ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 793 สำนักศึกษาเฟิงหัวฟื้นคืนชีพอีกครั้ง (2) ตอนที่ 794 สำนักศึกษาเฟิงหัวฟื้นคืนชีพอีกครั้ง (3)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 793 สำนักศึกษาเฟิงหัวฟื้นคืนชีพอีกครั้ง (2) ตอนที่ 794 สำนักศึกษาเฟิงหัวฟื้นคืนชีพอีกครั้ง (3)
ตอนที่ 793 สำนักศึกษาเฟิงหัวฟื้นคืนชีพอีกครั้ง (2) / ตอนที่ 794 สำนักศึกษาเฟิงหัวฟื้นคืนชีพอีกครั้ง (3)
ตอนที่ 793 สำนักศึกษาเฟิงหัวฟื้นคืนชีพอีกครั้ง (2)
ในตอนที่จวินอู๋เสียก้าวออกจากห้อง โรงเตี๊ยมตำหนักเซียนก็แออัดไปด้วยผู้คนมากมาย ฮวาเหยาและคนอื่นๆ ถูกล้อมเบียดเสียดอยู่กลางฝูงคน สีหน้าของพวกเขาดูหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
“คุณหนูคุณชายขอรับ! ข้ามาจากเมืองฟ้าประจิม ไม่ทราบว่าพวกท่านมีข้อเรียกร้องหรือปรารถนาสิ่งใดหรือไม่ เมืองฟ้าประจิมจะจัดเตรียมทุกสิ่งให้พวกท่านอย่างดีที่สุด!” ชายรูปร่างกำยำแข็งแรงคนหนึ่งถามขึ้นพร้อมกับผายมือออกกว้างด้วยท่าทางเชื้อเชิญ
“ข้ามาจากตำหนักบุปผาเขียว! ถ้าท่านใดสนใจเข้าร่วม…”
“ข้า…”
“…”
ฝูงชนยัดเยียดเบียดเสียดกันเข้ามาขวางเส้นทางหลบหนีทั้งหมดของคนทั้งห้า ผู้คนต่างแย่งชิงกันดึงความสนใจของพวกเขา
ฟ่านจิ่นที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งอาจารย์ใหญ่คนปัจจุบันก็ถูกไล่ตามด้วยเช่นกัน คำชวนจากตระกูลและสำนักที่มีอำนาจมากมายทั่วแผ่นดินราวกับห่าฝนในพายุ หลังศึกประลองภูติวิญญาณรอบแรก โรงเตี๊ยมตำหนักเซียนที่เคยเงียบเชียบไม่มีคนก็กลายเป็นสถานที่ยอดนิยมในการมาเยือนมากที่สุดในเมืองหลวงรัฐเหยียน และบันไดหน้าประตูก็ถูกผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนเหยียบขึ้นมาจนแทบจะพัง
“ไม่สน! ให้พวกเราผ่านไปเสียทีได้หรือไม่!” ใบหน้าของเฉียวฉู่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ พวกเขารอมาทั้งวันก่อนที่การประลองรอบแรกของพวกเขาจะจบลง และตั้งตารอคอยอย่างมีความสุขที่จะกลับไปพักผ่อนสนทนาและบ่นนู่นนี่กับสหายที่โรงเตี๊ยมตำหนักเซียน ใครจะรู้ว่าแค่พวกเขาก้าวเข้ามาในโรงเตี๊ยมตำหนักเซียนมันก็เป็นแบบนี้ พวกเขายังไม่ทันไปถึงห้องของตัวเองด้วยซ้ำก็พบว่าตัวเองถูกคนพวกนี้ปิดล้อมเอาไว้หมดจนไปไหนไม่ได้ กระทั่งจะเขยิบเท้าไปทางอื่นยังทำไม่ได้เลย
ถ้าพวกเขาไม่คิดว่านี่คือชื่อเสียงที่สำนักศึกษาเฟิงหัวต้องการในตอนนี้ พวกเขาจะปลดปล่อยพลังทั้งหมดแล้วไล่ทุกคนออกจากที่นั่นในทันที
จวินอู๋เสียประหลาดใจมากที่เห็นผู้คนจำนวนมากตรงหน้า นางไม่รู้ว่าฮวาเหยาและคนอื่นๆ ได้ทำเรื่องใหญ่โตแค่ไหนในตอนที่พวกเขาแสดงพลังที่ศึกประลองภูติวิญญาณ เมื่อนางเห็นว่าฝูงชนที่ล้อมรอบฮวาเหยาและคนอื่นๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จวินอู๋เสียก็ก้าวถอยหลังไปเงียบๆ สองก้าวอย่างฉลาด นางตัวเล็กอยู่แล้ว และความสนใจของผู้คนก็อยู่ที่เฉียวฉู่และคนอื่นๆ จนหมด จึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามี ‘ผู้หลบหนี’ ไปได้อีกคนหนึ่ง
จวินอู๋เสียล่าถอยกลับเข้ามุมที่เงียบสงบกว่าเล็กน้อย นางกอดอกมองเฉียวฉู่กับพรรคพวกที่ดูหงุดหงิดอยู่ในฝูงชนอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ทุกท่าน! ศิษย์สำนักศึกษาเราเพิ่งประลองรอบแรกเสร็จ พวกเขาต้องการพักผ่อน! ถ้าพวกท่านอยากพูดอะไร บอกกับข้าได้ แต่ขอให้พวกท่านอย่ารบกวนการพักผ่อนของศิษย์สำนักศึกษาเราเลย” เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ฟ่านจิ่นจึงทำได้เพียงเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนมาที่ตัวเขาแทน
เมื่อคำพูดพวกนั้นหลุดออกมา ฝูงชนที่กระเหี้ยนกระหือรือก็หันไปทางฟ่านจิ่นทันที พวกเขาพยายามตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่าจะยื่นข้อเสนอให้พวกลูกศิษย์โดยตรงดี หรือปรึกษาเรื่องนี้กับฟ่านจิ่นจะเหมาะสมกว่า
ในตอนที่ทุกคนยังคิดไม่ตกว่าจะเลือกอะไรอยู่นั้น เฉียวฉู่ก็สังเกตเห็นจวินอู๋เสียที่หลบมุมอยู่ เมื่อเขาเห็นว่าจวินอู๋เสียพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย เขาก็ปลดปล่อยพลังวิญญาณในรูปเปลวไฟสีน้ำเงินออกมาทันที!
ผู้คนที่รายล้อมพวกเขาอยู่ถอยหลังทันควัน ไม่มีใครกล้าทำให้ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีน้ำเงินโกรธ
เมื่อพวกเขาเห็นเฉียวฉู่และสหายแสดงสีหน้าหงุดหงิดอย่างแรง ฝูงชนก็รีบกรูเข้าไปหาฟ่านจิ่นอย่างรวดเร็ว
“อาจารย์ใหญ่ฟ่านจิ่น ขอสนทนาด้วยหน่อยนะขอรับ”
ฟ่านจิ่นยิ้มอย่างขมขื่นและพยักหน้าอย่างจนปัญญา เขาโบกมือให้เฉียวฉู่และคนอื่นๆ อย่างสิ้นหวังแล้วเดินนำฝูงชนไปยังห้องโถงใหญ่ที่ชั้นหนึ่ง ยอมรับชะตากรรมของตัวเองแต่โดยดี
“สวรรค์โปรดเถิด! ข้าเกือบจะตายอยู่แล้ว” เมื่อฝูงชนสลายตัวไป เฉียวฉู่ก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ เมื่อคิดย้อนไปในตอนที่เขาถูกรุมล้อมเมื่อครู่และถูกมองว่าเป็นของรางวัลชิ้นใหญ่ก็ทำให้เขาขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ตอนที่ 794 สำนักศึกษาเฟิงหัวฟื้นคืนชีพอีกครั้ง (3)
เฟยเยียนและคนอื่นๆ ก็นั่งลงด้วยสีหน้าหงุดหงิดรำคาญใจเช่นกัน
“พวกเจ้าทุกคนชนะแบบถล่มทลายเลยล่ะสิ” จวินอู๋เสียเดินช้าๆ มาหยุดตรงหน้าคนอื่นๆ ดูจากสถานการณ์ในโรงเตี๊ยมตำหนักเซียนแล้ว นางเดาได้เลยว่าเฉียวฉู่และคนอื่นๆ ทำได้ดีแค่ไหนในการประลอง
การที่ทำให้ตระกูลและสำนักที่มีอำนาจทั้งหลายจากทั่วแผ่นดินเปลี่ยนความคิดที่มีต่อสำนักศึกษาเฟิงหัวได้เพียงแค่ครึ่งวัน นอกจากการที่เฉียวฉู่และคนอื่นๆ บดขยี้คู่ต่อสู้คว้าชัยชนะในการประลองไปได้ ก็ไม่มีอย่างอื่นที่เป็นไปได้แล้ว
เฉียวฉู่สูดลมหายใจเข้าใจลึกและยกตราบนหน้าอกขึ้นมา ก่อนจะพูดพร้อมกับฉีกยิ้มว่า “ไม่ใช่แค่ถล่มทลาย แต่ไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็จบเสียแล้ว ยังไม่ทันได้ขยับเท่าไรเลย”
พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะเหยียดหยามคู่ต่อสู้ แต่คู่ต่อสู้ของพวกเขาอ่อนแอเกินไปจริงๆ พวกเขายังไม่ทันได้แสดงความสามารถอะไรเลย
คู่ต่อสู้ทุกคนที่เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ประลองด้วยมีทั้งผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีแดงและสีส้ม ระดับขั้นพลังวิญญาณของพวกเขาแตกต่างกันมากเกินไป ต่อให้ไม่ได้ใช้ความสามารถในการกระตุ้นพลังวิญญาณชั่วคราว พวกเขาก็ยังสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในเสี้ยววินาที
“แต่พูดจริงๆ นะ…ต้องมาสู้กับคนของสามโลกเบื้องล่างกะทันหันแบบนี้ ข้าไม่ชินเลยจริงๆ” เฟยเยียนพูดขึ้นพลางมองมือของตัวเอง ที่สำนักศึกษาหงส์อมตะ เยี่ยนปู้กุยไม่อนุญาตให้พวกเขาต่อสู้กับคนของสามโลกเบื้องล่างอย่างเด็ดขาด แม้ว่าคนจากสามโลกชั้นกลางจะพึ่งพาวิธีการกระตุ้นระดับขั้นพลังวิญญาณชั่วคราวทำให้ขึ้นไปถึงระดับขั้นสีม่วงเป็นหลัก แต่วิธีที่ใช้ในการบ่มเพาะพลังที่แตกต่างกันทำให้คนจากสามโลกชั้นกลางรุดหน้าไปได้เร็วกว่า ซึ่งผลที่ออกมาทำให้พวกเขาที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิดอยู่แล้วสามารถเอาชนะคนของสามโลกเบื้องล่างไปได้สวยงามและขาดลอย
ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนพวกเดียวที่เฟยเยียนและคนอื่นๆ ต่อสู้ด้วยส่วนใหญ่ก็คือคนจากสามโลกชั้นกลางหรือศัตรูที่อายุมากกว่าและมีระดับพลังที่สูงแล้ว แต่ครั้งนี้พวกเขาได้เผชิญหน้ากับผู้เยาว์ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และระดับพลังของพวกนั้นก็…พวกเขาไม่รู้จะใช้คำไหนออกมาบรรยาย… นอกจากคำว่า ‘กระจอกจนน่าสมเพช’
“ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน ข้าคิดว่าเราอยู่กับน้องเสียนานไปหน่อย ก็เลยลืมความแตกต่างระหว่างสามโลกเบื้องล่างกับสามโลกชั้นกลาง! ข้าเอาแต่คิดว่าทั้งสองโลกก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ แต่ตอนนี้ดูจะชัดเจนแล้ว เราไม่ได้เข้าใจผิดไปเองเรื่องความแตกต่างของสามโลกหรอก แต่เป็นเพราะน้องเสียนั่นแหละที่ทำลายขอบเขตทั้งหมดแล้วทำให้เราเข้าใจผิด”
เฉียวฉู่พูดพร้อมกับยกมือเท้าคาง แล้วมองจวินอู๋เสียอย่างอยากรู้อยากเห็น
ถ้าความเร็วในการบ่มเพาะพลังวิญญาณของพวกเขาจัดได้ว่าเร็วละก็ เช่นนั้นสัตว์ประหลาดอย่างน้องเสียก็พูดได้ว่า ‘บ้าคลั่ง’ และ ‘ไม่ปกติ’ เท่านั้น นางเป็นเด็กตัวเล็กๆ จากสามโลกเบื้องล่างชัดๆ แต่ความก้าวหน้าของนางนั้นรวดเร็วกว่าพวกเขาเสียอีก!
ถ้าไม่ใช่เพราะศึกประลองภูติวิญญาณในวันนี้ พวกเขาก็คงจะคิดว่ามาตรฐานพลังในสามโลกเบื้องล่างเป็นแบบจวินอู๋เสียจริงๆ
การประลองในวันนี้ทำให้พวกเขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าช่องว่างระหว่างสามโลกเบื้องล่างและสามโลกชั้นกลางนั้นมากมายเพียงใด และในเวลาเดียวกัน…ก็ตระหนักด้วยว่าจวินอู๋เสียเป็นปีศาจที่เกินจะจินตนาการได้มากขนาดไหน!
“เจ้าเป็นคนของสามโลกเบื้องล่าง นี่ถ้าเจ้าเกิดในสามโลกชั้นกลาง ป่านนี้เจ้าไม่พยายามจะทะลวงเข้าสู่ขั้นสีม่วงไปแล้วหรือ” เฉียวฉู่ร้องออกมาด้วยความทึ่งยิ่งขึ้นไปอีกกับพลังอันน่าตกใจของจวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียมองเฉียวฉู่แล้วพูดนิ่งๆ ว่า “ภูติวิญญาณข้าแตกต่างจากคนทั่วไปนะ”