ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 89 ก็แค่เม็ดยา (3)ตอนที่ 90 ตบหน้าครั้งที่หนึ่ง (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 89 ก็แค่เม็ดยา (3)ตอนที่ 90 ตบหน้าครั้งที่หนึ่ง (1)
ตอนที่ 89 ก็แค่เม็ดยา (3)
นางกำนัลผู้นั้นมองไปที่จวินอู๋เสียด้วยสายตาว่างเปล่า สลับกับก้มมองรายการสมุนไพรยาวเหยียดบนแผ่นกระดาษในมือ นางสับสนเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าคุณหนูจวินผู้นี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่
จวินอู๋เสียเหลือบตามองนางครั้งหนึ่ง นางกำนัลตัวน้อยนางนั้นก็ขนลุกซู่รู้สึกผวาไปทั้งร่าง ขนทั้งสรรพางค์กายลุกชันด้วยสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบจากสายตาคู่นั้นที่มองมา นางรีบหันหลังกลับแล้ววิ่งออกไปจากห้องทันที
“บ่าวจะไปจัดเตรียมให้เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“นี่ข้าน่ากลัวมากถึงขนาดนั้นเชียวหรือ” จวินอู๋เสียหลังจากมองตามแผ่นหลังของนางกำนัลผู้นั้นที่วิ่งแจ้นออกไป นางก็ก้มหน้าลงแล้วถามเจ้าแมวดำที่นอนเหยียดตัวอยู่ในอ้อมแขนของนาง
“ไม่เลย เจ้าพวกนั้นมันใจเสาะไปเองต่างหาก” เมื่อไม่มีใครอยู่แถวนี้แล้ว เจ้าแมวดำก็ไม่จำเป็นต้องปิดซ่อนความสามารถในการพูดภาษามนุษย์ของมันอีกต่อไป
คนอื่นอาจไม่รู้จักจวินอู๋เสียดีว่านางมีอุปนิสัยเช่นไรกันแน่ แต่เจ้าแมวดำรู้ มันรู้ว่าเจ้านายของมันไม่ใช่ผู้ที่มีนิสัยยโสโอหัง และชอบวางตัวสูงส่งอยู่เหนือผู้อื่น นางเพียง…ไม่รู้จักวิธีการผูกมิตรกับคนรอบข้าง จึงไม่รู้ว่าจะเข้าหาผู้คนในแบบปกติได้อย่างไร
ลองนึกภาพดูว่าคนผู้หนึ่งถูกจับกักขังให้อยู่แต่ในบ้านร้างกลางป่าอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายมาตั้งแต่อายุได้เพียงหนึ่งขวบปี การจะสื่อสารกับคนทั่วไปนั้นย่อมไม่อาจทำเหมือนคนปกติได้
จวินอู๋เสียถูกกักขังให้อยู่เพียงลำพังนานถึงสามสิบปีเต็ม ในโลกของนางนั้น นอกจากตัวเองแล้ว ก็มีเพียงแค่ตำราแพทย์กองพะเนินราวกับภูเขาที่สูงใหญ่ กับอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เย็นเฉียบไร้ชีวิตเท่านั้น
ในตอนนั้น ตลอดปีทั้งปีนางพูดออกมาแทบไม่ถึงสองคำด้วยซ้ำ ยามที่เจ้าแมวดำตัวน้อยได้พบหน้าจวินอู๋เสียเป็นครั้งแรก มันเกือบเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นใบ้ หรือไม่ก็เป็นโรคที่มีความผิดปกติของสมองตั้งแต่กำเนิดจนส่งผลต่อพัฒนาการด้านการพูดและการเข้าสังคม
นางมองทุกอย่างด้วยสายตาว่างเปล่า และแววตาของนางก็ไม่มีร่องรอยของอารมณ์ใดๆ อยู่เลย
นางในวัยเด็กนั้น สามารถผ่าตัดศพของมนุษย์ที่ยังอุ่นๆ และแช่อวัยวะที่เพิ่งนำออกมาจากร่างของศพเหล่านั้นลงไปในฟอร์มาลีนได้โดยไม่มีความรู้สึกอะไรสักนิด
หลายครั้งหลายคราที่เจ้าแมวดำตัวน้อยรู้สึกว่าเจ้านายของมันเป็นเหมือนเครื่องจักรที่ไม่มีอารมณ์
จนกระทั่งนางได้สัมผัสกับความรู้สึกเกลียดชังเป็นครั้งแรก และนั่นทำให้นางเลือกตัดสินใจลงมือเผา ‘กรง’ ที่กักขังนางไว้นานปี ปลดปล่อยตัวเองสู่ความเป็นอิสระ
ท้ายที่สุดนางก็ได้รับการปลดปล่อย แต่เพราะถูกกักขังมานานกว่าสิบปีทำให้พัฒนาการด้านต่างๆ อย่างอุปนิสัยและพฤติกรรมของนางคล้ายถูกจำกัดไว้ แม้ภายหลังจากเข้าสู่สังคมแล้วนางก็ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นๆ ได้ ไม่อาจทำตัวให้กลมกลืนไปกับสังคมนั้นได้
นั่นจึงเป็นหนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมนางถึงชอบขลุกตัวอยู่แต่ในคลินิกคอยดูแลรักษาสัตว์ทั้งหลายมากกว่า
สัตว์นั้นพูดไม่ได้ และจวินอู๋เสียก็ไม่สามารถเข้าใจพฤติกรรมบางอย่างของมนุษย์ปกติทั่วไปได้ แต่นางอ่อนไหวและไวต่อความรู้สึกของบรรดาสัตว์เป็นพิเศษ จึงสามารถเข้าใจได้ว่าพวกมันเหตุใดถึงเจ็บปวดและทนทุกข์ นางรู้ว่าควรจะใช้วิธีใดช่วยเหลือพวกมัน
ในช่วงเวลานั้น จวินอู๋เสียไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดปากพูดอะไรเลย นางจึงนิ่งเงียบตลอดทั้งวัน
จนกระทั่งนางได้เข้าร่วมกับองค์กรนั่นและได้พบกับเพื่อนเพียงคนเดียวของนางที่นั่น นางก็เริ่มที่จะมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ ขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
แต่น่าเสียดายที่สวรรค์ประทานเวลาให้นางสั้นเหลือเกิน ยังไม่ทันให้นางได้เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาทั่วไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็จบสิ้นลงเสียก่อน
เจ้าแมวดำตัวน้อยเกลียดชังพวกที่มองจวินอู๋เสียเป็นเหมือนตัวประหลาดยิ่งนัก มันคิดว่าไม่ใช่เจ้านายของมันที่ผิดปกติหรอก แต่คนพวกนั้นโง่เขลาเกินกว่าจะเข้าใจและอยู่ร่วมกับเจ้านายของมันได้ อย่างที่เจ้าโจรไร้ยางอายนั่นทำเมื่อปีนั้นไม่เลวเลย นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้านายของมันไม่ได้ไร้ความรู้สึกแต่อย่างใด แต่นางไม่รู้จักวิธีแสดงออกต่างหาก
ส่วนเหตุผลน่ะหรือ…
ก็เพราะไม่เคยมีผู้ใดสอนนางอย่างไรเล่า!
ภายหลังจากที่ได้อยู่ร่วมกับพ่อลูกสกุลจวินแล้ว เจ้าแมวดำตัวน้อยเชื่ออย่างยิ่งว่าเจ้านายของมันจะต้องกลับมาสู่หนทางของคนปกติได้อย่างแน่นอน!
ใช้เวลาไม่นาน นางกำนัลที่แยกตัวออกไปเตรียมของให้จวินอู๋เสีย ก็กลับมาพร้อมกับนางกำนัลกลุ่มใหญ่และสมุนไพรจำนวนมาก เตาที่ใช้หลอมโอสถถูกจุดขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้อุณหภูมิภายในห้องปรุงยาเริ่มสูงขึ้น
จวินอู๋เสียสั่งให้ทุกคนออกไปจากห้อง จากนั้นก็หันมาคัดเลือกสมุนไพรและเริ่มจัดการกับพวกมันทั้งหมดทีละตัว นางหลุบตาลงต่ำ จดจ่อกับสิ่งที่ทำ ในขณะนั้นดูเหมือนว่านางจะได้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาสิบสามปีที่ถูกจองจำ ด้วยแววตาแบบเดียวกัน การเคลื่อนไหวของมือที่ชำนาญยิ่ง ผสมผสานรวมกันเป็นความสามารถในการปรุงยาอันน่าทึ่ง
คั้นน้ำ บด คลึง…มือที่ขาวเนียนและอ่อนนุ่มของจวินอู๋เสียเคลื่อนไหวราวกับกำลังร่ายมนตร์อยู่ และเพียงชั่วพริบตา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกจัดการอย่างถูกต้องและแม่นยำที่สุด
…………
ตอนที่ 90 ตบหน้าครั้งที่หนึ่ง (1)
เม็ดยาของโลกนี้ จะว่าไปแล้วก็มีหน้าตาคล้ายคลึงกับยาลูกกลอนแผนจีนในชาติก่อนของจวินอู๋เสียไม่น้อยเลย แม้อยู่ที่นี่นางจะไม่สามารถผลิตยาแผนตะวันตกออกมาได้ แต่การปรุงยาแผนจีนนั้นไม่คณามือนางแม้แต่น้อย
เมื่อได้เห็นเหล่าสมุนไพรถูกแปรรูปไปทีละตัวๆ เจ้าแมวดำตัวน้อยก็แกว่งหางไปมา มันรู้สึกว่าฉากตรงหน้านี้ช่างดูคุ้นเคยเหลือเกิน
ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีนั้น ไม่ใช่ว่าเจ้านายของมันก็ทำเช่นนี้มาโดยตลอดหรือ ขลุกตัวอยู่แต่ในห้องทั้งวัน หมกมุ่นอยู่กับการคัดแยกและศึกษาสมุนไพรที่กองสูงท่วมหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ภายในห้องทรงพระอักษรประจำตำหนักหลินยวน ไป๋อวิ๋นเซียนแสดงสีหน้าปั้นปึ่งไม่พอใจ ส่วนมั่วเซวี่ยนเฝ่ยและมั่วเฉี่ยนยวนก็กำลังทำสงครามน้ำลายกันอย่างดุเดือด สถานการณ์ดูเลวร้ายอย่างยิ่ง
แสงสีส้มอันอบอุ่นยามอาทิตย์อัสดงค่อยๆ ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองหลวงของรัฐ และยามเมื่อแสงนั้นทอดสะท้อนลงมาบนตำหนักที่แสนหรูหรางดงาม มันก็ประหนึ่งทิวทัศน์ในแดนสวรรค์ที่ชวนให้คนมองลุ่มหลงมึนเมา
“นี่ข้าต้องรอไปจนถึงเมื่อไหร่กัน” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ความอดทนของเขาใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
ผ่านไปแล้วนานกว่าครึ่งวัน แต่จวินอู๋เสียกลับไม่มีวี่แววว่าจะปรากฏตัวออกมาเสียที จนเขานึกระแวงว่ามั่วเฉี่ยนยวนอาจจะให้คนของตัวเองพานางไปหลบซ่อนตัวที่ไหนสักแห่งแล้ว มั่วเซวี่ยนเฝ่ยลุกขึ้นยืน ตั้งใจจะออกไปตรวจสอบดูสักหน่อย
“น้องรองนี่คือทนรอไม่ไหวแล้วหรือ” มั่วเฉี่ยนยวนเลิกคิ้วมองมั่วเซวี่ยนเฝ่ยและเอ่ยถามด้วยเสียงเย็น มุมปากของเขายกโค้งขึ้นอย่างหยามหยัน
นับตั้งแต่ที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยมีสำนักชิงอวิ๋นของไป๋อวิ๋นเซียนคอยหนุนหลัง เขาก็ยโสโอหังมากขึ้นทุกวัน ถือดีถึงขั้นเริ่มมององค์รัชทายาทอย่างเขาเป็นอากาศธาตุแล้ว!
“ที่แห่งนี้คือตำหนักหลินยวนของเสด็จพี่ ท่านจะทำสิ่งใดก็ได้ย่อมไม่มีผู้ใดรู้เห็น เพียงแต่ข้าหวังว่าเสด็จพี่ท่านจะไม่ทำให้เรื่องที่ก่อให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่เพียงเพราะเหตุผลเล็กๆ น้อยๆ ต้องรู้ไว้ก่อนว่าสำนักชิงอวิ๋นหาใช่อะไรที่พวกเราจะทำให้ขุ่นเคืองใจได้” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยกล่าว
“โอ้ กับแค่กอดชายกระโปรงของสตรี ก็ทำให้ใครบางคนถือดีได้ถึงเพียงนี้แล้วรึ” จู่ๆ น้ำเสียงราบเรียบของสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้น แม้จะฟังดูยังอ่อนวัยนัก แต่ก็ชัดเจนและหนักแน่นทุกถ้อยคำ จนคนที่ฟังประหนึ่งถูกน้ำเย็นราดลงบนศีรษะ
ที่ด้านนอกประตู ร่างระหงของจวินอู๋เสียยืนอยู่เงียบๆ ตรงนั้น แสงตะวันยามพลบค่ำที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าไป คล้ายดั่งรัศมีจางๆ ที่ล้อมรอบนางไว้ขับเน้นให้นางดูโดดเด่นราวกับนางเซียนสวรรค์ ขนสีดำสนิทของเจ้าแมวดำที่นอนอยู่บนบ่าของนางอย่างเชื่อฟังตัดกับชุดสีขาวที่นางสวมใส่ชัดเจน มือเล็กเรียวข้างหนึ่งถือขวดกระเบื้องเคลือบใบหนึ่งไว้ ฉากตรงหน้าช่างไม่สมจริงราวกับเดินออกมาจากความฝันก็มิปาน
“อู๋เสีย” มั่วเฉี่ยนยวนเรียกพลางลุกพรวดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ภายใต้แสงยามเย็นที่ตกกระทบลงมา จวินอู๋เสียงดงามเสียจนไม่อาจละสายตาไปไหนได้เลย
ความงามเช่นนี้ คล้ายกับตราประทับเหล็กร้อนที่ทาบทับลงบนหัวใจของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยจนร้อนลวกไปทั้งดวง เขาตัวสั่นเล็กน้อย ไป๋อวิ๋นเซียนที่สังเกตเห็นปฏิกิริยานั้นของเขาลอบกัดริมฝีปากสีแดงของนางเบาๆ
จวินอู๋เสียเดินเข้าไปในห้องอย่างเฉยชา วางขวดกระเบื้องเคลือบสีขาวลงบนโต๊ะ จากนั้นก็อุ้มเจ้าแมวดำตัวน้อยกลับไปนั่งที่เดิม
“ข้าคืนให้เจ้า” จวินอู๋เสียไม่ได้มองไปที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ย แต่กลับจ้องไป๋อวิ๋นเซียนตรงๆ
ไป๋อวิ๋นเซียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
มั่วเซวี่ยนเฝ่ยฟื้นคืนจากอาการตกอยู่ในภวังค์ทันที ครั้นเมื่อหันหน้ามาแล้วเห็นสายตาที่ไม่พอใจของไป๋อวิ๋นเซียน หัวใจของเขาแข็งทื่อเล็กน้อย รีบเอ่ยถามไปว่า
“นี่คือสิ่งใดกัน”
“เม็ดยาน้ำค้างหยก” จวินอู๋เสียตอบกลับไป
“…” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยมุมปากกระตุกเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดว่ามั่วเฉี่ยนยวนจะลอบพานางหนีไปแล้วเสียอีก นึกไม่ถึงเลยว่านางจะยังกล้าลอยหน้าลอยตาอยู่ตำหนักหลินยวนนี้ มิหนำซ้ำยังกล้าเอาเม็ดยาอะไรก็ไม่รู้มาหลอกว่าเป็นเม็ดยาน้ำค้างหยกอีก!
“จวินอู๋เสีย เจ้าอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อน! สิ่งนี้น่ะหรือเม็ดยาน้ำค้างหยกของเจ้า!” ต่อให้ซ้อมเขาให้ตาย มั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็ไม่มีทางเชื่อหรอกว่าจวินอู๋เสียจะหลอมเม็ดยาน้ำค้างหยกขึ้นมาได้จริงๆ
“ใช่หรือไม่ใช่ ไป๋อวิ๋นเซียนย่อมบอกได้กระมัง” จวินอู๋เสียคร้านเกินกว่าจะอธิบายให้คนอย่างเขาฟัง หากไม่ใช่เพราะสองคนนี้เอะอะคิดทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ มีหรือนางจะยอมเสียเวลาไปกับสิ่งไร้ประโยชน์พวกนี้
มั่วเซวี่ยนเฝ่ยทำท่าอ้าปากพะงาบๆ ยังคงต้องการจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่กลับโดนไป๋อวิ๋นเซียนขัดจังหวะเสียก่อน นางลุกพรวดขึ้นไป จากนั้นก็คว้าขวดกระเบื้องเคลือบที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
“คุณหนูจวิน แมวของเจ้าทำลายเม็ดยาของข้า แต่เดิมข้าก็ไม่คิดถือสาหาความอะไร แต่ตอนนี้เจ้ากลับแอบอ้างสิ่งของที่อยู่ในขวดนี้ว่าเป็นเม็ดยาน้ำค้างหยก! นี่มันจะหยามเกียรติสำนักชิงอวิ๋นของข้ามากเกินไปแล้ว ข้าไม่อาจไม่สนใจได้!” ไป๋อวิ๋นเซียนถลึงตาใส่จวินอู๋เสียด้วยความชั่วร้าย
…………….