ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 132
ท่านย่าหม่าสอบถามเถ้าแก่ “มีพริกไทยเสฉวนหรือไม่ สามารถแบ่งให้หน่อยได้ไหม?”
เถ้าแก่หยุดมือที่กำลังดีดลูกคิด เขากลอกตาใส่ “ตั้งแต่พวกเจ้าเข้าเมืองมา เจ้ารู้ไหมว่าพริกไทยเสฉวนนี้ขึ้นราคาไปแล้วเท่าไร?”
ท่านย่าหม่าถามขึ้นอีก “ขอขิงหน่อยได้ไหม? จะต้มน้ำขิงให้เด็กๆ คลายหนาว”
เถ้าแก่ก็เอ่ยขึ้นอีก “ตั้งแต่พวกเจ้าเข้ามาในเมืองแล้ว อย่าว่าแต่ข้าวหรือบะหมี่เลย แม้แต่ขิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าราคาขึ้นไปเท่าไรแล้ว?”
ท่านย่าหม่าแอบมองค้อนเขา นางอดที่จะพูดขึ้นไม่ได้
“เถ้าแก่ ท่านคิดว่าพวกข้าดีใจไหม? หมู่บ้านของพวกข้ามีคนเยอะที่สุดในเขตปกครองนั้น ในหมู่บ้านมีมากกว่าร้อยครัวเรือน แต่ตอนนี้เหลือเพียงสิบกว่าครัวเรือนแล้ว คนเหล่านั้นก็ไม่รู้ชะตากรรมว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร…
…แค่พวกข้า ท่านก็เห็นแล้ว มีทั้งคนชราและเด็ก…
…ท่านคิดว่าพวกข้าดีใจที่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มหรืออย่างไร? แค่พวกท่าน แม้แต่เผาท่อนฟืนก็คิดจะเก็บเงิน พวกข้าก็ไม่มีพื้นที่จะร้องไห้แล้ว ซื้อยาขวดเล็กๆ แก้ปวดหัวตัวร้อน ในขวดก็มียาอยู่ไม่กี่เม็ด เรียกเก็บเงินจากพวกข้าตั้งหกตำลึง หกตำลึงเชียวนะ ทำไมถึงไม่สูบเลือดสูบเนื้อเสียเลยล่ะ”
นางพูดจบ ทั้งสองคนก็สบตากันนิ่งโดยมีโต๊ะเก็บเงินคั่นกลางระหว่างกัน
เถ้าแก่ถอนหายใจ ก่อนพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ เขาชี้มือไปทางห้องโถงด้านหลังพร้อมเอ่ยขึ้น “ข้ายอมแล้ว ยอมแล้ว ให้เจ้าใช้ฟรีก็ได้ เฮ้อ ไปต้มกันเอาเองเถอะ!”
“อ้อ” ท่านย่าหม่ารีบพนมมือไหว้ขอบคุณ “ขอบคุณ ขอบคุณเถ้าแก่มาก”
เมื่อรับน้ำซุปขิงมาแต่ละชาม พวกนางก็ถือเข้าไปในห้องพักสองห้องและยังถือไปที่ห้องเก็บฟืนกับคอกม้า
น้ำซุปในชามแทบจะมองไม่เห็นเนื้อขิง ได้แต่อาศัยกลิ่นเอา
ลูกสะใภ้หลายบ้านรับหน้าที่คอยเก็บชามและเร่งให้ทุกคนรีบดื่ม เพราะพวกนางยืมชามมาจากครอบครัวอื่นและยังต้องล้างชามให้สะอาด
ท่านย่าหม่านำขิงสองแง่งกลับห้องพัก นางเดินเขย่งเท้าเพราะกลัวว่าจะเหยียบโดนแขนขาของหลานๆ นางให้ขิงแง่งหนึ่งกับพวกต้าหลังไว้ใช้ถูเท้า
ส่วนขิงอีกแง่งหนึ่งได้นำมาถูเท้าให้กับซ่งฝูหลิง
“โอ้ย ท่านย่า ไม่ไหวแล้ว”
“ทนหน่อย”
“ไม่ใช่ ทนไม่ไหวแล้ว ยิ่งจั๊กจี้มากขึ้นไปอีก ฮาๆ”
“เจ้านี่ เรื่องมากจัง มัวแต่หัวเราะอยู่นั่น ห้องพักด้านข้างมีคนอยู่”
ซ่งฝูหลิงกลั้นหัวเราะ ท่านย่าหม่าถูเท้าหลานสาวคนเล็กเสร็จแล้ว นางก็มาถูเท้าของซ่งจินเป่าต่อ
เฉียนเพ่ยอิงมองหมี่โซ่วที่อยู่ในอ้อมกอด “หมี่โซ่ว มือเท้าของเจ้าคันหรือไม่?”
หมี่โซ่วดูไม่มีชีวิตชีวา มองดูก็รู้ว่ากำลังง่วงนอน “หมี่โซ่วไม่ได้หนาว ท่านป้าคันหรือไม่? ท่านป้าถู”
เฉียนเพ่ยอิงใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำอุ่นเช็ดหน้าให้กับหมี่โซ่ว นางเช็ดเสร็จก็กล่อมหมี่โซ่วนอน “นอนเถอะ นอนเถอะ”
เมื่อเช็ดเท้าซ่งจินเป่าเสร็จ แง่งขิงก็แทบจะไม่มีน้ำเหลือแล้ว แต่ท่านย่าหม่าก็ยังทำเหมือนมันเป็นสิ่งของล้ำค่า ยื่นส่งให้กับซ่งอิ๋นเฟิ่ง
ซ่งอิ๋นเฟิ่งเหลือบมองเถาฮวา ไม่ได้ให้ลูกสาวของตนเองก่อน นางคิดว่า น้องรองกับน้องสะใภ้รองต่างก็นอนอยู่ห้องเก็บฟืน ถึงแม้พวกน้องรองจะไม่อยู่ แต่ก็ไม่ควรจะเอาเปรียบลูกของพวกเขา นางจึงนั่งคุกเข่าลงกับพื้นถูเท้าให้กับต้ายา
ถึงแม้จะอยู่ตอนเหนือ แต่ตอนช่วงต้นเดือนนี้ยังไม่หนาวจนตัวแข็งแบบนี้ เพียงแค่สภาพอากาศช่วงเช้ากับเย็นจะแตกต่างกันมากเท่านั้น
เป็นเพราะสภาพอากาศอบอุ่นเมื่อหลายวันก่อน กับหลังจากที่เดินทางต่อไปก็มีลมหนาวพัดผ่าน ลมประทะเข้าใบหน้า อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวทำให้สภาพร่างกายทนรับไม่ไหวจนมีสภาพเช่นนี้
ซ่งฝูหลิงรื้อค้นหาสิ่งของในกระเป๋า นางนำน้ำมันทาหน้ายุคโบราณออกมา ก่อนหน้านี้แม้แต่น้ำก็ยังไม่มี เด็กที่อพยพลี้ภัยไม่ได้ล้างหน้า ไม่มีสิทธิ์ล้างหน้า น้ำมันทาหน้าถึงไม่ค่อยได้ใช้
ตอนนี้นางนำมันออกมา นางใช้มือข้างหนึ่งเกาหนังศีรษะดังแกรกๆ มืออีกข้างแต้มน้ำมันทาลงบนเท้า แล้วเอาถุงพลาสติกสีดำที่ใช้ตอนสระผมมาห่อเท้าไว้ หลังจากนั้นนางก็ยื่นน้ำมันทาหน้าให้เฉียนเพ่ยอิง
เฉียนเพ่ยอิงก็ทาไปบ้างและนางยังทาน้ำมันบนใบหน้าให้กับหมี่โซ่ว เด็กน้อยโหนกแก้มแดงและโดนลมเป่าจนมีรอยย่น เด็กน้อยยังถามอีกว่า ท่านป้า ท่านทาอะไร? ทำไมทาแล้วรู้สึกแสบหน้า ก็จะไม่ให้เจ็บได้อย่างไร? ผิวแห้งขนาดนั้น
เฉียนเพ่ยอิงเช็ดเสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้ซ่งอิ๋นเฟิ่ง ซ่งอิ๋นเฟิ่งรีบโบกมือปฏิเสธไม่เอา
“พี่สาว ข้าไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงแล้ว ให้อะไรกับท่าน ท่านก็มักจะปฏิเสธ ท่านก็เหนื่อย ข้าก็เหนื่อยเช่นกัน…
…เร็วเข้า ทำเหมือนพวกข้าสองคนแม่ลูก ทาให้เถาฮวา ทาให้กับต้ายา เอ้อร์ยา ยังมีเด็กชายพวกนั้นอีก ทาให้หมดทุกคน…
…พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมทาอีก ของสิ่งนี้วางไว้บนโต๊ะ พวกเราตอนนี้ไม่ต้องมีสภาพเหมือนไม่ใช่คนแล้ว มีเจ้าหน้าที่คอยดูแล ไม่มีใครมาปล้นบนถนน เหตุการณ์เลวร้ายเบาบางลงหน่อย”
หลังจากซ่งอิ๋นเฟิ่งได้ยินคำพูดเหล่านี้ นางก็แอบมองสีหน้าของน้องสะใภ้สามอยู่หลายครั้ง นางถึงจะมารับเอาไป แต่ก็ไม่ได้ทาเท้าให้พวกเถาฮวา นางได้แต่แต้มน้ำมันทาลงบนใบหน้าและมือเท่านั้น
ต้าหลังและคนอื่นๆ นอนลงกับพื้นอย่างขัดขืนและพวกเขาไม่ได้เช็ดอะไรเลย พวกเขาไม่ทาอะไรทั้งนั้น เมื่อตะโกนเรียกก็พลิกตัวแอบไปมาเพราะไม่มีผู้ชายที่ไหนทาสิ่งของแบบนี้
ซ่งฝูหลิงนั่งอยู่บนเตียง นางอดไม่ได้ที่จะเกาหัว ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจใช้สองมือเกาแกรกๆเกาจนตนเองกลายเป็นคนบ้าไปแล้ว
เอ้อร์ยาพลิกตัวกลับมา “พั่งยา เจ้าอย่าเกาเลย ข้าเห็นเจ้าเกา ข้าก็อยากจะเกาบ้าง เหมือนคันไปทั่วทั้งตัว”
เฉียนเพ่ยอิงตบเข่าลูกสาวให้เกาเบาๆ หน่อย อย่าเกาจนเลือดออก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามีเหา ควรจะถามว่าในนี้มีใครไม่มีเหาบ้าง? ทุกคนต่างก็มีเหากันหมดแล้ว
ซ่งฝูหลิงสภาพผมบนหัวเหมือนรังผึ้ง ในสภาพแบบนี้ถือน้ำมันทาหน้าค่อยๆ เดินมาข้างเตียงท่านย่าหม่า เพียงสักครู่หนึ่ง ในห้องยังมีคนพูดคุยกันอยู่เลย ท่านย่าหม่าก็นอนหลับไปแล้ว แสดงให้เห็นว่านางเหนื่อยเพียงใด
ซ่งฝูหลิงจับเท้าท่านย่าของนาง ใช้มือเล็กแต้มน้ำมันทา นางกลัวว่าจะเป็นการปลุกท่านย่าให้ตื่น นางจึงทาอย่างระมัดระวังจนเสร็จแล้วห่อด้วยผ้า
ท่านยายเถียนนอนตะแคง นางเหลียวมองพร้อมกับถอนหายใจ
ซ่งอิ๋นเฟิ่งเหลือบมองเถาฮวาและมองต้ายาเอ้อร์ยา ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าทำไมท่านแม่ถึงคอยตามใจพั่งยามาตลอดทาง
เมื่อก่อนก็รักพั่งยามาก แต่เมื่อลูกสาวของนางมาพูด มักจะรู้สึกว่าท่านแม่ทำดีด้วยก็เป็นเพราะน้องสามกับพั่งยาที่มีท่านตาที่ดี แต่คราวนี้ตลอดเส้นทางเดินที่ผ่านมามันช่างแตกต่างกันเสียจริง
ย่าหลานสองคน เริ่มตั้งแต่ทะเลาะกัน จนกลายมาเป็นพยุงแขนพากันเดินไป คุยบ่นหนุงหนิงตลอดการเดิน พวกเราก็ไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งสองกำลังคุยอะไรกัน ในช่วงที่ขาดแคลนน้ำ ท่านแม่กับพั่งยาก็แอบคุยเป็นการส่วนตัวอยู่หลายครั้ง
ในตอนนี้ซ่งฝูเซิงออกมาจากห้องของซ่งหลี่เจิ้ง ไม่เพียงแต่พันแผลใหม่ให้กับพี่ชายคนโต เขาก็ยังตรวจบาดแผลของคนอื่นๆ ด้วย
สรุปอาการบาดเจ็บของทุกคน ชีวิตคนอันต้อยต่ำหล่อเลี้ยงชีวิตอยู่ง่ายมาก ในแต่ละวันซื่อจ้วงมีเรี่ยวแรงมากขึ้น บริเวณที่ใช้ไฟลวกเพื่อห้ามเลือดนั้นให้ผลลัพธ์ได้ดีกว่าที่เขากินยาแก้อักเสบมากและเริ่มมีเนื้อขึ้นมาใหม่แล้ว
ซ่งฝูเซิงให้พี่ชายคนโตกลับห้องไป เขาวางแผนจะไปสำรวจที่ห้องเก็บฟืนกับคอกม้าสักรอบหนึ่ง เพื่อดูว่าทุกคนเป็นอย่างไรกันบ้าง มิฉะนั้นเขาไม่วางใจ ไม่สามารถคาดหวังกับหลี่เจิ้งได้ ท่านลุงอายุมากแล้ว ตอนนี้เขาก็นอนหลับไปแล้ว
เมื่อเขามาถึงห้องเก็บฟืน ซ่งฝูเซิงก็เอ่ยถาม ทั้งหมดซักแล้วหรือยัง? อาศัยช่วงจังหวะที่น้ำยังร้อนอยู่แช่มือแช่เท้า ผ้าห่มพอหรือไม่? ถ้าไม่พอเขาจะได้ไปบอกเถ้าแก่ ขอยืมผ้ามาเพิ่มอีกหลายผืนหน่อย อย่างมากก่อนออกเดินทางช่วงเช้าพวกเราก็ขยันซักส่งคืนให้พวกเขา
ท่านยายหวังนอนอยู่บนพื้น นางอยู่ไม่ไกลจากเตาไฟมากนัก นางเป็นตัวแทนทุกคน ยกมือโบกปฏิเสธพร้อมกับเอ่ยขึ้น “หลานฝูเซิงรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราสบายดี” ถูกต้องแล้ว ‘หลาน’ ท่านยายหวังตัดสินใจนับญาติเป็นญาติกับท่านย่าหม่าตั้งแต่ครั้งพูดคุยลำดับเครือญาติกันครั้งก่อน นางกับท่านย่าหม่า ต่อไปก็เป็นพี่สาวน้องสาวกัน มีความสัมพันธ์เป็น “ญาติทางฝั่งแม่” แล้ว
ซ่งฝูเซิงเดินสำรวจรอบหนึ่งก็รู้สึกว่าคนน้อยลง เมื่อเขามาถึงคอกม้าก็รู้สึกว่าคนน้อยลงไปอีก
“คนอื่นล่ะ ไปไหนกันแล้ว?”
หนิวจั่งกุ้ยตอบกลับ “นายท่าน เกาถูฮู่ใช้เงินไปซื้อไม้กระดานจำนวนหนึ่งมา เขาพาคนไปเข็นรถเข็นสามคัน เพื่อเข็นไม้ไปทำตู้รถแล้ว เถ้าแก่ไม่อยากให้เสียงดังจึงไม่ให้พวกเขาทำงานบริเวณลานนี้ พวกเขาจึงลากรถพร้อมกับไม้กระดานไปทำตรงถนนหลวง”
อีกทั้งยังบอกกับซ่งฝูเซิง “เถี่ยโถวกับเด็กหนุ่มหลายคนนั่นก็กำลังคิดทำถ่านไม้ด้วยตนเอง กลัวว่าระหว่างทางพวกเราจะไม่พอใช้”
ซ่งฝูเซิงขมวดคิ้ว เหลวไหลใหญ่แล้ว เผาทำถ่านไม้ต้องใช้เวลาประมาณ7-8ชั่วโมง คืนนี้ก็ไม่ต้องนอนกันแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องรีบออกเดินทาง
เมื่อเขารีบมาถึงถนนหลวง ก็เห็นพวกเถี่ยโถว เขาก็ถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก กลัวว่าคนพวกนี้จะไปขุดหลุมเผาถ่านเสียแล้ว
เถี่ยโถวรู้สึกไม่พอใจ “อาสาม ที่นี่ไม่สะดวกเหมือนอยู่บนภูเขา ฟืนไฟก็ไม่สามารถใช้ได้ตามใจ ยิ่งเป็นไม้ยิ่งแล้วใหญ่ จะเผาทำถ่านอย่างไรดี”
ซ่งฝูเซิงไม่สนใจเขา
เกาถูฮู่ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ เขาชี้ไปที่ตู้รถลากสองคันที่ทำออกมาใหม่ “ดูแน่นหนามากใช่ไหม? ลมไม่สามารถเข้าไปได้ ถ้าไม่เชื่อลองเอื้อมมือเข้าไปสัมผัสได้ เวลาเด็กๆ อยู่ข้างในจะได้อบอุ่น เถ้าถ่านที่อยู่บนถาดจะได้ไม่ปลิวว่อนจนทำให้คนไอหรือจามได้ นี่พวกเราต้องอยู่ข้างหน้าลากรถ ข้ามัดเชือกเอาไว้แล้ว เจ้าดูสิ ถึงตอนนั้นก็ค่อยหาคนร่างกายกำยำหลายคนๆ มาช่วยกันลากรถ”
กัวคนโตพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าสามารถลากได้ ครั้งนี้พวกเรามีตู้รถแล้ว ไม่ต้องให้คนที่มีน้ำใจดั่งเช่นคหบดีท่านนั้นต้องกังวลใจ พวกเขาชอบคิดว่าพวกเราจะทำให้พวกเด็กๆ ต้องเหน็บหนาว มองจากสายตาของพวกเขาแล้วเหมือนกับว่าพวกเราน่าสมเพชมาก พรุ่งนี้ให้พวกเขามองใหม่ ของที่พวกเราทำก็ไม่ได้แตกต่างจากที่พวกเขาซื้อเท่าไร”
ชายฉกรรจ์อีกหลายคนเหน็ดเหนื่อยจนเหงื่อไหล พวกเขาก็พูดเสริม “ใช่ พรุ่งนี้ต้องให้พวกเขาได้ดู”
ในตอนนี้ซ่งฝูเซิงหรี่ตามอง เห็นผู้คุมเถิงเดินตามถนนหลวงมุ่งหน้ามายังโรงเตี๊ยมที่พวกเขาพำนัก มองดูก็รู้ว่ามาหาพวกเขาโดยเฉพาะ มีเรื่องที่จะพูดคุย
เขาหันกลับไปมองพวกที่ยังไม่นอน ชายฉกรรจ์หลายคนที่ทำตู้รถให้กับพวกเด็กๆ
“ทำเสร็จแล้วก็รีบกลับไปซะ” ทิ้งประโยคนี้ไว้ ซ่งฝูเซิงก็รีบเดินกลับไปยังโรงเตี๊ยม
เพิ่งเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม สายตาเขาก็กวาดมองหาร่างของผู้คุมเถิง เขาส่งยิ้มให้กับผู้คุมเถิงพร้อมกับทำการคารวะและพูดกับเถ้าแก่ “นำเหล้ามาไหหนึ่งพร้อมกับแกล้มมาสองอย่าง”
ในห้องโถงด้านหน้ามีโต๊ะว่างยี่สิบกว่าโต๊ะ ซ่งฝูเซิงกับผู้คุมเถิงนั่งอยู่ใกล้ริมหน้าต่าง
เมื่อเหล้าถูกรินลงไปในถ้วยเหล้าก็ส่งเสียงดังขึ้น
ซ่งฝูเซิงชูถ้วยขึ้น “ผู้คุมเถิง เดิมทีข้าอยากจะไปพบท่าน แต่ก็ยุ่งมาตลอดแล้วก็เกรงว่าจะเลยช่วงเวลาผักผ่อนของท่าน ข้าก็เลยคิดว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปพูดคุยหารือกับท่านสักหน่อย”
ผู้คุมเถิงกุมมือที่วางอยู่ใต้โต๊ะไว้แน่น คนที่อยู่ตรงหน้ามองคนได้ทะลุปรุโปร่ง รู้จักการใช้ชีวิต เขาก็เริ่มรู้สึกเก้อเขินไม่กล้าที่จะเอ่ยปากออกมา
แต่ครอบครัวพวกนั้น เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยม นอกจากคหบดีท่านนั้นแล้ว ครอบครัวอื่นก็พากันมาหาเขา เพื่อนร่วมงานกับลูกน้องต่างก็มีความคิดเห็นตรงกันให้ทิ้งคนพวกนี้ไว้ ให้พวกเขาเดินทางไปกันก่อน
ซ่งฝูเซิงมองสีหน้าของผู้คุมเถิงแล้วก็รินเหล้าอีกครั้ง เขาพูดเกริ่นหัวข้อขึ้นมาก่อน
เขาสอบถามกับผู้คุมเถิงว่า สามารถบอกเขาได้หรือไม่ว่าจะต้องเดินทางอย่างไรเพื่อที่จะถึงสถานที่เป้าหมาย ต้องมีขั้นตอนอะไรบ้าง ถ้าต้องมีหนังสือผ่านทาง ท่านสามารถให้ข้าได้ไหม พวกเราสามารถแยกกันเดินทางได้หรือไม่
ต้องสะดวกกับคนอื่นและสะดวกกับตนเองด้วย เข็นรถตามขบวน พวกเราต้องเหน็ดเหนื่อยใช้แรงมาก