ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 97 กองทัพรุ่ยหลิน (2)ตอนที่ 98 กองทัพรุ่ยหลิน (3)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 97 กองทัพรุ่ยหลิน (2)ตอนที่ 98 กองทัพรุ่ยหลิน (3)
ตอนที่ 97 กองทัพรุ่ยหลิน (2)
การที่จวินชิงต้องการพาจวินอู๋เสียออกไปเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ด้วยกันนั้น สำหรับจวินอู๋เสียแล้วนางมิได้มีความเห็นหรือรู้สึกอึดอัดใจแต่อย่างใด
หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ จวินชิงก็กลับไปนั่งรถเข็นตามเดิม โดยมีหลงฉีคอยเข็นให้อยู่ด้านหลัง พวกเขาออกจากประตูจวนหลินอ๋องแล้วขึ้นรถม้าพร้อมกับจวินอู๋เสีย
รถม้าวิ่งแล่นไปรอบๆ เมืองหลวงอยู่พักใหญ่ จวินอู๋เสียนั่งอยู่ในรถม้าอย่างเงียบๆ ไม่สนใจความวุ่นวายและเสียงเอะอะร้องตะโกนขายของของเหล่าพ่อค้าในเมือง หรือเสียงสนทนาของผู้คนที่กำลังสัญจรไปมาที่ดังเข้ามาในหูของนางสักนิด นางเอาแต่นั่งก้มหน้าหลุบตาลงต่ำตลอดเวลา ลูบขนของเจ้าแมวดำตัวน้อยที่นอนนิ่งอยู่บนตักของนางไปเรื่อยๆ
เมื่อมองไปที่จวินอู๋เสีย จวินชิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่อยู่
จวินอู๋เสียในอดีตจริงอยู่ที่ไม่สามารถเทียบกับตัวนางในปัจจุบันได้ แต่ตอนนี้นางเพิ่งจะอายุเท่าไหร่กันเชียว เหตุใดถึงได้วางตัวเงียบขรึม สงบปากสงบคำมากถึงเพียงนี้ นี่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจจริงๆ
ไม่รู้ว่ารถม้าวิ่งมานานเท่าไหร่แล้ว หลังจากนั้นอีกสักพัก ในที่สุดรถม้าก็หยุดวิ่ง หลงฉีช่วยพาจวินชิงลงจากรถม้า ตามมาด้วยจวินอู๋เสีย
เมื่อนางลงจากรถม้าเสร็จและกวาดตามองไปรอบๆ จวินอู๋เสียก็เป็นอันต้องตกตะลึง
ห่างออกไปจากจุดที่ยืนอยู่ตรงนี้ราวๆ สิบเมตร มีค่ายทหารแห่งหนึ่งตั้งอยู่ เมื่อจวินอู๋เสียหันหลังกลับไปมอง นางก็เห็นว่าผู้คนในเมืองหลวงนั้นอยู่ห่างจากสายตาของนางไปไกล โดยไม่รู้ตัว รถม้าก็พาพวกนางอาหลานออกนอกเขตของเมืองหลวงแล้ว
“กองทัพรุ่ยหลินของสกุลจวินของพวกเรานั้นมีชื่อเสียงกึกก้องระบือไกล ในฐานะบุตรีสกุลจวิน สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่เจ้าจะต้องมาเยือนอยู่แล้วไม่ช้าก็เร็ว” จวินชิงที่นั่งอยู่บนรถเข็นเอ่ยชี้แจง หลงฉีคอยเข็นรถเข็นให้เขาอยู่ทางด้านหลัง
“คุณหนูใหญ่ โปรดตามข้ามาทางนี้ด้วยขอรับ” หลงฉีกล่าวอย่างสุภาพ พลางเข็นพาจวินชิงเข้าไปในค่ายทหาร
กองทัพรุ่ยหลิน คือกองทัพที่ห้าวหาญและดุดันที่สุดในรัฐชี พวกเขาได้พิสูจน์ฝีมือและความเก่งกาจผ่านสนามรบจำนวนนับไม่ถ้วนมาแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเหล่าข้าศึกถึงได้หวาดกลัว ยอมรั้งอยู่แต่ในเขตชายแดนไม่กล้ารุกล้ำเข้ามานานหลายต่อหลายปีแล้ว
จนกระทั่งไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้แนวชายแดนรัฐชีเริ่มสงบลง สถานการณ์มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น จวินเสี่ยนถึงได้มีคำสั่งถอนทัพกลับเพื่อหลีกเลี่ยงความหวาดระแวงของฮ่องเต้ ซ้ำยังยอมคืนอำนาจทางการทหารจำนวนหนึ่งกลับไป เหลือทิ้งไว้เพียงกองทัพรุ่ยหลินที่เป็นของสกุลจวินจริงๆ เท่านั้น
การที่สายเลือดทั้งสามรุ่นของสกุลจวินยังอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ทางหนึ่งก็เพื่อต้องการให้ฮ่องเต้วางพระทัยว่าจะไม่เกิดการก่อกบฏขึ้น เนื่องจากความปลอดภัยของพวกเขาทั้งสามคนล้วนอยู่ในกำมือของพระองค์นั่นเอง
เป็นที่รู้กันดีว่าผู้ที่สามารถออกคำสั่ง บัญชาการกองทัพรุ่ยหลินได้ มีเพียงทายาทซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลจวินเท่านั้น!
ดังนั้นหากสามารถกุมชะตาชีวิตของคนสกุลจวินได้ นั่นก็เท่ากับว่าจะสามารถควบคุมกองทัพรุ่ยหลินได้ในทางอ้อม
นี่เป็นครั้งแรกที่จวินอู๋เสียได้มาเยือนค่ายทหารของกองทัพรุ่ยหลิน ก่อนหน้านี้แม้แต่เจ้าของร่างคนก่อนก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้ค่ายทหารแห่งนี้ได้
ยามนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงแผดเผาแรงกล้า ในพื้นที่กว้างใหญ่ภายในเขตค่ายทหารที่มีทหารเพียงกลุ่มเดียวกำลังออกลาดตระเวนอยู่ ทั่วทั้งค่ายก็เงียบสงบ
หลงฉีผลักรถเข็นของจวินชิงไปตามเส้นทางสายหนึ่ง เดินนำจวินอู๋เสียเข้าไปยังส่วนลึกของค่ายทหาร เมื่อถูกห้อมล้อมด้วยความเงียบจากรอบด้าน จวินอู๋เสียไม่ได้พูดอะไร เพียงเก็บภาพทั้งหมดในค่ายแห่งนี้ไว้ในหัว
ไม่มีใครอยู่ในค่ายทหารนี้สักคน และก็ไม่มีร่องรอยของกองทัพรุ่ยหลิน คล้ายกับว่ากองทัพรุ่ยหลินที่น่ากลัวได้สลายหายไปกลางอากาศอย่างไรอย่างนั้น
แต่เมื่อจวินอู๋เสียก้าวเข้าไปถึงส่วนลึกของลานฝึก ดวงตาของนางก็เบิกกว้างขึ้น
ทหารในชุดเกราะเต็มยศแถวแล้วแถวเล่ากำลังยืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่แผดเผาลงมา ดาบในมือของพวกเขาถูกฟาดขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะและรุนแรงพร้อมเพรียงกัน แม้ในลานฝึกยามนี้จะไม่มีลม แต่การเคลื่อนไหวและการจัดขบวนทัพของกองทัพที่มีประสิทธิภาพ เป็นระเบียบและน่าเกรงขาม ก็คล้ายกับจะแผ่ไอร้อนออกมาจางๆ ทำให้อุณหภูมิโดยรอบเพิ่มสูงขึ้น
บรรยากาศที่หนักอึ้ง ประกอบกับคลื่นความร้อนที่ถูกส่งออกมา ทำให้คนที่ขยับเข้าใกล้ผัมผัสได้ถึงอำนาจกดดัน รู้สึกบีบคั้นอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
“นี่คือกองทัพรุ่ยหลินของสกุลจวินของพวกเรา และก็เป็นดาบที่แหลมคมที่สุดในมือของสกุลจวินของพวกเราด้วย อู๋เสีย จงจำไว้ว่าในใต้หล้านี้ผู้ที่มีสิทธิ์ถือครองดาบเล่มนี้ได้ มีเพียงสายเลือดสกุลจวินเท่านั้น!” จวินชิงหันหน้ากลับมามองนาง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเลือนหายไป และดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็แข็งกร้าวขึ้น เย็นชาราวกับเหล็กที่โชกไปด้วยหยาดโลหิตสีแดงสด
กองทัพรุ่ยหลิน คือเครื่องรางที่ใช้ปกป้องชีวิตของทุกคนในสกุลจวินมานานนับศตวรรษแล้ว มันเป็นเครื่องรางช่วยชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ในขณะเดียวกันมันก็เปรียบเสมือนตะปูในสายพระเนตรของฮ่องเต้ นำพามาซึ่งความหวาดระแวงของผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั่น
…………
ตอนที่ 98 กองทัพรุ่ยหลิน (3)
จวินอู๋เสียได้ยินเรื่องเกี่ยวกับกองทัพรุ่ยหลินมามากตั้งแต่นางหลุดเข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว และวันนี้ในที่สุดนางก็ได้ยลโฉมกองทัพที่ขึ้นชื่อว่าดุดันและน่าหวาดหวั่นนี้ด้วยสายตาของตัวเองเสียที!
ทหารนับแสนคนกำลังฝึกฝนกันอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนระอุที่ตกกระทบลงมา ไม่มีใครปริปากบ่นสักคน จวินอู๋เสียคงไม่มีทางเชื่อแน่หากไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเองตัวเองคู่นี้ นับว่ากองทัพรุ่ยหลินไม่เสียชื่อที่ได้สมญานามว่าเหล็กโลหิต ช่างเป็นกองทัพที่มีระเบียบวินัยและดุดันน่าเกรงขามจริงๆ!
“กองทัพรุ่ยหลินนั้น สามารถเข่นฆ่ากองทัพของศัตรูได้หมดไม่ว่าจะพวกเขาจะอยู่ในระดับใด แม้แต่ทหารยศน้อยก็ยังเด็ดหัวแม่ทัพฝั่งศัตรูลงมาได้ จวินอู๋เสียเจ้าจงจำไว้ ไม่มีกองทัพไหนในรัฐชีที่สามารถต่อกรกับกองทัพรุ่ยหลินได้อีกแล้ว การที่ฮ่องเต้ยังปล่อยให้จวนหลินอ๋องลอยหน้าลอยตาได้อยู่แบบนี้ ไม่ยอมลงมือเด็ดขาดกับพวกเราเสียที เหตุผลหนึ่งก็เพราะยังกริ่งเกรงในอำนาจของกองทัพรุ่ยหลินอยู่นั่นเอง” สีหน้าของจวินชิงไม่ใช่ท่านอาที่อ่อนโยนเอาอกเอาใจหลานสาวสุดที่รักอีกต่อไป แต่มันเป็นสีหน้าและแววตาของแม่ทัพผู้บัญชาการทหารทั้งปวง ผู้ที่ซึ่งเด็ดเดี่ยว แข็งกร้าว และเปี่ยมไปด้วยอำนาจ
ทหารทุกคนในกองทัพรุ่ยหลินนั้น ชี้นิ้วเลือกออกมาลวกๆ สักคนหนึ่ง ยังเป็นตัวตนที่น่าหวาดหวั่นชวนพรั่นพรึง หนึ่งคนล้วนสามารถอาศัยกำลังของตัวเองต้านศัตรูห้าคนได้อย่างง่ายๆ ไม่รู้ว่าสกุลจวินต้องสูญเสียหยาดเหงื่อและกำลังทรัพย์ไปมากมายแค่ไหน และพวกเขาใช้วิธีใดในการควบคุมให้กลุ่มคนที่อันตรายเหล่านี้เต็มใจรับใช้สกุลจวินของพวกนางได้
ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้
มีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่พยายามลอบเข้ามาสืบความลับของกองทัพรุ่ยหลิน แต่ท้ายที่สุดแล้ว หากคนพวกนั้นไม่ถูกหน่วยรบเหล็กโลหิตสังหารจนตายไป ก็จะถูกพวกเขาจับโยนออกนอกจวน
นี่คือดาบที่จงรักภักดีมากที่สุด และไม่มีทางทรยศหรือหันคมดาบเข้าหาสกุลจวินของพวกนาง!
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านอาเล็ก” จวินอู๋เสียระงับความตกใจที่เกิดขึ้นในดวงตาของนางแล้วตอบรับไปอย่างหนักแน่น การเดินทางมาเยือนค่ายทหารของกองทัพรุ่ยหลินในครั้งนี้มิใช่มาเพื่อเที่ยวเล่น แต่จวินชิงคิดจริงๆ ว่าจวินอู๋เสียมีคุณสมบัติมากพอแล้วที่จะติดต่อกับกองทัพนี้ ในสายตาของจวินชิง จวินอู๋เสียในเวลานี้ไม่ใช่เด็กน้อยที่ไม่รู้ประสาอีกต่อไป แต่นางคือสมาชิกซึ่งเป็นเสาหลักคนสำคัญคนหนึ่งของสกุลจวิน!
การแสดงออกบนใบหน้าของจวินชิงอ่อนโยนมากขึ้น จากนั้นเขาก็พยักหน้าให้นาง
“วันนี้ที่ให้เจ้ามาที่ค่ายทหารแห่งนี้ อันที่จริงแล้วยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง ข้าและท่านปู่ของเจ้าได้ปรึกษากันแล้ว และลงความเห็นว่ามีของสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องการจะมอบให้แก่เจ้า” จวินชิงโบกมือส่งสัญญาณให้กับหลงฉี
หลงฉีก็ยื่นถุงผ้าถุงหนึ่งออกไปให้จวินอู๋เสีย
บนถุงผ้าสีดำที่ปักด้วยไหมเงินเป็นสัญลักษณ์รูปกิเลนเหยียบเมฆมงคล ข้างในถุงนั้นบรรจุของทรงกระบอกยาวสามอันที่มีขนาดเท่านิ้วก้อยของนางไว้ จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้นมองจวินชิงอย่างฉงน
จวินชิงกล่าว “สิ่งนี้คือพลุสัญญาณหลิงอวิ๋นของกองทัพรุ่ยหลิน หากเจ้าเปิดกลไกนี้ออก สัญญาณก็จะพุ่งขึ้นไปบนฟ้าแล้วกองทัพรุ่ยหลินจะมาถึงในทันที อู๋เสีย ข้าและท่านปู่ของเจ้านั้นเป็นห่วงเจ้ามาโดยตลอด แต่เพราะว่าเจ้ายังเด็กนัก พวกเราต่างกลัวว่าเจ้าจะหุนหันพลันแล่นไม่รู้หนักเบา จึงไม่ได้มอบมันให้เจ้าตั้งแต่แรก แต่เวลานี้เจ้าโตขึ้นแล้ว รู้ความและเปลี่ยนไปจากเดิมมากจนพวกเรายังต้องตกใจ ข้ากับท่านปู่ของเจ้าจึงเห็นตรงกันว่าเจ้ามีคุณสมบัติพอแล้วที่จะถือครองของสิ่งนี้ไว้” สำหรับสกุลจวินแล้ว พลุสัญญาณหลิงอวิ๋นถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเมื่อสัญญาณนี้ถูกจุดขึ้นไป กองทัพรุ่ยหลินทั้งหมดก็จะถูกเรียกระดมพลมาทันที
นี่คือความไว้วางใจที่จวินเสี่ยนและจวินชิงมีต่อจวินอู๋เสีย เวลานี้พวกเขาได้หยิบยื่นดาบที่คมกริบที่สุดให้แก่จวินอู๋เสียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” จวินอู๋เสียทำได้เพียงกล่าวขอบคุณออกไป พลุสัญญาณทั้งสามนั้นเบามาก แต่ทว่าน้ำหนักที่กดทับลงบนหัวใจของนางนั้นกลับหนักอึ้งราวกับหินผา
“ครอบครัวเดียวกัน จะเกรงใจไปทำไม” จวินชิงยิ้ม เขารู้ว่าจวินอู๋เสียรู้ ‘วิธี’ ใช้สิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว
พักหลังๆ มานี้ เนื่องจากจวินอู๋เสียกับองค์รัชทายาทใกล้ชิดสนิทสนมกันยิ่งนัก แถมพระวรกายขององค์รัชทายาทยังดีขึ้นทุกวัน แม้กระทั่งอารมณ์ร้อนๆ ของเขาก็ยังเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ชื่อเสียงทั้งในราชสำนักและกับเหล่าราษฎรเปลี่ยนไปในแง่ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ยกเว้นแต่ในสายตาของใครบางคนที่ไม่ใคร่จะพอใจสักเท่าไหร่นัก
จวนหลินอ๋องต้องแน่ใจไว้ก่อนว่าจวินอู๋เสียจะปลอดภัยดี หากมีผู้ใดคิดร้ายต่อหลานสาวของพวกเขา เช่นนั้นก็ต้องไตร่ตรองให้ชัดเจนก่อนว่าเขาจะสามารถต้านทานการล้างแค้นที่บ้าคลั่งของกองทัพรุ่ยหลินทั้งกองทัพได้หรือไม่!
…………..