ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 831 ขอโทษที ถึงตาข้าบ้างแล้ว (6) ตอนที่ 832 ขอโทษที ถึงตาข้าบ้างแล้ว (7)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 831 ขอโทษที ถึงตาข้าบ้างแล้ว (6) ตอนที่ 832 ขอโทษที ถึงตาข้าบ้างแล้ว (7)
ตอนที่ 831 ขอโทษที ถึงตาข้าบ้างแล้ว (6) / ตอนที่ 832 ขอโทษที ถึงตาข้าบ้างแล้ว (7)
ตอนที่ 831 ขอโทษที ถึงตาข้าบ้างแล้ว (6)
มันยังเป็นเวลาเช้าอยู่ ถนนใหญ่ในเมืองหลวงของรัฐเหยียนจึงเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินผ่านไปมา และเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูก็ดังขึ้นจากในกลุ่มคนที่พลุกพล่านจอแจ ผู้คนจากทุกสารทิศต่างมองตรงไปยังต้นเสียง
พวกเขาเห็นชายหนุ่มใบหน้าซีดขาวคนหนึ่งกำลังกรีดร้องโหยหวนพลางตะเกียกตะกายฝ่าฝูงชน
เสียงร้องไห้วิงวอนที่ดังออกจากปากของชายหนุ่มคนนั้น ทำให้ผู้คนบนถนนต่างชะงักค้างอยู่กับที่ด้วยความตกใจและประหลาดใจ
ดูจากหน้าตาและอาภรณ์ที่ชายหนุ่มคนนั้นสวมใส่แล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขันในศึกประลองภูติวิญญาณ ทุกคนต่างสงสัยว่าทำไมจู่ๆ ชายหนุ่มคนนี้ถึงมาปรากฏตัวที่นี่พร้อมกับกรีดร้องด้วยถ้อยคำที่น่าตกใจให้คนมากมายบนถนนได้ยิน
ศึกประลองภูติวิญญาณอันยิ่งใหญ่มักจะดึงดูดความสนใจของทุกคนในเมืองหลวงในทุกๆ ปี และเรื่องที่เกิดขึ้นในศึกประลองภูติวิญญาณปีนี้นั้น ผู้คนย่อมต้องเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างไม่มากก็น้อย
เพื่อปกป้องศิษย์คนหนึ่งจากสำนักศึกษาเฟิงหัว องค์รัชทายาทได้แอบบังคับให้ศิษย์จากสำนักศึกษาอื่นถอนตัวออกจากการแข่งขัน และข่าวลือพวกนั้นก็ได้กระจายไปทั่วทุกมุมของเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว
แต่สิ่งที่ชายหนุ่มคนนี้พูดนั้น…ได้กระตุ้นความสงสัยในใจของผู้คนที่อยู่บนถนนให้เพิ่มมากขึ้น
เมื่อบุรุษที่ไล่ตามจ้าวซวินเห็นเขาวิ่งเข้าไปในฝูงชนพร้อมทั้งกรีดร้องและพ่นคำพูดพล่อยๆ ออกมา ใบหน้าของเขาก็มืดครึ้มลงทันที บุรุษชุดดำที่เพิ่งก้าวตามหลังมาก็แทบจะหมดสติไปด้วยความโกรธอย่างถึงที่สุดเมื่อได้ยินสิ่งที่จ้าวซวินโพล่งออกมา
ไอ้โง่บัดซบนั่นมันมาพูดอะไรตรงนี้!
“จัดการปิดปากมันเดี๋ยวนี้! อย่าให้มันพูดอะไรส่งเดชออกมาอีก!” บุรุษชุดดำโกรธจนหน้าซีด! เขาไม่เคยคิดฝันว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจนทำให้เรื่องบานปลายเกินควบคุมถึงขนาดนี้ ฝูงชนแออัดยัดเยียดกันอยู่บนถนนและเสียงของจ้าวซวินก็ดังแสบหู ตอนนี้คนจำนวนมากได้ยินคำพูดพวกนี้แล้ว ผลลัพธ์ของมันจะออกมาเป็นอย่างไร!
บุรุษหลายคนกระโจนเข้าใส่จ้าวซวินที่อยู่กลางถนนทันทีพร้อมกับดาบในมือ พวกเขาต้องการจัดการกับจ้าวซวินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ไม่รู้ว่าทำไม เด็กหนุ่มที่ดูตื่นตระหนกและกลัวจนลนลานถึงได้ลื่นอย่างกับปลาไหล เขาเคลื่อนผ่านผู้คนที่เบียดเสียดอยู่บนถนนอย่างคล่องแคล่ว ทำให้ผู้ที่ไล่ตามไม่มีโอกาสเข้าใกล้เขาได้เลย แถมปากของเขาก็ยังกรีดร้องอยู่ตลอดเวลา พ่นถ้อยคำบัดซบพวกนั้นใส่พวกเขา!
เหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงแค่สิบกว่านาทีเท่านั้น ร่างของจ้าวซวินก็หายไปท่ามกลางฝูงชน ส่วนคนที่ไล่ตามมาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปพร้อมกับความเดือดดาล
แต่การไล่ตามอย่างไม่ปรานีของพวกเขาก็ไม่พ้นสายตาของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่บนถนน และด้วยคำพูดที่จ้าวซวินกรีดร้องออกมาขณะที่หลบหนี การคาดเดาแปลกๆ ก็เกิดขึ้นและแพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว
และเมื่อได้ยินการคาดเดานั้น ผู้คนจากเขตประลองที่หนึ่งก็สร้างทฤษฎีสมคบคิดขึ้นทันทีที่การแข่งขันในวันนี้จบลง!
เด็กหนุ่มที่คู่ต่อสู้ของเขาสละสิทธิ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็ได้ต่อสู้แล้วในวันนี้ และการต่อสู้นั้นเองที่เขาได้แสดงพลังอันน่าเหลือเชื่อและน่าตกใจ…พลังวิญญาณขั้นสีเขียว!
ด้วยพลังอันเหนือชั้นของจวินอู๋เสีย ทำให้พวกชอบสอดรู้สอดเห็นเริ่มคิดกันว่าสถานการณ์มันแปลกๆ พลังขนาดนี้ไม่มีความจำเป็นเลยที่เด็กคนนี้จะต้องลอบทำเรื่องอัปยศเช่นนั้น!
ขณะที่ทุกคนกำลังงุนงงอยู่นั้นเอง ข่าวอีกข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วราวกับไฟป่า
ในเช้าวันเดียวกันนั้นเอง ผู้คนได้พบเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเครื่องแบบของสำนักศึกษาสุรบุปผาถูกไล่ฆ่าอยู่บนถนนใหญ่ในเมืองหลวง! และชายหนุ่มที่ถูกตามล่านั้นกรีดร้องอ้อนวอนอยู่ตลอดเวลา จากคำพูดอ้อนวอนของเขาได้บอกถึงข่าวสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง!
การสละสิทธิ์ของคู่ต่อสู้คนก่อนๆ ของจวินอู๋เสียไม่ได้เป็นฝีมือขององค์รัชทายาท แต่เป็นคนอื่นที่ไปข่มขู่คู่ต่อสู้ของจวินอู๋เสียและบังคับให้พวกเขาสละสิทธิ์ แล้วโยนความผิดไปให้องค์รัชทายาท
เมื่อนำข่าวที่น่าตกใจทั้งสองนี้มาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ภาพทั้งหมดก็ถูกเปิดเผยออกมาและแพร่กระจายไปราวกับไฟป่าที่ถูกลมแรงโหมกระหน่ำนำพาข่าวนี้ไปยังทุกซอกทุกมุมในเมืองหลวงของรัฐเหยียน!
ตอนที่ 832 ขอโทษที ถึงตาข้าบ้างแล้ว (7)
ในเมืองหลวงของรัฐเหยียน ผู้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะสูงในห้องทรงพระอักษรก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน พระพักตร์ของพระองค์ซีดเผือดไร้สีเลือด ขณะที่ทรงทอดพระเนตรมองบุรุษชุดดำที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าโต๊ะทรงพระอักษรของพระองค์ พระองค์ก็โกรธจนพระพักตร์เขียวคล้ำและกำพระหัตถ์เข้าหากันแน่น ข่าวเพิ่งมาถึง และที่อยู่บนม้วนกระดาษคือบันทึกเหตุการณ์ในวันนี้ ข่าวลือและกระแสลมในเมืองหลวงได้เปลี่ยนไปแล้ว!
“ไหนว่าจัดการทุกอย่างได้เป็นอย่างดีแล้วอย่างไรเล่า หืม” ฮ่องเต้หรี่พระเนตรลง ทรงปาม้วนกระดาษใส่หน้าของบุรุษชุดดำอย่างแรง!
บุรุษชุดดำยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นนิ่ง ไม่กล้าพูดโต้ตอบอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“เราสั่งให้เจ้าไปทำงานให้สำเร็จ แล้วเจ้ามัวไปทำอะไรอยู่ห๊ะ นี่มันหมายความว่าอย่างไร นี่อะไร ทำไมศิษย์ของสำนักศึกษาสุรบุปผาถึงไปโผล่ที่ศึกประลองภูติวิญญาณ แถมเจ้าเด็กที่ชื่อจวินเสียนั่นก็แสดงพลังวิญญาณขั้นสีเขียวออกมาอีก นั่นไม่ใช่การบอกทุกคนหรอกหรือว่าคำโกหกทั้งหมดก่อนหน้านี้เป็นแค่เรื่องตลก แล้วปล่อยให้ความจริงถูกเปิดเผยออกมาไม่พอ ไอ้พวกลูกน้องปัญญาอ่อนของเจ้าทำบ้าอะไรหลังจากนั้น คนทั้งกลุ่มปล่อยให้ศิษย์สำนักศึกษาสุรบุปผาไปวิ่งบ้าคลั่งอยู่กลางถนนพ่นเรื่องเหลวไหลพวกนั้นออกมาได้อย่างไร! พวกเจ้าคิดว่าเรายังมีเรื่องปวดหัวไม่พอหรือ พวกเจ้าทำให้เรื่องมันยิ่งอื้อฉาวมากขึ้นไปอีก!” ฮ่องเต้ประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้ประทับ ทรงสูดพระปัสสาสะเข้าอย่างแรงด้วยความโกรธอย่างมหาศาลที่กำลังเดือดพล่านอยู่ภายใน ดวงเนตรสีแดงก่ำของพระองค์ จ้องเขม็งตรงไปยังบุรุษชุดดำที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงพื้นเบื้องหน้า
บุรุษชุดดำตัวแข็งทื่อ เขาก้มศีรษะลงต่ำมากยิ่งขึ้น
“เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของกระหม่อมเอง กระหม่อมไม่คิดว่าศิษย์จากสำนักศึกษาสุรบุปผาจะกลับคำพูดกะทันหันแบบนั้น กระหม่อมส่งคนออกไปสืบหาที่อยู่ของจ้าวซวินแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถ้าเราเจอตัวเขาเมื่อไร เขาจะต้องเสียใจแน่”
หลังจากจ้าวซวินก่อความวุ่นวายขึ้นในเมืองหลวงแล้ว เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เพื่อที่จะจับตัวจ้าวซวินกลับมา พวกเขาจึงไปเฝ้าอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมที่พักของสำนักศึกษาสุรบุปผา แต่หลังจากรออยู่ทั้งคืน พวกเขาก็ไม่เห็นวี่แววของจ้าวซวินเลย เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องบานปลายมากไปกว่านี้ พวกเขาจึงทำได้เพียงส่งคนออกค้นหาตัวจ้าวซวินทั่วเมืองหลวงอย่างลับๆ แต่หลังจากออกค้นหาไปทั่วเมืองหลวง พวกเขาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของจ้าวซวินเหมือนกับว่าเจ้านั่นหายตัวไปจากโลกใบนี้แล้ว
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาตัวจ้าวซวินให้เจอ!” ฮ่องเต้หรี่พระเนตรลง ทรงสะกดกลั้นโทสะในพระทัยลงไป “อีกอย่าง เราทำเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว พลังของจวินเสียถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ถ้าเรายังขืนทำต่อ ก็มีแต่จะถูกหัวเราะเยาะ ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีเขียวจะต้องการความช่วยเหลือเช่นนั้นจากเหลยเชิน”
ในที่สุดฮ่องเต้ก็ทรงพระมัตถลุงค์โล่งพอจะคิดอะไรได้ สำนักศึกษาเฟิงหัวกลายเป็นจุดสนใจในเขตประลองหลายเขต พระองค์เองก็เคยได้ยินมาบ้างแต่ไม่คิดว่าผู้เข้าแข่งขันที่อายุน้อยที่สุดจากสำนักศึกษาเฟิงหัวจะมีพลังที่น่ากลัวเช่นนั้นด้วย
“พ่ะย่ะค่ะ” บุรุษชุดดำตอบรับ
ฮ่องเต้สูดพระปัสสาสะเข้าลึก “สถานการณ์ของสำนักศึกษาเฟิงหัว เกินกว่าที่เราคาดเอาไว้ในตอนที่พวกเขาสนิทสนมกับองค์รัชทายาท ในเมื่อไม่มีทางที่เราจะใช้ประโยชน์จากคนของสำนักศึกษาเฟิงหัวเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์อื่นได้แล้ว อย่างนั้นเราก็พยายามดึงพวกผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์สูงพวกนั้นให้มาเป็นพวกของเราแทน” ฮ่องเต้ตรัสก่อนจะหยุดไป สีพระพักตร์ที่โกรธเคืองของพระองค์หายไปแล้ว ขณะที่ริมพระโอษฐ์ฉายรอยยิ้มเอ็นดู
“ช่วงนี้ลูกฝานอยู่แต่ในวัง น่าจะออกไปผ่อนคลายบ้างสักเล็กน้อย เขาควรใช้ประโยชน์จากศึกประลองภูติวิญญาณที่ยังแข่งกันอยู่ไปคลุกคลีกับคนเก่งๆ จากสำนักศึกษาต่างๆ บ้าง เผื่อจะได้เลือกคนเก่งๆ มาอยู่ข้างกายคอยคุ้มครองเขาได้ในอนาคต”
เมื่อตรัสถึงองค์ชายสี่ แววพระเนตรของฮ่องเต้ก็อ่อนโยนขึ้นมาก
“แล้วเรื่องขององค์รัชทายาท…” บุรุษชุดดำถามอย่างระมัดระวัง
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้บึ้งตึงขึ้นมาทันที “ให้เรื่องมันซาลงก่อน รอจนกว่าจะตัดสินสิบคนสุดท้ายในศึกประลองภูติวิญญาณค่อยดำเนินการต่อ เจ้ากับคนของเจ้าเพิ่งจะก่อเรื่องวุ่นวายขึ้น ถ้าขืนยังทำต่อจะทำให้เกิดความสงสัยโดยไม่จำเป็นขึ้นมา”