ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 679 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (4) ตอนที่ 680 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (5)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 679 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (4) ตอนที่ 680 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (5)
ตอนที่ 679 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (4) / ตอนที่ 680 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (5)
ตอนที่ 679 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (4)
“พวกเจ้าควรเห็นสิ่งนั้น” จวินอู๋เสียพูดพร้อมกับชี้ไปที่กำแพงด้านหลังของทุกคน
เฉียวฉู่กับคนอื่นๆ หันหน้าไปดู แต่ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดในตอนแรก แต่หรงรั่วสังเกตเห็นได้ไวมากว่าก้อนหินบนกำแพงเต็มไปด้วยตัวอักษรเล็กๆ สลักเอาไว้
“ข้าเห็นตัวอักษรอยู่บนนั้น” หรงรั่วบอกคนอื่น
ทุกคนเดินไปข้างหน้าเพื่อมองให้ชัด พวกเขาอ่านถ้อยคำเล็กๆ ทั้งหมดนั้นอย่างละเอียด แล้วก็ถอนหายใจแรงๆ ในท้ายที่สุด
“ข้าไม่คิดว่าสิบสองตำหนักจะใช้วิธีกระตุ้นพลังวิญญาณมาล่อลวงผู้คนให้ทำงานให้พวกมัน บุรุษผู้นี้น่าสงสารมาก ดูจากสิ่งที่เขาเขียนทิ้งไว้ เขาต้องอยู่ในตำแหน่งที่สูงมากในสามโลกเบื้องล่างนี้ และเขาก็ได้ทอดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความโลภเพียงชั่วขณะ” หรงรั่วถอนหายใจเบาๆ รู้สึกเศร้าเล็กน้อยให้กับเจ้าของบ้านหินหลังนี้
สิบสองตำหนักไม่เคยเป็นมิตรที่ดีกับใคร
การยอมรับความช่วยเหลือจากพวกมันและติดหนี้บุญคุณพวกมัน ก็เท่ากับก้าวไปบนเส้นทางแห่งความตาย ต่อให้บุรุษผู้นี้ไม่ตายที่นี่ และหาสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิเจอในที่สุด เขาก็ต้องจบลงด้วยการถูกฆ่าตายเหมือนบิดามารดาของพวกเขาอยู่ดี
“น้องเสีย แล้วนี่มันเกี่ยวกับการที่ทำให้เจ้าบรรลุพลังวิญญาณขั้นสีม่วงได้อย่างไรหรือ” เฉียวฉู่ถามพร้อมกับเกาหัว พวกเขาไม่ได้เพิ่งถามน้องเสียหรอกหรือว่านางเรียนวิธีกระตุ้นพลังวิญญาณชั่วคราวได้อย่างไร
จวินอู๋เสียเดินไปที่กำแพงแล้วชี้ไปที่บรรทัดด้านล่าง
ทุกคนมองตามตรงที่จวินอู๋เสียชี้ พวกเขาอ่านมันอีกครั้งแล้วก็พากันยืนตัวแข็งทื่อ
พลังวิญญาณขั้นสีม่วงเป็นแค่ผลของพลังวิญญาณที่ลุกไหม้เท่านั้น
ประโยคสั้นๆ นั้นดูไม่มีอะไรและไม่สะดุดตา ทุกคนไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับมันในตอนที่มองผ่านมันไปเมื่อครู่ ความหมายของมันก็ไม่ได้บันทึกอยู่ในใจของพวกเขา แต่หลังจากที่จวินอู๋เสียชี้ให้ดู ความคิดที่ไม่น่าเชื่ออย่างหนึ่งก็เกิดขึ้นในใจพวกเขา!
“อย่าบอกข้านะว่า เจ้าเข้าใจและเรียนรู้วิธีกระตุ้นพลังวิญญาณชั่วคราวจากประโยคสั้นๆ แค่ประโยคเดียวนี่จริงๆ…” เฉียวฉู่ทำตาโต สีหน้าของเขาทั้งตกใจและไม่อยากจะเชื่อ
ประโยคนั้นอาจจะพูดความจริงแต่มันก็คลุมเครือมาก พวกเขาเองยังไม่สามารถเข้าใจเคล็ดวิชากระตุ้นพลังวิญญาณให้เพิ่มขึ้นชั่วคราวจากมันได้เลย ความจริงพวกเขาไม่ได้เชื่อมโยงพวกมันเข้าด้วยกันเลยแม้แต่น้อย!
จวินอู๋เสียพยักหน้า และทุกคนก็พากันอ้าปากค้าง
พวกเขาต่างมองจวินอู๋เสียด้วยสีหน้าตกตะลึงราวกับกำลังมองดูสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัว
“ตอนที่ข้าทำการพัฒนาทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณก่อนหน้านี้ ข้าได้ค้นคว้าการแปลงพลังวิญญาณอยู่ช่วงหนึ่ง แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์นัก แต่ข้าก็เข้าใจพื้นฐานเป็นอย่างดี ดังนั้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ข้าได้วิเคราะห์ถึงความหมายของพลังวิญญาณที่ลุกไหม้ และคิดหาวิธีแปลงพลังวิญญาณที่ลุกไหม้ไปสู่พลังวิญญาณขั้นสีม่วง” จวินอู๋เสียพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย ตลอดช่วงนั้นนางไม่ได้ออกจากบ้านหินเลยสักครั้ง
นอกจากรักษาใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะแล้ว ตัวนางเองก็พยายามทำให้พลังวิญญาณลุกไหม้อย่างต่อเนื่องในทุกๆ วัน
ในที่สุดวันนี้เองนางก็ทำสำเร็จ เมื่อพลังวิญญาณบรรลุถึงขั้นสีม่วง นางก็รู้สึกแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกของการยืนอยู่ในจุดสูงสุดของพลังวิญญาณ ที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าของนางยกระดับขึ้น เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้และคำใดๆ ก็ไม่อาจใช้บรรยายได้อย่างถูกต้อง
และเพราะอย่างนั้นนางจึงตรวจจับได้ว่ามีคนแอบย่องเข้ามาที่บ้านหิน นางเปิดประตูออกดูและก็เห็นเฉียวฉู่และคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่นั่น
เสียงของจวินอู๋เสียสงบนิ่งและไม่เร่งรีบ แม้ว่าเสียงเบาๆ ของนางจะเหมือนทะเลสาบที่สงบนิ่ง แต่สำหรับคนอื่นๆ ที่ได้ฟัง มันเหมือนกับพายุเฮอริเคนที่เขย่าจิตใจของพวกเขา!
แค่คำพูดที่คลุมเครือไม่ชัดเจนประโยคเดียว นางก็สามารถเข้าใจความสามารถที่มหัศจรรย์ที่สุดของสามโลกชั้นกลางได้อย่างสมบูรณ์แบบอย่างนั้นหรือ
นั่นมันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
ทุกคนรู้ว่าจวินอู๋เสียนั้นฉลาดมาก แต่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าความฉลาดของนางนั้นจะน่าตกใจได้ถึงขั้นนี้
ตอนที่ 680 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (5)
วิธีที่พวกเขาใช้กระตุ้นพลังวิญญาณนั้น แม้แต่พวกเขาเองที่เป็นคนจากสามโลกชั้นกลางก็ยังไม่เข้าใจมันอย่างสมบูรณ์ พวกเขาสามารถใช้มันได้ก็จริง แต่ก็เป็นในฐานะความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด และถ้าจะให้พวกเขาวิเคราะห์ความสามารถเฉพาะตัวนี้ และอธิบายเคล็ดวิชาทั้งหมดให้ฟังแล้วละก็ นั่นก็เป็นสิ่งที่เกินตัวสำหรับพวกเขาไปมาก
ถ้าเคล็ดวิชานั้นเข้าใจได้ง่าย เช่นนั้นช่องว่างระหว่างพลังของคนจากสามโลกชั้นกลางและสามโลกเบื้องล่างก็คงไม่ใหญ่โตอย่างนั้น!
ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มผู้เยาว์อย่างเฉียวฉู่และสหายของเขาเลย กระทั่งจะหาคนจากสิบสองตำหนักที่เข้าใจความสามารถนี้อย่างถ่องแท้ก็ยังหาได้ยาก คงจะมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น และสิบสองตำหนักก็ไม่เต็มใจที่จะใช้สิ่งนี้เป็นเหยื่อล่อคนจากสามโลกเบื้องล่างให้มาเสี่ยงชีวิตแทนพวกเขา
ยกเว้นเจ้าของบ้านหินที่พวกเขากำลังอาศัยอยู่ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเคอฉังจวีแห่งสำนักชิงอวิ๋น หรือว่าหนิงรุ่ยแห่งสำนักศึกษาเฟิงหัว พวกเขาก็ไม่ได้เรียนความสามารถนี้เลย นั่นบอกจวินอู๋เสียว่าสิบสองตำหนักไม่เต็มใจเผยแพร่ความรู้นี้สู่สามโลกเบื้องล่าง เพราะเมื่อคนจากสามโลกเบื้องล่างเริ่มเข้าใจพื้นฐานและเคล็ดวิชาและเริ่มกระจายความรู้ออกไป พลังของสามโลกเบื้องล่างก็จะเพิ่มขึ้นและช่องว่างระหว่างสามโลกก็จะแคบลง
แม้แต่สิ่งที่สิบสองตำหนักเก็บไว้เป็นความลับและไม่เต็มใจที่จะบอกต่อให้ใครรู้ จวินอู๋เสียกลับใช้เวลาเพียงไม่กี่วันแปลความหมายและเรียนรู้มันได้ทั้งหมด!
และนั่นก็เป็นแค่คำพูดคลุมเครือเพียงประโยคเดียวที่เอ่ยถึงความสามารถที่คนอื่นๆ มองข้ามไปโดยสิ้นเชิง
ถ้าทุกคนไม่ได้เดินทางมากับจวินอู๋เสียและรู้ว่าจวินอู๋เสียเป็นคนจากสามโลกเบื้องล่างอย่างไม่ต้องสงสัยแล้วละก็ พวกเขาคงเข้าใจผิดว่านางเป็นคนจากสามโลกชั้นกลางเหมือนพวกเขาไปแล้ว
สามโลกเบื้องล่างผลิตปีศาจน้อยที่มหัศจรรย์เช่นนี้ออกมาได้อย่างไร!
แม้แต่เยี่ยซาก็ยังตกใจกับความสามารถที่ไม่น่าเชื่อของจวินอู๋เสีย
“ข้าคิดว่าน้องเสียคืออัจฉริยะ ดูเหมือนว่าข้าจะคิดผิดไป เด็กคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ นางคือเทพเซียน!” เฉียวฉู่ได้แต่เจียมเนื้อเจียมตัวต่อหน้าความสามารถของจวินอู๋เสีย แค่ดูจากคำพูดที่คลุมเครือประโยคเดียว ก็สามารถตีแผ่ความลับสำคัญของความมหัศจรรย์ที่แพร่หลายในสามโลกชั้นกลางได้ และเรียนรู้มันได้ภายในเวลาไม่นาน…ในโลกใบนี้มีเพียงจวินอู๋เสียคนเดียวเท่านั้นแหละที่สามารถทำเช่นนี้ได้!
เฉียวฉู่กระซิบกระซาบกับคนอื่นๆ ทำให้จวินอู๋เสียเกิดความสงสัย
“ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ” จวินอู๋เสียคิดถึงสิ่งที่นางพูดเมื่อครู่ แต่ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร
แต่ทำไมทุกคนถึงได้มองข้าแปลกๆ แบบนั้น
หรงรั่วหัวเราะออกมาเสียงดังและส่ายหัว
“แต่ข้ายังไม่เชี่ยวชาญเลย นั่นเป็นความพยายามที่ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกของข้า เพื่อที่จะสามารถใช้มันได้เหมือนพวกเจ้าทุกคน ข้ายังต้องการเวลาอีกสักหน่อย” จวินอู๋เสียยอมแพ้ที่จะทำความเข้าใจสีหน้าแปลกๆ ของสหาย สิ่งเดียวที่อยู่ในใจนางตอนนี้ก็คือความสามารถแปลกใหม่ในการเพิ่มระดับขั้นพลังวิญญาณของนางชั่วคราว
ถ้านางทำสำเร็จละก็ ความสามารถนี้จะไม่ใช่แค่นางคนเดียวที่ได้ใช้ในสามโลกเบื้องล่างนี้
ท่านปู่ ท่านอาเล็ก กองทัพรุ่ยหลิน…หลังจากนางเชี่ยวชาญมันเป็นอย่างดีแล้ว นางจะสามารถบันทึกรายละเอียดและส่งมันไปที่จวนหลินอ๋องได้!
เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ใช้เวลาสักพักในการยอมรับว่าจวินอู๋เสียสามารถเรียนวิธีเพิ่มระดับขั้นพลังวิญญาณชั่วคราวได้รวดเร็วขนาดนั้นจริงๆ เมื่อหายจากอาการตกใจ ด้วยความที่พวกเขาทุกคนรวมตัวกันอยู่ในบ้านหินอย่างปลอดภัย และความกังวลเรื่องการหายตัวไปของจวินอู๋เสียก็ได้รับการแก้ไขแล้ว ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าและความเจ็บปวดทรมานจากอาการบาดเจ็บก็ปะทุขึ้นมาและส่งผลต่อพวกเขาอย่างรุนแรง
ในตอนนั้นเอง พวกเขาหลายคนก็ล้มลงกับพื้น พร้อมกับอ้าปากหายใจหนักหน่วงขณะที่นั่งอยู่บนพื้น
จวินอู๋เสียมองสหายทุกคนของนางที่เพิ่งแผดเสียงหัวเราะลั่นอย่างมีชีวิตชีวาเมื่อครู่ แต่จู่ๆ ก็นั่งหน้าซีดอยู่บนพื้น นางเข้าใจทันทีว่าหลายวันที่ผ่านมานี้ สิ่งที่สหายของนางประสบน่าจะแตกต่างจากสิ่งที่นางพบเจออยู่มาก
บ้านหินหยาบๆ ที่บัวหิมะมัวเมาค้นพบหลังนี้กลายเป็นสถานที่พักผ่อนและฟื้นตัวที่ดีสำหรับจวินอู๋เสีย ถึงแม้ว่าจะค่อนข้างขาดตกบกพร่องไปมาก แต่มันก็ช่วยให้อยู่ห่างจากอันตรายรอบด้านได้