ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 115
ชายหนุ่มสิบคนที่มีพ่อมีลุงคอยคุ้มกัน สองมือของพวกเขาหิ้วถังน้ำ ไม่กล้าเดินเซ ไม่กล้ามือสั่น ไม่กล้าคิดเรื่องอื่น พวกเขากัดฟันทนใช้แรงที่มีอยู่ทั้งหมดมุ่งหน้าเดินต่อไป
ซ่งฝูไฉ พี่ชายคนโตของซ่งฝูเซิง เป็นครั้งแรกที่เขาใช้มีดทำท่าฟาดฟันไปมา ไม่ได้มีเจตนาอยากจะเอาชีวิตใคร เขาแค่อยากจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามกลัวจนหนีไปเอง
เขาปล่อยฝ่ายตรงข้าม แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ปล่อยเขา
ไม่เพียงแต่อาศัยจังหวะทำให้ขบวนของพวกเขาเกือบจะสลาย ถ้าหากไม่มีซื่อจ้วงคอยมากันได้ทันเวลา ต้าหลังลูกชายคนโตของเขาก็เกือบจะถูกผู้ลี้ภัยเหล่านั้นดันตัวออกไป
ซ่งฝูไฉตะโกนออกมาด้วยดวงตาแดงก่ำ “ฆ่า!”
คำว่า ‘ฆ่า’ ครั้งนี้ ดูเหมือนกับเป็นการตะโกนบอกตัวเอง ราวกับเป็นการสั่งการให้ตนเองพุ่งเข้าใส่ มีดใหญ่ของเขาที่ฟาดฟันในแต่ละครั้งก็เป็นการตัดหัวฝ่ายตรงข้าม
ซื่อจ้วงอยู่ด้านหน้าสุด คอยเป็นคนเปิดทาง หากมีคนกล้าเข้าใกล้ เขาก็จะถือไม้กระบองตีเข้าไปที่กลางกระหม่อมของฝ่ายตรงข้าม ตอนนี้สามารถทำได้หนึ่งมือต่อหนึ่งคน ถึงขั้นแค่ตีไปหนึ่งที ก็ล้มลงหนึ่งคน
เถียนสี่ฟาคอยคุ้มกันอยู่ด้านหลัง เขาตวัดจอบที่อยู่ในมือไปมาด้วยท่วงท่าน่าเกรงขาม จอบโดนใคร คนนั้นก็ล้มตายทันที
พวกชายฉกรรจ์จุดไฟคบเพลิงและถือไม้กระบองแท่งยาวปลายแหลมที่สร้างขึ้นเอง พวกเขาคอยปกป้องเด็กหนุ่มเหล่านี้ ภายใต้การนำของซื่อจ้วง พวกเขาต่อสู้จนดวงตาแดงก่ำ
เมื่อลงมาจากภูเขาได้ครึ่งทาง มีคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีสมาชิกอยู่ยี่สิบกว่าคนที่เพิ่งรวมตัวกันแย่งชิงเงินและน้ำได้ไม่นาน เดิมทีพวกเขาอยู่ข้างทาง เตรียมพร้อมเป็นอย่างดี แต่เมื่อมองไกลออกไปก็พบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าโจมตีผู้ลี้ภัยมาตลอดทางตั้งแต่อยู่บนยอดเขาเรื่อยมา ท่าทางฮึกเหิมแบบนั้น…
“แม่เอ้ย!”
คนที่ร้องเรียกแม่ เป็นน้องรองในหมู่โจรสองพี่น้อง ที่ตอนนั้นอยากจะขโมยกระบอกน้ำสแตนเลสของซ่งฝูหลิงนั่นเอง เขาพูดกับหัวหน้าคนใหม่ของพวกเขาว่า “คนกลุ่มนี้ข้าเคยเจอมาแล้ว พี่ใหญ่ พวกเราคงต้องวางแผนกันนานหน่อย คนที่นำขบวนคนนั้น แค่สองทีก็สามารถรวบตัวข้าได้แล้ว ข้าไม่หลอกท่านหรอก”
“อืม?” ชายกำยำลูบเครา “จะกลัวมันไปทำไมกัน พี่น้องทั้งหมด…”
“ไม่ใช่ พี่ใหญ่ ท่านฟังน้องก่อน พี่ใหญ่จะสู้กับพวกเขาไปทำไมกัน พี่น้องของพวกเราต้องการสิ่งของล้ำค่า ดื่มน้ำจนอิ่ม หาเงินมาใช้จ่าย พวกเราเองก็จะรีบเข้าเมืองไปเสวยสุขแล้ว ที่นี่มีแต่คนร่ำรวยอยากขึ้นเขา พวกที่อยากดื่มน้ำต่างก็ต้องมาที่นี่ ยิ่งมีพวกที่เดินทางมาคนเดียวยิ่งปล้นได้ง่าย ไม่จำเป็นที่ต้องสู้กับพวกเขาเลย”
ชายกำยำอาศัยเนินเพื่อลงจากหลังลา เขาพูดอย่างรวดเร็ว “เจ้าพูดมามีเหตุผลดีนะ” โดยเฉพาะพวกซื่อจ้วงที่ลงเขามาแล้ว เมื่อสามารถมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ก็รู้สึกได้ถึงความน่าหวาดกลัว
เขาโบกมือเป็นสัญลักษณ์ให้พี่น้องถอยและหลีกทางให้กับพวกเขา
แต่โจรพี่น้องมองพวกซื่อจ้วงลงจากเขาไปแล้วก็บ่นพึมพำด้วยความเสียดาย “พวกเขามีสิ่งของล้ำค่าอยู่ชิ้นหนึ่ง เฮ้อ บางทีอาจจะขายได้ราคาดี” ชายกำยำได้ยินคำพูดนี้
ทันใด เสียงแตรของกัวคนโตก็ดังขึ้นบริเวณใกล้ตีนเขา
ซ่งฝูเซิงรีบยืดตัวตรงทันที เขาตะโกนบอกทุกคน “เร็วเข้า”
พวกชายฉกรรจ์ที่คอยเฝ้าดูแลเสบียงอาหารอยู่ด้านล่างภูเขา พวกเขาเตรียมเข็นรถเข็นแต่ละคันมารอตรงปากทางออกของภูเขาแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ซื่อจ้วงที่เต็มไปด้วยเลือดทั้งร่างกายเหมือนมนุษย์เลือดก็ไม่ปาน เดินปรากฏตัวออกมาก่อน ตามด้วยชายหนุ่มสิบคนที่หอบหิ้วน้ำ
ชายหนุ่มที่ผ่านการต่อสู้มาแต่ละครั้ง จะทำให้จิตใจเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาไม่รีบร้อนที่จะไปดูใคร สายตาจับจ้องอยู่กับรถเข็นที่มีพื้นที่ว่าง ทุกคนนำถังน้ำขึ้นไปไว้บนรถอย่างระมัดระวัง มือไม้ไม่มีสั่น มือจับถังน้ำอย่างมั่นคง พยายามไม่ให้น้ำกระเด็นออกแม้แต่หยดเดียวและปลดสัมภาระออก ก่อนจะทรุดนั่งลงที่พื้น หลังพิงรถหายใจอย่างเหนื่อยหอบ สองแขนเหนื่อยล้าจนดูเหมือนไม่สามารถจะยกขึ้นมาได้
แต่ละคนลากแขน ตาแดงก่ำ มองดูกลุ่มที่สลายตัวหลังลงมาจากภูเขา ค้นหาพ่อกับลุงที่คอยปกป้องพวกเขา
ไปดูจนถึงท้ายขบวน เถียนสี่ฟาลงมาแล้ว หูจือที่พิงรถลากก็ถึงกับสะอึกสะอื้น ต้าหลังเมื่อได้เห็นไหล่ของซ่งฝูไฉมีเลือดออก ก็ห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลไม่ได้เช่นกัน
เกาเถี่ยโถวสะอึกสะอื้นพึมพำ “ท่านพ่อ”
ท่านพ่ออะไรกัน เกาถูฮู่ไม่ได้สนใจเขา
เพราะตอนนี้การร้องไห้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เสียเวลาจนเกินไป
ไม่มีการปลอบโยน ไม่มีการห่วงใยกัน ยิ่งไม่มีเวลาในการสอบถามอาการบาดเจ็บด้วย
ทุกคนต่างกังวลใจว่าผู้ลี้ภัยหลายร้อยคนที่หิวกระหายจะพากันโหมกระหน่ำเข้ามาอีก มือเข็นรถไปไม่กล้าหยุด รถเข็ญแต่ละคันก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เสียงล้อไม้หมุนดังเสียดสีกัน
ซ่งฝูหลิงช่วยลุงใหญ่ที่บาดเจ็บกับพี่ใหญ่ที่มือไม้สั่นดันรถเข็น นางกัดฟันใช้แรงที่มี การเข็นรถต้องใช้แรงมากจนใบหน้าเบี้ยวเหยเก “อ๊าห์!”
ซ่งฝูเซิง เฉียนเพ่ยอิง หนิวจั่งกุ้ย สามคนช่วยกันเข็นรถที่บรรทุกอาหาร มันหนักมากจนรถเข็นแทบจะรับน้ำหนักไว้ไม่ไหว ซ่งฝูเซิงตะโกน “หนึ่ง สอง สาม ขึ้น!”
ทุกคนอดทนกับอาการบาดเจ็บ อดทนกับความหิวโหย เดินทางไปสองชั่วยามกว่า ถึงได้อาศัยช่วงที่ท้องฟ้ามืดมิดหยุดพักผ่อน
สถานที่หยุดพักค่อนข้างห่างไกลเพราะเส้นทางเดินต่อไปจะไม่ใช่มีแค่คนตายแล้ว แต่มีผู้คนที่ยังมีชีวิตมากขึ้น นั่นคือพวกผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่อพยพออกมาก่อน
เป็นคนในทุกฐานะและชนชั้น
ทุกคนไม่กล้าดื่มน้ำตอนกลางวันต่อหน้าผู้ลี้ภัยและก็ไม่กล้ากินข้าว ได้แต่อาศัยช่วงกลางคืน
ซ่งฝูเซิงคอยตรวจดูบาดแผลของทุกคน “มีความรู้สึกว่าตรงไหนไม่ดี? ปวดหัว อาเจียน มึนงง?”
เถียนสี่ฟาโบกมือ มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ทั้งหมดเป็นเพียงบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ เขาพูดจากใจ
“น้องสาม ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย นี่ก็ถือว่าสวรรค์คุ้มครองเราแล้ว…
…เจ้าไม่รู้อะไร บนหุบเขามีแต่คนตาย หิวกระหาย ทั้งที่รู้ว่าหญ้ามีพิษก็ยังกินเข้าไป…
…มีคนเดิมทีเคยมีเงิน แต่ถูกแย่งชิงไปแล้ว ก็ต้องกลายมาเป็นคนไม่มีเงิน มาปล้นคนอื่นอีกที
…ไม่ว่าตรงไหนก็มีแต่สภาพเอน็จอนาถ คนตายพวกนั้นต้องใช้เวลาหลายชั่วยามในการทำความสะอาด นี่ก็ถูกลากลงไปทิ้งตรงตีนเขา…
…ผู้ลี้ภัยที่ยังมีชีวิตอยู่มีไม่ถึงพันคน แต่น่าจะมีประมาณแปดร้อยคนที่อยู่บนเขานั่น…
…พวกเขาไม่มีเงินซื้อน้ำดื่ม ยิ่งเห็นคนอื่นมี ยิ่งเข้าแย่ง โดยไม่สนใจว่าจะมีเงินหรือไม่ ฆ่าให้ตายก่อนค่อยค้น เห็นน้ำก็ยิ่งมีแรงฮึดสู้ ครั้งนี้ยังดีที่ได้ซื่อจ้วงคอยช่วยเหลือ”
ซ่งฝูเซิงพยักหน้า “ยังดีที่พวกลี้ภัยที่เดินทางมานี้ ไม่ได้กิน ไม่ได้ดื่มอะไร ถึงไม่มีเรี่ยวแรง มิเช่นนั้นชีวิตพวกท่านหลายสิบคนคงต้องทิ้งไว้บนเขาแน่ๆ คนหนึ่งต้องต่อสู้สิบกว่ามือ หรือว่า เฮ้อ ก็ยังดีที่มีโจรพวกนั้นอยู่”
ซ่งฝูเซิงเพิ่งทำแผลให้เกาถูฮู่เสร็จ เกาถูฮู่ถามด้วยความสงสัย
“เสี่ยวซาน ทำไมจะต้องขอบคุณโจรด้วย? พวกเขาก็ไม่ใช่คนดีซะหน่อย บอกให้คนนำลูกสาวมาแลกน้ำดื่ม”
ซ่งฝูเซิงครุ่นคิดก่อนพูดออกมา “โจรพวกนั้นคงไม่ยอมให้ผู้ลี้ภัยเกิดเรื่อง ยอมให้อยู่บนภูเขาได้ แต่ไม่ให้พวกเขาจับกลุ่มกัน อย่างน้อยก็ไม่ให้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ จะสิบคน ยี่สิบคนก็คงไม่สนใจ แต่ถ้าร้อยคนรวมกันเป็นกลุ่มก้อนแล้ว เขาจะต้องลงมือสลายกลุ่ม มิเช่นนั้นจะกระทบกับอำนาจของเขาที่ดูแลปกครองบนเขาลูกนั้น”
หลังจากวันนี้ไป ยามที่เฝ้าระวังตอนกลางคืนต่างต้องทำงานอย่างเต็มที่ ไม่กล้านอนหลับตอนเข้าเวรอีก
ในช่วงเวลาหนึ่ง ทุกคนรู้สึกว่าตอนอยู่กับคนตายจะรู้สึกปลอดภัยกว่า เพราะเมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้ลี้ภัยที่ยังมีชีวิตอยู่พวกนั้น กลับรู้สึกว่าใจคนน่ากลัวที่สุดและอาจสิ้นชีพได้ง่ายๆ
ผ่านมามาสามวัน พวกซ่งฝูเซิงที่เพิ่งจะหยุดพักให้หายเหนื่อยก็พลันได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนร้องไห้ว่า ‘เด็กหายไปแล้ว’
ผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่นถอนหายใจ “ต่อไปถ้าเส้นทางไหนคนเดินเยอะก็ เดินไปตามเส้นทางนั้นเถอะ หากคนน้อยเกินไป เดี๋ยวก็ถูกคนอื่นจับกินเอา”
มีหญิงนางหนึ่งกำลังร้องไห้ไปด่าไปด้วย ด่าพวกคนนอกพื้นที่พวกนี้ ที่ทำให้ตลอดการเดินทางต้องถูกปล้นสะดม ครอบครัวของนางเคยอยู่กันมาดีๆ พอคนนอกเข้ามาเท่านั้น พวกนางก็กลายเป็นผู้อพยพไปทันที คนในครอบครัวก็กระจัดกระจาย นางเกลียดพวกคนนอกพื้นที่มาก
คำด่านี้ทำให้คนมีความรู้สึกร่วมกัน
ซ่งฝูเซิงอยากจะเดินขึ้นไปสอบถามข่าวสารว่า ตอนนี้อยู่ห่างไกลเมืองเฉิงฉือแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าเข้าไป คนพวกนั้นต่างก็รังเกียจพวกเขาเสียแล้ว
ตอนนี้เอง มีเสียงวิ่งเป็นจังหวะพร้อมกันดังมาแต่ไกล
ซ่งฝูหลิงยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางก็เห็นผู้ลี้ภัยที่อยู่ใกล้กันต่างก็คุกเข่าลง มีคนตะโกนร้อง ‘อายุยืนหมื่นปี’ พร้อมกับมีเสียงคนตะโกนบอกว่า ‘มีคนมาช่วยแล้ว’
ซ่งฝูเซิงกดลูกสาวให้คุกเข่าลงกับพื้น “ท่านพ่อ เขามาส่งน้ำส่งอาหารให้พวกเราใช่ไหม?”
“เจ้ามองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว”
“ถ้างั้น พวกเขาจะเปล่งเสียง ‘หมื่นปี’ ไปทำไมกัน?”
“คงส่งทหารออกมาปราบปราม ข้าสงสัยว่าคนกลุ่มนี้กำลังจะไปภูเขาที่มีน้ำอยู่บนยอดเขาลูกนั้น ท่านอ๋องเยี่ยนสามารถส่งกองกำลังทหารไปดูแลภูเขาลูกนั้นได้ นี่ก็ถือเป็นท่าทีอย่างหนึ่งที่เขาแสดงให้เห็นว่าเขามีความเป็นห่วงเป็นใยต่อประชาชนผู้อพยพลี้ภัยมา”
ซ่งฝูหลิงแอบเงยหน้าที่มอมแมมราวกับแมวขึ้นมามอง นางเห็นชายหนุ่มท่าทางสง่างาม ขี่ม้านำขบวน นางเหลือบมองแวบหนึ่งก่อนจะละสายตามามองพวกทหาร โอ้ว เสื้อเกราะยุคโบราณนี่ดูหนักจัง