ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 865 ผู้มาเยือนจากเมืองพันอสูร (4) ตอนที่ 866 ผู้มาเยือนจากเมืองพันอสูร (5)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 865 ผู้มาเยือนจากเมืองพันอสูร (4) ตอนที่ 866 ผู้มาเยือนจากเมืองพันอสูร (5)
ตอนที่ 865 ผู้มาเยือนจากเมืองพันอสูร (4) / ตอนที่ 866 ผู้มาเยือนจากเมืองพันอสูร (5)
ตอนที่ 865 ผู้มาเยือนจากเมืองพันอสูร (4)
สยงป้าไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาด่าว่าหมอหลวงหลี่ เขาพุ่งไปที่ข้างเตียงของชวีหลิงเย่ว์ทันที เมื่อเห็นใบหน้าเล็กๆ ที่คุ้นเคยนั้นดูเปราะบางและอ่อนแอมาก หัวใจของเขาก็เจ็บปวด
หัวหน้าตึกทุกคนเฝ้าดูชวีหลิงเย่ว์เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กสาวที่น่ารักมาตั้งแต่ยังเล็ก ตอนที่เจ้าเมืองยุ่งกับงานของเมือง ชวีหลิงเย่ว์ตัวน้อยก็มักจะมาอยู่ในความดูแลของเหล่าหัวหน้าตึก แม้ว่านางจะมีสถานะสูงกว่าพวกเขา แต่พวกเขาก็ปฏิบัติต่อชวีหลิงเย่ว์เสมือนคนในครอบครัว เมื่อเห็นชวีหลิงเย่ว์อยู่ในสภาพนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนเตียง นอกจากสยงป้าจะรู้สึกเจ็บปวดใจแล้ว ความไม่พอใจคนของสำนักศึกษาธงศึกและรัฐเหยียนก็ตีขึ้นไปจนเกือบจะถึงจุดเดือด
“เจี่ยงอิงหลง! เราส่งคุณหนูใหญ่ของเราให้สำนักศึกษาธงศึกดูแล แล้วนี่คือสิ่งที่เจ้าทำกับนางเรอะ! คุณหนูใหญ่ของเราไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้มาก่อน นางไม่ได้สติมาหลายวันแล้วด้วย! ข้าหวังว่าสำนักศึกษาธงศึกจะมีคำอธิบายที่ดีนะ” สยงป้าพูดด้วยความโกรธ
ใบหน้าของเจี่ยงอิงหลงขมขื่น เขารีบอธิบายว่า “ท่านหัวหน้าตึกสยงใจเย็นๆ ก่อนขอรับ เหตุการณ์นี้เป็นอุบัติเหตุจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่เราป้องกันได้เลยนะขอรับ กฎของศึกประลองภูติวิญญาณก็แค่ให้เอาชนะคู่ต่อสู้เท่านั้น ใครจะรู้ว่าศิษย์จากสำนักศึกษาเฟิงหัวจะโจมตีใส่คู่แข่งอย่างโหดร้ายแบบนั้น! พวกเราก็เจ็บปวดเหมือนท่านนะขอรับที่เห็นนางตกอยู่ในสภาพนี้”
ด้วยความกลัวว่าความโกรธของเมืองพันอสูรจะมาลงที่สำนักศึกษาธงศึก เจี่ยงอิงหลงจึงโยนความผิดทั้งหมดไปที่จวินอู๋เสียในทันที
“ใครทำร้ายคุณหนูใหญ่ของเรานะ!” สยงป้าตะโกนถาม
เจี่ยงอิงหลงรีบตอบว่า “ศิษย์ของสำนักศึกษาเฟิงหัวชื่อจวินเสียขอรับ”
“สำนักศึกษาเฟิงหัว” ชายหนุ่มจากเมืองพันอสูรเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ใช่ว่าสถานการณ์ของสำนักศึกษาเฟิงหัวปีนี้แตกต่างไปแล้วหรือ พวกเขายังสามารถหาคนในสำนักศึกษาที่สามารถเอาชนะคุณหนูใหญ่ของเราได้อีกหรือ”
ถึงแม้ชวีหลิงเย่ว์จะอายุน้อยอยู่ แต่นางก็ได้เป็นถึงอันดับสูงสุดในศึกประลองภูติวิญญาณของสำนักศึกษาธงศึก ในสามสุดยอดสำนักศึกษานั้น คนที่สามารถต่อสู้กับชวีหลิงเย่ว์ได้อย่างสูสีมีอยู่ไม่กี่คน และยิ่งคนที่สามารถเอาชนะนางได้นั้นยิ่งหายากเข้าไปใหญ่
ข่าวเรื่องภาวะตกต่ำของสำนักศึกษาเฟิงหัวนั้นแพร่กระจายไปไกล จึงยากที่จะเชื่อว่าสำนักศึกษาเฟิงหัวที่อยู่ในสภาพนั้นจะยังสามารถส่งคนที่สามารถเอาชนะชวีหลิงเย่ว์มาลงแข่งได้อีก
“สิ่งที่ข้าพูดอาจจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่ถ้าพวกท่านไปถามคนในเมืองหลวงรัฐเหยียน ท่านก็จะพบว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริง! สำนักศึกษาเฟิงหัวส่งคนเข้าร่วมการแข่งขันในปีนี้แค่หกคนเท่านั้น และทั้งหกคนนั้นต่างก็มีพลังในระดับที่น่าตกใจ! ห้าคนในนั้นมีพลังวิญญาณถึงขั้นสีน้ำเงินแล้ว และทุกคนอายุแค่สิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น! ส่วนคนที่ทำร้ายชวีหลิงเย่ว์คือจวินเสีย คนที่เด็กที่สุดในกลุ่มคนพวกนั้น ถึงแม้เขาจะอายุแค่สิบห้าปี แต่พลังวิญญาณของเขาก็ขึ้นไปถึงระดับขั้นสีเขียวแล้ว!”
ตอนที่ได้ยินคำพูดของเจี่ยงอิงหลง ทั้งชายหนุ่มและสยงป้าต่างทำสีหน้าเหลือเชื่ออย่างถึงที่สุด พวกเขาใช้เวลาหลายปีในการบ่มเพาะพลัง ย่อมรู้ดีว่ามันยากเย็นแค่ไหนที่จะทำให้พลังวิญญาณก้าวหน้าไปได้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าผู้เยาว์จากสำนักศึกษาเฟิงหัวพวกนั้นอายุเท่าไร ต่อให้อายุมากกว่านี้สักสองสามเท่า มันก็ยังยากที่จะบรรลุถึงขั้นนั้นอยู่ดี
“เป็นความจริงหรือ” ชายหนุ่มคนนั้นถามอย่างตกใจ
เจี่ยงอิงหลงพยักหน้า “จริงขอรับ ข้าไม่กล้าหลอกลวงพวกท่านหรอก ถ้าท่านหัวหน้าตึกสยงไม่เชื่อข้า ก็ไปถามใครก็ได้ในเมืองหลวงดูเลยขอรับ แล้วท่านจะรู้ว่าที่ข้าพูดน่ะเป็นความจริง”
สยงป้าและชายหนุ่มคนนั้นสบตากัน แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจและประหลาดใจ
อายุเพียงเท่านั้นกลับมีพลังวิญญาณถึงขั้นนั้นแล้ว เรื่องนี้มันเกินกว่าที่พวกเขาเคยรับรู้มาทั้งชีวิตเกี่ยวกับการบ่มเพาะพลังวิญญาณ ทั่วแผ่นดินนี้นับตั้งแต่โบราณกาลมามีกี่คนกันที่สามารถบรรลุถึงระดับขั้นที่น่าตกใจขนาดนี้ได้ตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้
ตอนที่ 866 ผู้มาเยือนจากเมืองพันอสูร (5)
“เป็นผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีเขียวแล้วอย่างไร ใครสน! มันคิดว่าตัวมันเป็นใคร! กล้ามาทำร้ายคุณหนูใหญ่ของเราเช่นนี้ เมืองพันอสูรไม่ปล่อยมันไปง่ายๆ แน่!” สยงป้าพูดขึ้น
เจี่ยงอิงหลงลอบถอนใจอย่างโล่งอกและพูดขึ้นว่า “ถูกต้องขอรับ เจ้าจวินเสียนั่นจบไม่สวยแน่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือรักษาอาการบาดเจ็บของชวีหลิงเย่ว์ก่อน”
สยงป้าพยักหน้า สายตากวาดมองไปยังคนที่เมื่อครู่ยังพูดคุยกับหมอคนอื่นๆ อย่างสนุกสนาน หมอหลวงหลี่
“หมอของรัฐเหยียนนั้นไร้ความสามารถ เราไม่คาดหวังอะไรจากพวกเขานักหรอก เมืองพันอสูรจะใช้หมอของเราเอง” พูดจบสยงป้าก็หันไปทางชายชราผมขาวข้างๆ และพูดกับอีกฝ่ายอย่างเคารพนบนอบว่า “ท่านผู้อาวุโสเฟิงโปรดช่วยคุณหนูใหญ่ของเราด้วยเถิดขอรับ”
ชายชราพยักหน้า “นั่นเป็นจุดประสงค์ในการมาที่นี่ของชายแก่คนนี้อยู่แล้ว หัวหน้าตึกสยงวางใจเถิด ข้าจะทำทุกอย่างที่สามารถทำได้”
หมอหลวงหลี่มองชายชราคนนั้น ในใจเต็มไปด้วยความระแวง เมื่อสยงป้าเรียกชายชราคนนั้นว่าผู้อาวุโสเฟิง คำพูดคัดค้านที่จ่อรออยู่ที่ปลายลิ้นของหมอหลวงหลี่ก็ถูกกลืนกลับลงไปในคอทันที
ในช่วงเวลาปัจจุบันนี้ หมอที่มีชื่อเสียงที่สุดทั่วทั้งโลกนั้น นอกจากสำนักชิงอวิ๋นที่จู่ๆ ก็ระเหยหายไปในอากาศราวกับไอน้ำแล้ว ยังมีหมอมหัศจรรย์อยู่อีกหยิบมือหนึ่งกระจายกันไป คนพวกนี้ใช้ชีวิตอย่างกับพวกฤๅษี อาศัยอยู่ตามป่าเขาลึกเป็นเวลานานหลายปี แทบจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน แต่ผู้คนก็ไม่เคยลืมเลือนความสามารถทางด้านการแพทย์อันมหัศจรรย์ของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะเทียบเคียงกับสำนักชิงอวิ๋นในด้านการหลอมโอสถไม่ได้ แต่ความรู้และความสามารถในการรักษาของพวกเขาก็ทิ้งห่างพวกหมอมืออาชีพไปไกลจนไม่เห็นฝุ่น
และในจำนวนนี้ มีคนที่ถูกยกย่องให้เป็นหมอเทวดาอยู่สามคน หนึ่งในนั้นชื่อว่าเฟิงเย่ว์หยาง ว่ากันว่าเขาเริ่มอ่านตำราแพทย์ตั้งแต่ยังเด็กมากๆ และมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มเท่านั้น สุดท้ายเมื่ออายุมากขึ้นเขาก็เร้นตัวเข้าไปอยู่ในภูเขา แต่เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วนี่เอง มีคนที่อ้างตัวว่าเป็นหนึ่งในสามหมอเทวดาเข้าร่วมกับเมืองพันอสูรและกลายเป็นหมอประจำเมืองพันอสูร
หมอหลวงหลี่นั้นมักจะหยิ่งยโสอยู่เสมอ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเฟิงเย่ว์หยาง เขาก็ไม่กล้าแสดงทีท่าอวดดีไม่เคารพออกมาเลยแม้แต่น้อย
“ข้าเพิ่งรู้ว่าเป็นท่านผู้อาวุโสเฟิงนี่เองที่อยู่ต่อหน้าข้า ผู้น้อยได้ยินชื่อเสียงด้านการแพทย์อันมหัศจรรย์ของท่านมานาน โชคดีเหลือเกินที่ได้พบท่านในวันนี้ เป็นเกียรติของผู้น้อยยิ่งนัก” หมอหลวงหลี่สุภาพขึ้นมาทันที เขาโค้งตัวลงต่ำเพื่อทำการคารวะต่อเฟิงเย่ว์หยาง
เฟิงเย่ว์หยางชำเลืองมองเขาแล้วพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปที่ข้างเตียงของชวีหลิงเย่ว์เพื่อจับชีพจรให้นาง ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องก็พากันเงียบกริบ ไม่มีใครกล้ารบกวนเฟิงเย่ว์หยางขณะที่ทำการตรวจรักษา หมอหลวงหลี่ลอบมองไปที่จวินอู๋เสียที่ยืนอยู่ด้านหลังเหลยเชิน รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
สีหน้านั้นดูเหมือนจะบอกว่ายัยหนูน้อยอย่าได้หวังจะเทียบเคียงกับหมอเทวดาเฟิงเย่ว์หยางเลย
ครู่ต่อมา เฟิงเย่ว์หยางก็ขมวดคิ้ว เขาหันไปเผชิญหน้ากับทุกๆ คน สยงป้าทั้งร้อนใจทั้งกังวลใจ เขาถามขึ้นว่า “ท่านผู้อาวุโสเฟิง คุณหนูใหญ่ของเราบาดเจ็บตรงไหนหรือ อาการหนักหรือไม่ ท่านผู้อาวุโสเฟิงจะสามารถ…”
เฟิงเย่ว์หยางยกมือขึ้นเพื่อหยุดคำถามแบบรัวไม่หยุดของสยงป้า
“ท่านหัวหน้าตึกสยงอย่าเพิ่งรีบร้อน ข้าแน่ใจในอาการของคุณหนูใหญ่แล้ว ตอนนี้ข้าต้องถามหมอคนอื่นๆ ก่อน ขอให้ท่านหัวหน้าตึกสยงสงบใจลงก่อนเถิด”
สยงป้าทำอะไรไม่ได้นอกจากถอยไปยืนด้านข้างอย่างเงียบๆ สายตายังเต็มไปด้วยความกระวนกระวายและวิตกกังวล
“ในช่วงที่ผ่านมานี้ พวกท่านทุกคนเป็นคนรักษาคุณหนูใหญ่ของเราใช่หรือไม่” เฟิงเย่ว์หยางถามขึ้น มองตรงไปที่หมอหลวงหลี่กับหมอคนอื่นๆ
หมอทั้งกลุ่มพยักหน้าอย่างรวดเร็ว พวกเขาทุกคนได้ยินชื่อของเฟิงเย่ว์หยางมานาน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นหมอที่มีชื่อเสียง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเฟิงเย่ว์หยาง พวกเขาก็ทำได้แค่ยอมทำตามเขาอย่างเชื่อฟัง
“ท่านเอาโอสถวิเศษกับสมุนไพรทั้งหมดที่ให้กับคุณหนูใหญ่ของเราในช่วงที่ผ่านมานี้มาให้ชายแก่คนนี้ดูสักหน่อยได้หรือไม่” เฟิงเย่ว์หยางถามเสียงเบา
“ได้ขอรับ! ผู้อาวุโสเฟิงโปรดรอที่นี่สักครู่ พวกเราจะไปเอามาเดี๋ยวนี้” พวกหมอทั้งหลายรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ครู่ต่อมาก็กลับมาพร้อมกับโอสถวิเศษและสมุนไพรทั้งหมดที่พวกเขาได้ให้กับชวีหลิงเย่ว์ไปในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้