ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 105 ตอนที่ 106
ตอนที่ 105
เมื่อเพิ่งเดินมาถึงท้ายหมู่บ้าน ท่ามกลางเสียงแตรก็มีเสียงติงตังดังขึ้นมา
แย่แล้ว วัวตัวสุดท้ายของบ้านท่านยายหวังก็ล้มตัวลงอีกแล้ว
ภรรยาของกัวคนโต เดิมทีนางกำลังเป่าแตรอยู่ท้ายขบวนเพราะสามีของนางต้องรุนรถ เมื่อได้ยินเสียงก็เห็นขบวนหยุดเดิน นางก็หยุดตามและหยุดเป่าแตร
ท่ามกลางความมืดนั้น ลูกสะใภ้ใหญ่ของท่านยายหวังร้องออกมาด้วยความตกใจ “ทำอย่างไรดี วัวไม่ไหวแล้ว”
สะใภ้รองรีบดึงพี่สะใภ้ใหญ่ไว้ นางกล่าวด้วยสีหน้าร้อนรน “จะทำอย่างไรได้ รีบเก็บสิ่งของเสีย มาเร็ว มาช่วยกันปลดวัวออก”
ลูกสะใภ้คนเล็กของท่านยายหวังตอบสนองอย่างว่องไว นางยื่นซ่วนเหมียวจื่อให้หวังจงอวี้อุ้ม จากนั้นถกชายแขนเสื้อขึ้นเพื่อเก็บสิ่งของที่ตกมาจากบนรถ “กระทะใหญ่ กระทะบ้านของพวกเราต้อง…”
นางยังไม่ทันพูดจบ คบไฟสิบกว่าอันที่อยู่ใกล้เคียงก็ส่องสว่างให้เห็นสภาพเบื้องหน้าอย่างชัดเจน
ท่านยายหวังเห็นภาพชัดเจนแล้วก็รีบดึงสะใภ้คนเล็กออกมาทันที นางรีบพูดตัดบท “ไม่เอากระทะแล้ว อย่าแตะต้องมัน!”
เพราะนางเห็นรถของบ้านหวัง กระแทกเข้ากับซากศพท้องป่องที่เถียนสี่ฟาเอ่ยถึงก่อนหน้านี้
ผ้าห่มสัมภาระที่ตกลงมาจากบนรถ ก็ร่วงตกลงมาที่ร่างของคนตายพอดิบพอดี ส่วนกระทะใบใหญ่นั้นก็ตกลงมาครอบหน้าผู้ตายคนหนึ่ง ยิ่งทำให้หน้าเดิมที่เละอยู่แล้วกลับเละมากขึ้นกว่าเดิม
“ท่านแม่ เก็บมันกลับมาล้างได้ หากไม่มีกระทะจะใช้อะไรหุงข้าว”
ท่านยายหวังตะโกนบอกด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “จะใช้น้ำที่ไหนล้าง ถ้าไปแตะต้องมันแล้วอาจเจ็บป่วยก็ได้ เจ้าดูสิ ร่างของเขาโดนหนูแทะจนแหว่งไปหมดแล้ว”
ซ่งฝูเซิงรีบเดินเข้ามาบอกว่าไม่ให้เก็บกระทะไว้ เพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน คนเยอะเช่นนี้ไม่สามารถเสี่ยงได้เพียงเพราะเสียดายกระทะใบหนึ่งของบ้านนาง หากมีคนป่วยขึ้นมา ทั้งขบวนเองก็คงจะไม่รอด
ซ่งฝูเซิงก็รีบสั่งการ “มาช่วยกันหลายๆ คนหน่อย ช่วยกันปลดรถแล้วดันออกไป พวกเราต้องรีบออกจากหมู่บ้านนี้ให้เร็วที่สุด”
“วัวล่ะ? ฆ่ามันตอนนี้เลยไหม?”
ยังไม่ทันได้รอคำตอบของซ่งฝูเซิง ท่านยายหวังก็รีบพูดขึ้น “ยังจะฆ่าอีกเหรอ ไม่เอาแล้ว อย่าทำให้ทุกคนเสียเวลาเลย รีบเก็บของแล้วรีบไปเถอะ”
คนที่อยู่ใกล้ๆ ต่างช่วยกันขนของขึ้นบนรถที่ปลดออกมาแล้ว ส่วนสัมภาระที่ตกหล่นบนตัวของผู้ตาย ก็ได้แค่หยิบแต่ผ้าห่มที่อยู่ด้านบนสุดขึ้นมา เพราะผ้าห่มผืนนี้ไม่ได้สัมผัสร่างของคนตาย
เฉียนเพ่ยอิงอาศัยแสงไฟส่องมอง นางมองเสร็จก็รู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว นางรีบหาหัวข้อพูดคุยกับลูกสาวเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
“ท่านยายหวังมีความคิดดี หญิงชราส่วนใหญ่ชอบตระหนี่ถี่เหนียว เสียดายนั่นเสียดายนี่ อย่าว่าแต่ทิ้งสิ่งของเลย แม้แต่สิ่งของพังแล้วก็ยังจะเก็บมาใช้อีก แต่นางกลับไม่เหมือนกัน นางยังคิดได้มากกว่าลูกสะใภ้พวกนั้น ไม่เอาวัว ไม่เอากระทะแล้ว ในสถานการณ์ตอนนี้ต้องทำแบบนี้”
ซ่งฝูหลิงพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าคิดว่านางก็คงคิดป้องกันไว้ก่อน หากคนในครอบครัวนางเกิดป่วยแบบผิดปกติขึ้นมา นางคงเกรงว่าพวกเราจะทิ้งครอบครัวนางไว้เพียงเพราะอยากจะเก็บกระทะใบนั้น ยอมที่จะไม่เอาอะไรไว้จะได้ไม่ต้องเสี่ยง”
ผู้พูดไม่ได้ตั้งใจ แต่ผู้ฟังสนใจ ท่านย่าหม่าที่อยู่ด้านข้างได้ยินก็คิดในใจ ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว ถ้าบ้านข้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ข้าสัญญาว่าจะไม่เก็บของมั่วซั่วแล้ว
สิ่งของถูกเก็บเรียบร้อย ขบวนก็รีบเดินทางออกจากหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว เร่งรุดออกไปยังถิ่นทุรกันดารนอกหมู่บ้าน ต้องการให้ห่างไกลจากหมู่บ้านแห่งนี้มากที่สุด
เดินทางออกมาไกลประมาณห้าลี้ ซ่งฝูเซิงจึงตะโกนบอกว่าไม่ต้องเป่าแตรแล้ว
ท่านยายหวังอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองหมู่บ้านนั้น นางพนมมือภาวนาในใจ
“เมื่อกี้ที่มีวาสนาได้พบเจอคนพวกนั้น ครอบครัวหวังของข้าไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนพวกเจ้าเลยนะ กระทะเหล็กนั่นไม่ได้ตั้งใจจะกระแทกให้หน้าเละจริงๆ ส่วนผ้าห่มที่ทิ้งไว้ก็ให้ ก็เอาไว้ห่มร่างกายของพวกเจ้าละกัน พวกเจ้าจะได้จากไปด้วยความอบอุ่น กระทะก็ขอทิ้งไว้ให้พวกเจ้าที่อยู่อีกภพหนึ่งได้หุงข้าว นอกจากนี้ข้ายังทิ้งวัวไว้คอยนำทางให้กับพวกเจ้าด้วย ขอร้องพวกเจ้าล่ะ อย่าได้ตามมารบกวนครอบครัวของข้าเลยนะ”
ยามดึกเวลาสองนาฬิกากว่า เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนง่วงนอนมากที่สุด แต่ขบวนของพวกเขายังคงเดินหน้าต่อไปท่ามกลางความมืดมิด
เฉียนหมี่โซ่วกอดคอซ่งฝูเซิงไว้แน่น เขาเริ่มง่วงนอนแต่ก็นอนไม่หลับ ทุกครั้งที่ง่วงจนหัวเล็กๆ ของเขาซบเข้าที่บ่าของซ่งฝูเซิง เขาก็จะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเสมอ
ไม่เพียงแค่หมี่โซ่ว เด็กๆ บ้านอื่นก็เป็นเช่นเดียวกัน
เนื่องจากเด็กน้อยทั้งหลายผ่านประสบการณ์จากหมู่บ้านนั้นมา ทำให้พวกเขาหวาดกลัวความมืด ไม่กล้าหลับตา เกรงว่าหลับตาแล้วจะไม่เจอพ่อแม่อีก กลัวว่าจะเหลือตนเองเพียงคนเดียว
เพราะหมู่บ้านนั้นมีเด็กๆ ตายหลายคน คนตายไป ทิ้งเด็กไว้ให้อยู่กันเอง เมื่อเด็กไม่มีพ่อแม่แล้ว ที่สุดก็หิวโหยจนตายเช่นกัน
ตอนที่ 106
ตอนเช้าเวลาประมาณห้านาฬิกา ซ่งฝูหลิงนอนลงกับพื้น ด้านล่างไม่ได้ปูเสื่อ แม้แต่แผ่นรองกันชื้นก็ไม่ได้เอาออกมาเพราะนางทนรอไม่ไหว
บนผมของนางแซมไปด้วยหญ้าแห้ง สายตาที่เหน็ดเหนื่อยจ้องมองท้องฟ้า
สองวันก่อนซ่งฝูหลิงเดินไปก็รู้สึกว่า เดินมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว นางคิดว่า นี่คงสุดขีดจำกัดความสามารถของนางแล้ว
เมื่อวันก่อนนางเดินไปสักพักก็รู้สึกขาดออกซิเจน ร้อนจนแทบหายใจไม่ออก นางคิดในใจว่า โอ้ นี่คงสุดขีดจำกัดความสามารถของนาง หากนางเดินต่อไป นางคงจะต้องตายอย่างแน่นอน
วันนี้ซ่งฝูหลิงนอนครุ่นคิดอยู่ตรงนั้น ผิดแล้ว วันนี้ต่างหากถึงจะเป็นวันที่ทำจนสุดขีดความ สามารถของนางแล้ว
นางเดินมาทั้งวันทั้งคืน ทำให้นางดูสุดยอดมาก อีกทั้งยังเคยคิดว่านางน่าจะเหนื่อยจนตาย แต่น่าแปลกที่นางก็ยังไม่ตาย
เหมือนกับที่ซ่งฝูหลิงคิดแบบนั้น แท้จริงแล้วทุกคนกำลังก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง
ทุกคนก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับซ่งฝูหลิง พวกเขาเคยรู้สึกว่าไม่สามารถทนได้จริงๆ เมื่อคิดว่าไม่สามารถทำได้ แต่เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป พวกเขาก็ยังสามารถพัฒนาศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดนี้ได้อีก
เกาถูฮู่พูดกับซ่งฝูเซิงที่นั่งหมดแรงอยู่บนพื้น “เสี่ยวซาน เนื้อวัวสองตัวของบ้านข้ากับของบ้านหลี่เจิ้งที่ถูกฆ่าตายเมื่อตอนกลางวัน ข้าดมกลิ่นแล้วดูเหมือนมันจะเริ่มเน่าเสียแล้วนะ เราย่างกินตอนนี้เลยดีไหม?”
เถียนสี่ฟาก็บอกกับซ่งฝูเซิง “ตอนเที่ยงที่พวกเราหยุดเพื่อฆ่าล่อกับวัวของบ้านลุงใหญ่ก็ยังมีเนื้อเหลืออยู่อีกเยอะแยะ นี่ก็ผ่านมาคืนหนึ่งแล้ว คงเก็บไว้นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
ชายชราแซ่ซ่งอีกบ้านหนึ่งในขบวนก็เดินมารายงานด้วยสีหน้าอึดอัดใจ “ฝูเซิง ข้าอยากบอกเจ้าสักหน่อยว่า วัวบ้านข้าก็เริ่มไม่ไหวแล้ว จะฆ่ามันเดี๋ยวนี้หรือจะทำอย่างไรดี เจ้าออกความเห็นให้ข้าหน่อย จะทำอย่างไรก็ได้”
เกาถูฮู่ได้ยินก็กัดฟันสารภาพออกมา “เสี่ยวซาน วัวสองตัวที่บ้านของข้าก็ดูเหมือนใกล้จะหมดลมแล้วเหมือนกัน”
ซ่งฝูเซิงเห็นหนิวจั่งกุ้ยรีบวิ่งมาแล้วทำท่าทีอ้ำอึ้ง เขาก็รู้อยู่ในใจทันทีว่าล่อสองตัวที่เหลือของบ้านเขาก็ใกล้จะตายเช่นกัน ตอนนี้คือพยายามใช้หญ้ายื้อชีวิตไว้เท่านั้น
ใช่สิ เริ่มตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่ายเป็นต้นมา ก็ไม่ได้ให้พวกสัตว์กินน้ำอีกเลย จะไม่ให้พวกมันใกล้ตายได้อย่างไร
แต่ปัญหาก็คือ หากฆ่าแล้ว วันหนึ่งคงต้องกินเนื้อห้ามื้อ ซึ่งทุกคนก็กินไม่ไหวแล้ว
“ฆ่าก่อน ดีกว่าปล่อยให้ไปล้มลงระหว่างการเดินทางจะทำให้เสียเวลาได้ ฆ่าให้หมด เลือกแต่เก็บเนื้อดีๆ ไว้ เลือกเนื้อส่วนที่กินอร่อย หากมีเนื้ออันไหนเสียระหว่างทางก็โยนทิ้งไป”
เกาถูฮู่กลืนน้ำลายทั้งที่คอแห้ง ฆ่าสัตว์เป็นงานที่ต้องใช้แรง แต่ตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว อีกทั้งยังเจ็บคอ
“หนิวจั่งกุ้ยเทเหล้าใส่ชามให้กับเกาถูฮู่” ซ่งฝูเซิงยกมือขึ้นตัดบทการปฏิเสธของเกาถูฮู่และตะโกนบอกกับทุกคน “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เราจะเก็บน้ำไว้ให้กับพวกเด็กๆ ดื่ม บ้านข้ามีเหล้าอยู่หลายไห พวกเราผู้ใหญ่จะดื่มเหล้านี้แทน หลังจากที่ทุกคนกินเนื้อแล้วก็ดื่มเหล้าให้ชุ่มคอ”
“ฝูเซิง ไม่ได้!” ซ่งหลี่เจิ้งได้ยินก็ฝืนลุกขึ้นมาและตะโกนบอกทุกคน “ตอนนี้ต้องพักผ่อนยังไม่ต้องดื่ม หลังจากพักผ่อนเสร็จแล้ว ก่อนออกเดินทางค่อยดื่ม ดื่มเสร็จต้องอดทนเดินทางต่อไป นั่นคือน้ำที่จะได้ดื่มทั้งวันของพวกเจ้า”
นี่ยังดีที่เป็นเหล้ายุคโบราณ มีแอลกอฮอล์ไม่มาก มิน่าอู๋ซง[1]ก่อนตีเสือถึงดื่มเหล้าไปหลายชาม มิน่าคนโบราณถึงชอบดื่มเหล้าแก้กระหาย ซ่งฝูหลิงคิดในใจ หากเป็นเหล้าขาวในยุคปัจจุบัน ยิ่งดื่มก็ยิ่งกระหาย ใช้ประโยชน์แบบนี้ไม่ได้เลย
ซ่งฝูเซิงตอบกลับ “ตกลง แต่หากใครกระหายน้ำจนทนไม่ไหวก็มาเอากับข้าได้”
แท้จริงตอนนี้ก็ไม่มีใครไหวกันแล้ว โดยเฉพาะเมื่อกินเนื้อแห้งๆ ไปสักพัก แต่ละคนก็จะรู้สึกคอแห้งผาก
มีผู้หญิงหลายคนจับมือลูกๆ ที่จับชามข้าวพร้อมเกลี้ยกล่อมพวกเขา “ได้แค่คำเดียวเท่านั้น ไม่สามารถดื่มอีกได้ เจ้าต้องเหลือน้ำให้กับน้องชายและน้องสาวบ้าง”
พวกเด็กๆ “ท่านแม่ ข้ากระหายน้ำ”
ซ่งฝูเซิงนอนอยู่ข้างกายภรรยา
เฉียนเพ่ยอิงกระซิบเตือน “ข้าว่า พักผ่อนสักพักจนเต็มที่แล้วก็ค่อยออกเดินทางดีกว่า หากเดินต่อไปข้างหน้าครึ่งวันก็ยังไม่มีน้ำ ท่านก็ค่อย อืม?”
ซ่งฝูเซิง “อืม”
ถ้าอย่างนั้นจะให้ทำอย่างไร ก็ต้องเข้าไปในพื้นที่พิเศษสินะ นำน้ำออกมาข้างนอก
อย่างน้อยคนหนึ่งคน ดื่มน้ำหนึ่งถ้วย ก็ยังพอประทังชีวิตเอาไว้ได้ เขาไม่เชื่อว่า หลังจากรักษาชีวิตเอาไว้แล้ว หากออกเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืนจะยังไม่มีน้ำอีก!
[1] อู๋ซง ตัวละครผู้ชายในเรื่อง水浒传