ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 725 ตบหน้าครั้งที่แปด (6) ตอนที่ 726 ตบหน้าครั้งที่แปด (7)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 725 ตบหน้าครั้งที่แปด (6) ตอนที่ 726 ตบหน้าครั้งที่แปด (7)
ตอนที่ 725 ตบหน้าครั้งที่แปด (6) / ตอนที่ 726 ตบหน้าครั้งที่แปด (7)
ตอนที่ 725 ตบหน้าครั้งที่แปด (6)
สิ่งที่ฟ่านจัวพูดทำให้หนิงรุ่ยถึงกับอ้าปากค้าง!
เป็นความจริง พ่อลูกสกุลฟ่านนั้นมีหน้าตาที่มีเสน่ห์น่ามอง แต่ถึงหน้าตาของฟ่านฉีกับฟ่านจัวจะหล่อเหลาทั้งคู่ แต่รูปหน้าของพวกเขาก็แตกต่างกัน ฟ่านจิ่นเสียอีกที่ดูเหมือนฟ่านฉีมากมาตั้งแต่เด็กแล้ว
และด้วยเรื่องนั้น หนิงรุ่ยจึงเคยสงสัยอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ฟ่านฉีก็ทำเป็นเรื่องขำขันและปัดเรื่องนั้นทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ
หนิงรุ่ยเข้าใจฟ่านฉีดี และรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่ชอบโกหก รวมกับที่เขาเชื่อว่าคงไม่มีใครงี่เง่าเอาลูกคนอื่นมาเรียกเป็นลูกตัวเองแล้วให้ลูกตัวเองแสดงสถานะเป็นบุตรบุญธรรมแทนหรอก
หนิงรุ่ยรู้สึกว่าคงไม่มีคนสติดีที่ไหนทำเรื่องแบบนั้น ดังนั้นเขาจึงไม่เคยสงสัยคำพูดของฟ่านฉีเลยสักครั้ง
แต่เขาลืมไปหนึ่งอย่าง ศิษย์พี่ของเขาเป็นคนที่มีคุณธรรมมากยิ่งกว่ามาก ในสถานการณ์พิเศษบางอย่าง เขาอาจจะสามารถทำสิ่งที่สุดโต่งได้
คำพูดของฟ่านจัวทำให้ทุกคนกระจ่างขึ้นมา พวกเขาพลันนึกขึ้นได้ว่าฟ่านจิ่นนั้นคล้ายกับฟ่านฉีมากจริงๆ ขณะที่ฟ่านจัวไม่ได้เหมือนฟ่านฉีเลยสักนิด
ฟ่านจัวพูดต่อไปว่า “ตอนนั้นครอบครัวของข้าตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก พวกเขาถูกฆ่าตาย ส่วนข้าโชคดีมากที่ได้พบกับท่านพ่อบุญธรรมที่เก็บข้ามาเลี้ยง ข้าอ่อนแอและป่วยอยู่เสมอ ท่านพ่อสงสารที่ข้ายังเล็กและอ่อนแอมาก ถ้าข้าถูกเรียกว่าเป็นเด็กที่เก็บมาเลี้ยง ท่านพ่อกลัวว่าข้าจะถูกรังแก จึงตกลงกับบุตรชายแท้ๆ ของเขาและประกาศว่าฟ่านจิ่นเป็นเด็กที่ถูกรับมาเลี้ยง ขณะที่เด็กที่ไม่ได้มีสายโลหิตเดียวกับเขาเลยได้กลายเป็นบุตรชายแท้ๆ ของเขา ตลอดหลายปีมานี้ ท่านพ่อปฏิบัติกับข้าเหมือนบุตรชายของเขาเอง และพี่ใหญ่ก็รู้มาตลอดว่าข้าเอาสถานะที่เป็นของเขาโดยชอบธรรมไป แต่เขาก็ไม่เคยบ่นเลยสักคำและคอยดูแลข้าอยู่เสมอ เพราะอย่างนั้นข้าจึงไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงอยากจะฆ่าท่านพ่อเพื่อแย่งชิงตำแหน่งที่เป็นของเขามาตั้งแต่แรกแล้ว ท่านอาหนิง ท่านช่วยไขความกระจ่างให้แก่ข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าทำไม”
คำอธิบายของฟ่านจัวทำให้หนิงรุ่ยอับจนคำพูด เขาอยากโต้แย้งเพื่อยืนยันคำพูดของเขามาก
แต่พอฟ่านจัวเปิดเผยสถานะที่แท้จริงของเขากับฟ่านจิ่นต่อหน้าทุกคน หนิงรุ่ยก็พบว่าความผิดที่เขาโยนให้ฟ่านจิ่นกลายเป็นเรื่องตลกเหลวไหลครั้งใหญ่!
ถ้าฟ่านจิ่นรู้ว่าเขาเป็นบุตรชายแท้ๆ ของฟ่านฉี เช่นนั้นไม่ว่าฟ่านจัวจะมีสุขภาพอ่อนแอหรือแข็งแรงก็ไม่มีผลอะไรเลย อย่างไรเขาก็คือผู้สืบทอดตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาเฟิงหัวอยู่ดี! และนั่นก็หมายความว่าฟ่านจิ่นไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องฆ่าฟ่านฉีด้วย!
หนิงรุ่ยยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ ศิษย์และอาจารย์ทุกคนเริ่มรวมกลุ่มกระซิบกระซาบกัน เสียงกระซิบกับสายตาสงสัยของทุกคนพุ่งตรงไปยังหนิงรุ่ย
เป็นครั้งแรกที่หนิงรุ่ยรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจที่ถูกสายตาแหลมคมของผู้คนมากมายจับจ้องมองมา มันรู้สึกเหมือนกับว่าสายตาพวกนั้นทะลุทะลวงร่างกายเขาจนเป็นรู สร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมานให้เขา!
“เจ้าต้องการเหตุผลในการฆ่าหรือ ถึงจะเป็นพ่อลูกกัน แต่ทะเลาะกันด้วยอารมณ์โกรธแค่คำเดียวก็เป็นเหตุให้ฆ่ากันโดยไม่ตั้งใจได้แล้ว ใช่หรือไม่เล่า” กู่อิ่งที่ยืนเงียบอยู่ด้านหนึ่งพูดขึ้นทันควัน เขากอดอกและเชิดหน้าเล็กน้อย ดูไม่สะเทือนใดๆ กับคำพูดของฟ่านจัวเลยแม้แต่น้อย
ฟ่านจัวหันไปมองกู่อิ่ง ภายใต้สีหน้าสงบนิ่งใจเย็นของเขา ซุกซ่อนคลื่นโทสะที่เชี่ยวกรากอยู่ภายใน
นี่คือคนที่ฆ่าบิดาของเขา!
“ไม่ว่ามันจะเป็นการฆ่าโดยไม่เจตนาหรือเป็นการใส่ร้าย ข้าไม่คิดว่าเจ้าอยู่ในฐานะที่จะตัดสินได้นะ” ฟ่านจัวโต้กลับ
“เรามีพยานที่เห็นกับตาของเขาเองเลยว่าพี่ชายของเจ้ายังถืออาวุธสังหารที่ฆ่าบิดาของเจ้าเอาไว้ในมือ มีเพียงพี่ของเจ้ากับฟ่านฉีที่อยู่ในห้องหนังสือตอนนั้น ถ้าไม่ใช่เขา แล้วจะเป็นใคร” กู่อิ่งพูดยิ้มๆ
หนิงรุ่ยพลันได้สติและดึงตัวกงเฉิงเหล่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างมาตรงหน้าฟ่านจัวทันที
“และผู้ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นก็คือท่านอากงของเจ้าเอง!”
ตอนที่ 726 ตบหน้าครั้งที่แปด (7)
ฟ่านจัวมองไปที่กงเฉิงเหล่ยอย่างสงบนิ่ง ตอนแรกที่จวินอู๋เสียพบว่ามีคนวางยาในอาหารของเขา ทั้งพี่ใหญ่และเขาก็รู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น แต่ไม่มีใครสงสัยกงเฉิงเหล่ยเลย กงเฉิงเหล่ยเป็นหนี้บุญคุณฟ่านฉีที่ช่วยชีวิตเขาไว้ กงเฉิงเหล่ยติดตามอยู่ข้างกายท่านพ่อมาตั้งแต่เด็ก เขาจงรักภักดีมาตลอด ขนาดฟ่านจัวที่ฉลาดเฉลียวก็ยังไม่เคยสงสัยกงเฉิงเหล่ยว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเลยสักครั้ง
ถ้าพวกเขาไม่ได้พบกับอาจิ้งอีกครั้ง ถ้าอาจิ้งไม่ได้เห็นสีหน้าของกงเฉิงเหล่ยตอนนั้น ฟ่านจัวก็คงมองว่าเขาเป็นท่านลุงที่น่ารักน่านับถือต่อไป
แต่ตอนนี้…
ฟ่านจัวยิ้ม รอยยิ้มอ่อนโยนนั้นนุ่มนวลราวแสงจันทร์ เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผู้คนไม่อาจเกลียดได้ลง
“แล้วท่านอากงเฉิงเห็นอะไรหรือ”
กงเฉิงเหล่ยตัวเกร็งขณะที่มองไปยังฟ่านจัว เขาคิดว่าเรื่องทั้งหมดจบลงแล้ว และเขาไม่ต้องทำอะไรอีก ไม่คิดว่าหนิงรุ่ยจะผลักเขาออกมาในช่วงที่คับขันเช่นนี้ เขาไม่มีทางเลือกนอกจากบังคับให้ตัวเองเล่าเรื่องซ้ำอีกครั้ง “วันนั้นข้ากำลังยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกห้อง แล้วก็ได้ยินเสียงอาจารย์ใหญ่กับคุณชายใหญ่ทะเลาะกัน ตอนแรกข้าแค่คิดว่าพวกเขาคงมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง และไม่ได้สนใจอะไรมากนัก จนกระทั่งข้าได้กลิ่นเลือด ข้าถึงได้รู้ตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตอนที่ข้าพุ่งเข้าไปในห้อง อาจารย์ใหญ่ก็หยุดหายใจไปแล้ว ข้าเห็นคุณชายใหญ่ยืนถือดาบเปื้อนเลือดอยู่ในห้อง…”
รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าของฟ่านจัว
“ท่านอากง ท่านอยู่กับท่านพ่อข้ามากี่ปีแล้วนะ”
กงเฉิงเหล่ยชะงักและลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “มากกว่าสิบปีแล้ว…”
“มากกว่าสิบปี…ข้าจำได้ว่าก่อนที่จะมีพี่ใหญ่กับข้า และก่อนท่านพ่อของข้าจะแต่งงาน ท่านก็อยู่ข้างกายท่านพ่ออยู่แล้วนี่” ฟ่านจัวเตือนให้นึกถึงอดีต
กงเฉิงเหล่ยไม่ตอบ รู้สึกแค่ว่ามือกับเท้าของเขาเย็นเฉียบ
“ข้าคิดอยู่เสมอว่าท่านอาจงรักภักดีต่อท่านพ่อ ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้ามองคนได้แย่จริงๆ” ฟ่านจัวพูดพร้อมกับถอนใจ
กงเฉิงเหล่ยตกใจ เขาหันไปมองหนิงรุ่ยอย่างตื่นตระหนก หนิงรุ่ยขมวดคิ้ว จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าการกลับมาของฟ่านจัวจะทำให้แผนการของเขาพังพินาศ
“เสี่ยวจัว เจ้าพูดอะไรน่ะ เจ้าไม่รู้นิสัยของอากงของเจ้าหรือไง เขาอยู่กับบิดาเจ้ามานาน เคยหรือไม่ที่เขาจะแสดงความไม่ภักดีออกมา เจ้าอาจจะยังยอมรับการกระทำอันไร้มนุษยธรรมของพี่ชายเจ้าไม่ได้ แต่มันก็คือเรื่องจริง” หนิงรุ่ยรีบพูดแทรกขึ้นมา ตอนที่ฟ่านจัวเปิดเผยสถานะที่แท้จริงของฟ่านจิ่นเมื่อครู่ ก็ทำให้ความน่าเชื่อถือของข้อกล่าวหาที่เขาโยนให้ฟ่านจิ่นต้องสั่นคลอนอย่างมากแล้ว ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป คนที่ฉลาดสักหน่อยย่อมต้องรู้สึกถึงความน่าสงสัยได้ในไม่ช้า
ในเมื่อทุกคนพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว หนิงรุ่ยจึงต้องการให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็ว
ฟ่านจัวยังคงยิ้ม เขามองใบหน้าซีดเผือดของหนิงรุ่ยและสังเกตเห็นปากของหนิงรุ่ยกระตุกอย่างประสาทเสีย ก่อนที่จะพูดช้าๆ ว่า “ท่านลุงหนิงกำลังบอกว่าข้าจะบิดเบือนความจริงที่เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ ก็น่าสนใจดีนะขอรับ ท่านอากงบอกว่าตอนนั้นมีแค่พี่ใหญ่กับท่านพ่ออยู่ในห้อง และเขายืนเฝ้าอยู่ข้างนอกตลอดเวลา ไม่มีใครเข้าไปใกล้ที่นั่นเลย จนกระทั่งท่านพ่อของข้าถูกฆ่าตายแล้วเขาถึงสังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นใช่หรือไม่”
เมื่อไม่สามารถระบุได้ว่าฟ่านจัวตั้งใจจะโต้เถียงไปในทิศทางไหน หนิงรุ่ยจึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ
ฟ่านจัวหัวเราะเบาๆ ร่างสูงเพรียวของเขาหันไปทางพระอาทิตย์ตก ดวงตาของเขาหรี่ลงจากแสงจ้านั้น เขามองไปที่รถม้าที่จอดอยู่หน้าประตูใหญ่สำนักศึกษาเฟิงหัว แล้วเปล่งเสียงออกมาอย่างชัดเจนว่า
“พี่ใหญ่ เรื่องนี้ท่านจะว่าอย่างไรหรือขอรับ”
คำว่า ‘พี่ใหญ่’ แค่สองคำของฟ่านจัว ราวกับสายฟ้าฟาดตรงเข้าที่หัวใจของหนิงรุ่ยกับกงเฉิงเหล่ย!
ทั้งสองคนหันไปจ้องรถม้าตรงหน้าเขม็ง ในโลกนี้คนเพียงคนเดียวที่ฟ่านจัวเรียกขานว่า ‘พี่ใหญ่’ ไม่น่าจะเป็นคนอื่นไปได้นอกจากบุรุษผู้นั้น!