ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 695 เมฆหมอกแห่งลางร้าย (2) ตอนที่ 696 เมฆหมอกแห่งลางร้าย (3)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 695 เมฆหมอกแห่งลางร้าย (2) ตอนที่ 696 เมฆหมอกแห่งลางร้าย (3)
ตอนที่ 695 เมฆหมอกแห่งลางร้าย (2) / ตอนที่ 696 เมฆหมอกแห่งลางร้าย (3)
ตอนที่ 695 เมฆหมอกแห่งลางร้าย (2)
เมื่อกู่อิ่งมาที่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณในตอนแรก เขาไม่ได้แสดงพฤติกรรมที่ผิดปกติอะไร และมักจะเข้าหากู้หลีเซิงด้วยรอยยิ้มอยู่บ่อยครั้งเพื่อสอบถามเรื่องต่างๆ มากมายเกี่ยวกับทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณ ถึงแม้กู้หลีเซิงจะไม่ชอบหนิงรุ่ย แต่เขาก็ไม่เคยปฏิเสธคำอ้อนวอนขอความช่วยเหลือด้วยรอยยิ้มของใคร กู่อิ่งทำตัวสงบเสงี่ยมและสุภาพ ดังนั้นกู้หลีเซิงจึงให้คำแนะนำแก่เขาและหลังจากนั้นก็ไม่ได้เอาใจใส่เขามากนัก ไม่กี่วันหลังจากที่กู่อิ่งได้เข้ามาเป็นศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ อาจารย์ใหญ่ฟ่านฉีก็เสียชีวิตกะทันหัน ฟ่านจิ่นถูกจับกุมในฐานะฆาตกร ถ้าเวินซินหันมาไม่ทันเวลา ฟ่านจิ่นจะคงถูกประหารชีวิตไปแล้ว
และหลังจากที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น พฤติกรรมของกู่อิ่งก็เปลี่ยนไปกลายเป็นยโสโอหังและไม่เชื่อฟังใคร ไม่แม้แต่จะยังยั้งการกระทำเลวๆ กระทั่งในสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ เขาได้ฆ่าศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณไปแล้วถึงคน
และจำนวนคนที่ตายด้วยน้ำมือเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย
ตอนนั้นเองที่กู้หลีเซิงจึงสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มที่ยิ้มอยู่เสมอผู้นี้ ความจริงแล้วเป็นปีศาจน่าสะพรึงกลัวที่หุ้มหนังแกะ
“ท่านบอกว่าใครเป็นคนช่วยฟ่านจิ่นนะ” หลังจากที่จวินอู๋เสียฟังกู้หลีเซิงพูดจบ ดวงตาของนางก็สว่างวาบขึ้นมา
“เวินซินหัน ผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติของสำนักศึกษาเฟิงหัว เขาถูกเชิญมาที่นี่เป็นการส่วนตัวโดยอาจารย์ใหญ่ฟ่านฉีเอง ข้าไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาก็โผล่มาที่นี่ในเวลานั้นพอดี แต่เป็นโชคดีที่เขาอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในสำนักศึกษาเฟิงหัวจะเลวร้ายไปได้ถึงขั้นไหน แต่ก็แปลกนะ เดิมทีเวินซินหันเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีคราม แต่ตอนที่เขากลับมาที่นี่ คราวนี้เขากลายเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีม่วงไปแล้ว นั่นทำให้ทุกคนตกใจมากจริงๆ” กู้หลีเซิงอธิบายเพิ่มเติม
“เวินซินหัน…” จวินอู๋เสียหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด ชื่อนี้นางเคยได้ยินมาก่อน ในคณะผู้ติดตามที่เป็นยอดฝีมือระดับสูงของฉินอวี่เยียน มีคนผู้หนึ่งที่ใช้ชื่อนี้ไม่ใช่หรือ และตอนนั้น ด้วยคำพูดของจวินเสี่ยน จวินอู๋เสียจึงให้เม็ดยาแก่เวินซินหันเพื่อขอให้เขาไปจากการต่อสู้
ไม่คิดเลยว่าหลังจากผ่านมานาน นางจะได้พบกับเวินซินหันที่นี่อีกครั้ง!
จวินอู๋เสียอดถามเรื่องเกี่ยวกับเวินซินหันเพิ่มเติมไม่ได้
กู้หลีเซิงไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรจวินอู๋เสีย เขาจึงบอกนางทุกอย่างที่เขารู้
แม้ว่าเวินซินหันจะอยู่ที่นี่ แต่เขาก็ไม่ต้องการก้าวก่ายเรื่องอื่นๆ ในสำนักศึกษาเฟิงหัว แต่เนื่องจากความเป็นสหายของเขากับฟ่านฉี เขาจึงต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตของฟ่านจิ่นเอาไว้เท่านั้น เขาไม่ต้องการให้ตัวเองไปเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นๆ อีก
“ถ้าบอกว่าฟ่านฉีถูกฟ่านจิ่นฆ่าตาย ข้าจะไม่มีวันเชื่อเรื่องนั้นเลย เจ้าเด็กฟ่านจิ่นนั่นมีหัวใจที่ซื่อสัตย์จริงใจและมีคุณธรรม เขาไม่สามารถทำเรื่องที่ไร้สำนึกผิดชอบชั่วดีเช่นนั้นได้แน่” กู้หลีเซิงถอนหายใจอย่างจนปัญญา ถ้านี่เป็นสำนักศึกษาเฟิงหัวอย่างเหมือนเช่นเมื่อก่อน เขาอาจจะสามารถเข้าไปพูดอะไรได้บ้าง แต่ตอนนี้ การที่กู่อิ่งปรากฏตัวที่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณบ่อยๆ ทำให้กู้หลีเซิงเป็นกังวลว่า ถ้าเขาก้าวออกไปจากพื้นที่นี้โดยทิ้งที่นี่ไว้ไม่มีคนดูแล กู่อิ่งจะไม่ลังเลที่จะสังหารหมู่ศิษย์ทุกคนในสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ
กู้หลีเซิงเคยเห็นความบ้าคลั่งและโหดเหี้ยมอำมหิตของกู่อิ่งมาแล้ว เขาจึงไม่สงสัยแม้แต่น้อยเลยว่ากู่อิ่งสามารถทำเช่นนั้นได้
กู้หลีเซิงถูกจำกัดอิสระ การเคลื่อนไหวของเขาถูกกู่อิ่งตรวจสอบอย่างละเอียด
จวินอู๋เสียเงียบไปครู่หนึ่ง ในใจของนางกำลังพิจารณาเบาะแสทั้งหมดที่นางรวบรวมได้
ตอนแรกนางก็รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด จากนิสัยของหนิงรุ่ย หลังฆ่าฟ่านฉีแล้ว เขาย่อมไม่ปล่อยฟ่านจิ่นให้รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ กู่อิ่งเป็นคนโหดร้ายอำมหิต การฆ่าคนอีกสักคนนั้นง่ายเหมือนปอกกล้วย ทั่วทั้งสำนักศึกษาเฟิงหัวก็ไม่มีใครพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของกู่อิ่งได้เลย มันจึงไม่น่าเป็นงานยากสำหรับเขาในการประหารชีวิตฟ่านจิ่น แล้วทำไมหนิงรุ่ยถึงปล่อยให้ฟ่านจิ่นยังมีชีวิตอยู่…
ในที่สุดจวินอู๋เสียก็เข้าใจ
เป็นเพราะเวินซินหันนี่เอง!
ในเวลาเกือบร้อยปีที่ผ่านมา มีเพียงผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติหนึ่งเดียวคนนี้เท่านั้นที่ทะลวงเข้าสู่ขั้นสีม่วงที่แท้จริงได้ เขาทำแผนของหนิงรุ่ยและกู่อิ่งพังพินาศ พลังที่ไม่ธรรมดาของเวินซินหัน ทำให้พวกเขาลงมือทำอะไรโดยไม่ระวังไม่ได้!
ตอนที่ 696 เมฆหมอกแห่งลางร้าย (3)
แม้ว่าคนในสามโลกชั้นกลางจะมีความสามารถในการยกระดับพลังวิญญาณให้ขึ้นถึงขั้นสีม่วงได้ชั่วคราว แต่มันก็ยังมีความแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับพลังวิญญาณขั้นสีม่วงที่แท้จริง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่กู่อิ่งไม่อยากปะทะกับเวินซินหันตรงๆ
“มีทางที่ข้าจะเข้าพบเวินซินหันหรือไม่” จวินอู๋เสียถามขึ้นช้าๆ
“แค่ตอนที่กู่อิ่งไม่อยู่เท่านั้น ข้าถึงจะออกไปจากที่นี่ได้ ข้าเคยออกไปจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณมาแล้วครั้งหนึ่ง ในตอนที่ข้าไม่อยู่นั้น เขาฆ่าศิษย์ของข้าไปสองคน เด็กพวกนั้นอยู่กับข้ามานาน และนับถือข้าเป็นอาจารย์ของพวกเขามาตลอด ข้ารู้สึกใจสลายจริงๆ ที่พวกเขาต้องมาตายอย่างไร้เหตุผลด้วยน้ำมือของกู่อิ่ง” กู้หลีเซิงตอบ
“ข้าจะดึงเขาออกไปเอง ท่านจะได้ออกไปหาเวินซินหัน ไปบอกเขาว่าคนจากจวนหลินอ๋องอยากพบเขา และขอให้เขามาที่ห้องทำงานของท่านตอนเที่ยงวันพรุ่งนี้” จวินอู๋เสียพูดพลางมองไปที่กู้หลีเซิง
ตอนนี้นางต้องการแน่ใจว่าฟ่านจิ่นยังปลอดภัยก่อนที่นางจะลงมือขั้นต่อไป
“เจ้าจะดึงตัวเขาออกไป แต่…มันไม่อันตรายเกินไปหน่อยหรือ” กู้หลีเซิงถามพลางมองจวินอู๋เสียอย่างเป็นห่วง
จวินอู๋เสียส่ายหน้า นางอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกู่อิ่ง แต่นางไม่ลืมว่าตัวเองยังมีเยี่ยซา เยี่ยซารับรองว่าเขาสามารถจัดการกู่อิ่งได้ จวินอู๋เสียจึงไม่จำเป็นต้องคิดอะไรอีก
“ก็…ได้…” ในที่สุดกู้หลีเซิงก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม ถึงแม้เขาไม่รู้ว่าจวินอู๋เสียนั้นตั้งใจจะทำอะไร แต่เสียงในใจของเขาก็ร้องบอกเขาว่า เขาจะไม่ผิดพลาดหากทำตามจวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียไม่พูดอะไรกับกู้หลีเซิงอีกเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูไหวตัว นางออกจากห้องทำงานอย่างรวดเร็วและพบกู่อิ่งกำลังมองมาที่นางพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
“เสร็จแล้วหรือ” กู่อิ่งถามพร้อมเลิกคิ้วขึ้น
จวินอู๋เสียมองเขานิ่งๆ และถามว่า “เจ้าอยากเรียนทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณใช่หรือไม่”
กู่อิ่งยิ้มและตอบว่า “ใช่แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะมาที่นี่ทำไม”
“ก็ได้ ข้าจะสอนเจ้า” จวินอู๋เสียพูดและเดินลงบันไดไปทันที กู่อิ่งมองตามแผ่นหลังของจวินอู๋เสีย รอยยิ้มแปลกๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเขาก่อนจะก้าวเท้าตามไป
กู้หลีเซิงยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองดูจวินอู๋เสียเดินนำกู่อิ่งออกไปนอกสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ เมื่อเห็นกู่อิ่งจากไปแล้ว กู้หลีเซิงก็รู้สึกตัวว่าเขาได้กำหมัดแน่นอยู่นาน ฝ่ามือของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
หลังจากแน่ใจว่ากู่อิ่งไปแล้วและจะไม่กลับมาอีกสักพัก กู้หลีเซิงก็รีบเดินออกไปจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ ก่อนที่จะออกไปเขาไม่ลืมสั่งศิษย์ทุกคนในสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณว่าอย่าพูดให้ใครฟังเด็ดขาดว่าเขาออกไปข้างนอก เขาสั่งทุกคนให้กลับเข้าไปในตึกและอย่าเดินเพ่นพ่านมากนัก
พวกลูกศิษย์หวาดกลัวกู่อิ่งขนาดหนัก กู้หลีเซิงเป็นที่พึ่งพิงเดียวของพวกเขา ดังนั้นคำสั่งของกู้หลีเซิงจึงถูกปฏิบัติตามเป็นอย่างดี
ฟ่านจิ่นถูกขังอยู่ในห้องของตัวเอง และห้องของเวินซินหันก็อยู่ข้างๆ ห้องเขา เนื่องจากฟ่านจิ่นตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่ากระทำอาชญากรรมร้ายแรงด้วยการฆ่าท่านอาจารย์ใหญ่ ศิษย์ทุกคนในชั้นนั้นจึงถูกย้ายออกจากที่นั่น เมื่อกู้หลีเซิงไปที่นั่นจึงไม่มีใครอยู่สักคน ศิษย์ทุกคนต่างอยู่ในชั้นเรียนของตัวเอง
จากความทรงจำของเขา กู้หลีเซิงเดินมาที่ประตูที่อยู่ตรงกลางชั้นสาม เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเคาะประตู
ประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว ชายชราคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีขาวทั้งศีรษะปรากฏตัวขึ้นตรงหน้ากู้หลีเซิง ถึงแม้เส้นผมของเขาจะกลายเป็นสีขาวหมดแล้ว ชายชราคนนั้นก็ไม่มีท่าทีอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของเขายังคงแหลมคมอย่างน่าตกใจ
“เจ้าคือ…” เวินซินหันมองคนอายุน้อยกว่าที่ดูคุ้นๆ ตรงหน้า และพยายามนึกว่าเขาเป็นใคร
กู้หลีเซิงรีบตอบว่า “ข้าคือกู้หลีเซิงจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณขอรับ ข้าได้รับมอบหมายให้มาแสดงความเคารพแก่ผู้อาวุโสเวิน ท่านผู้อาวุโสโปรดให้ข้าเข้าไปพูดคุยข้างในด้วยเถอะขอรับ”
เวินซินหันขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาพูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ไม่ว่าใครจะมอบหมายให้เจ้ามาก็ช่าง ข้าไม่สนใจเรื่องของสำนักศึกษาเฟิงหัว” ทันทีที่พูดจบ เวินซินหันก็ทำท่าจะปิดประตูอย่างรวดเร็ว