้ทั้งๆ ที่นางมีพลังวิญญาณคอยป้องกันร่างกายเอาไว้ ถ้าพวกเขาไม่เตรียมพร้อมมาก่อนและไม่มีพลังวิญญาณคอยช่วยสนับสนุน พวกเขาอาจจะอยู่ไม่ถึงครึ่งของเวลาที่ทำได้นี้ด้วยซ้ำ
“ตกลง! ข้ากำลังคิดอยู่เลยว่ามีบางอย่างผิดปกติ ที่แท้ก็เป็นเพราะความหิวของข้านี่เอง พักกันหน่อยเถอะแล้วหาอะไรกินกันจะได้มีแรง” เฉียวฉู่พูด เสียงของเขาห่อเหี่ยวเล็กน้อย
ทุกคนเห็นด้วยกับคำแนะนำนั้น พวกเขารวบรวมพลังวิญญาณไปที่มือข้างหนึ่งเพื่อจับเชือกให้แน่น จากนั้นก็วางเท้าไปที่หน้าผาเพื่อรักษาสมดุล แล้วเอื้อมมืออีกข้างเข้าไปในกระเป๋าใบเล็กที่สะโพก หยิบเอาเนื้อแห้งที่เตรียมไว้ใส่ปากเคี้ยวแล้วกลืน
ภายใต้อุณหภูมิต่ำเช่นนี้ เนื้อแห้งนั้นแข็งราวกับหิน แม้แต่น้ำที่พกมาด้วยก็เย็นเฉียบ
ในสถานการณ์ตอนนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำให้อิ่มท้องเอาไว้ก่อน
“เยี่ยซา เยี่ยเม่ย” จวินอู๋เสียถือเนื้อแห้งไว้ในมือโดยไม่ได้กินมันทันที นางเรียกหาเยี่ยซากับเยี่ยเม่ยที่ล่วงหน้าไปก่อนพวกเขาหนึ่งก้าว