ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 159-2
เกาถูฮู่ยกมือขึ้นกุมหัวด้วยความกลัดกลุ้ม “มิน่า สองวันมานี้ข้าตดเหม็นมาก”
“ท่านพ่อ” เกาเถี่ยโถวเหลือบมองพี่สะใภ้ ท่านพ่อทำไมถึงไม่รักษาภาพพจน์นะ
ยังจะรักษาภาพพจน์อะไรกันอีก เกาถูฮู่คิดในใจ ที่ข้ากินเข้าไปนั่นเป็นเงินตั้งมากมาย ทำไมข้าถึงไม่ติดคอตายไปซะเลย
ซ่งหลี่เจิ้งได้ฟังจนจบก็ถึงกับสะดุดล้ม เขานั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในสวนของจวนสวี เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า
ชายชราเริ่มอารมณ์เหม่อลอย มีคำถามเกิดขึ้นในจิตใจของเขา
หนึ่ง ฮ่องเต้เสวยเห็ดแบบนั้น?
สอง เคยได้ยินมาว่าฮ่องเต้กินน่องหมูทุกมื้อไม่ใช่หรือ?
สาม เห็ดพวกนั้นถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แล้ว แค่คีบก็เสียเวลา ฮ่องเต้ก็ยังกิน?
สี่ นี่เขากับฮ่องเต้กินอาหารเหมือนกัน?
และชายวัยกลางคนหลายคนก็รู้จักทำหน้าที่อย่างจริงจัง
พวกเขารีบปลดเห็ดหูหวังจวินที่แขวนอยู่บนรถเข็นออกมา คงไม่ต้องตากแล้วเพราะมีเหลืออยู่เพียงเท่านี้ มันเป็นของที่มีค่า แขวนติดไว้ตรงนั้นจะเป็นที่สะดุดสายตาเกินไป
มือหนาใหญ่คู่หนึ่งค่อยๆ ปลดเห็ดออกมาอย่างระมัดระวัง เขาคอยเตือนเพื่อนร่วมงานไปด้วย “เจ้าเบาหน่อย มือเบาหน่อย อย่าทำให้เสียหาย”
รักและทนุถนอมมากกว่าเพิ่งได้ลูกชายเกิดใหม่เสียอีก
ลูกพี่ลูกน้องของซ่งฝูเซิงถามขึ้นอย่างกะทันหัน “พวกเจ้าว่า เจ้าหน้าที่ในเขตอำเภอนั้น สร้างความลำบากให้กับพวกเรา พวกเขาจะต้องการเห็ดของพวกเราไหม?”
กัวคนรองถอนหายใจ “ไม่แน่”
“ไม่แน่อะไร ถ้าเขารู้จักคงมาแย่งเห็ดของพวกเราไปแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนต้องกัดฟันพร่ำบ่นขึ้นมาทันที
คนบ้าพวกนั้นดึงทึ้งเห็ดที่ตากหลุดไปไม่น้อย รอให้พวกเราออกจากเมืองไปก่อน ให้พี่สามโยนตราประทับนั่นทิ้งลงคลองน้ำเน่าไป พี่สามเคยพูดว่าตราประทับหายก็เท่ากับหลุดจากตำแหน่งแล้ว
เดิมทีมันก็ไม่ได้โดนดึงหลุดไปมากเท่าไร ที่หลุดออกมาคือส่วนด้านข้างของเห็ด และส่วนดีๆ ถูกพวกเขากินกันไปหมดแล้วแต่พวกเขาไม่ยอมรับความจริง กลัวว่าหากยอมรับแล้วจะรู้สึกปวดใจ ทำได้เพียงหาอย่างอื่นมาระบายอารมณ์แทน
ชายคนที่สมองได้รับการกระทบกระเทือนก็รู้สึกกลุ้มใจมาก “พวกเจ้ารู้สึกเสียดายไปก็เท่านั้น อย่างน้อยพวกเจ้าก็ได้กินกันแล้ว แต่ข้าสิ อ้วกออกมาหมดเลย”
ในห้องรับรองด้านข้างเรือนยังคงมีกลิ่นไอความชื้น หญิงชราหลายคนนอนเรียงกันอยู่บนเสื่อ
หญิงชราหลายคนก็ไม่ทำอาหาร ไม่ดื่มน้ำข้าวแล้ว
ท่านยายหวังถอนหายใจ “ข้ากินเข้าไปเยอะ แต่ถ้าจะให้อ้วกออกมาก็ไม่มีประโยชน์”
แม่ของเถียนสี่ฟา “มิน่าถึงหอม”
ท่านยายกัวพูดขึ้น “พวกเรามีตาแต่ไร้แวว กินของดีเข้าไปยังไม่รู้เลย ข้ายังคิดไม่ออกว่าเห็ดนี้จะเป็นราชาแห่งเห็ดได้อย่างไร”
แม่ของผู้ชายที่สมองกระทบกระเทือนก็พูดขึ้น “ข้ายังคิดไม่ถึง ถั่วเมล็ดสนครึ่งกิโล ราคาเจ็ดสิบเหวิน ครุ่นคิดมาหลายวัน กินก็ไม่อิ่ม แต่ทำไมขายได้ถึงเจ็ดสิบเหวิน? เนื้อราคายี่สิบกว่าเหวินเอง เอาเงินไปกินเนื้อไม่ดีกว่าหรือ?”
ท่านย่าหม่ากุมหัว โอ้ นางไม่อยากพูดอะไรแล้ว ต่อไปจะไม่กินเห็ดอีกแล้ว ถ้ากินก็จะทำให้คิดถึงแต่เรื่องนี้ ช่างปวดใจ
นางไม่อยากฟังคนพวกนี้พูดคุยกันเพราะเมื่อฟัง คำพูดไหนก็น่าโมโห โดยเฉพาะคำพูดประโยคนั้นของท่านยายหวัง
ยายหวัง เจ้าคนช่างกิน เจ้ากินเห็ดไปตั้งเยอะ ชีวิตนี้เจ้าได้กำไรมากกว่าข้าเสียอีก
ส่วนข้านั้น มักขาดทุนอยู่เสมอ
เมื่อได้กินอาหารดีๆ กินน่องไก่น่องใหญ่ แต่ตอนนี้มาบอกนางน่องไก่ถูกกว่าเห็ด จะให้นางทนได้อย่างไรกัน
นั่นเป็นครั้งที่นางอยู่ใกล้กับเห็ดนั้นมากที่สุด ก็ต้องมาพลาดโอกาสไป
ป้าของซ่งฝูเซิงพูดขึ้นมา “ไม่รู้ว่าพั่งยาเลือกอย่างไร ใช้อะไรตุ๋นก็ได้ ดันเลือกอันที่แพงที่สุดมา”
“นี่” ท่านย่าหม่ารีบลุกขึ้น “ที่เจ้าพูดนั่น เป็นภาษาคนใช่ไหม!”
“ข้าเป็นพี่สะใภ้เจ้านะ พูดจาให้มันดีๆ หน่อย เจ้ายังคิดจะรังแกอะไรข้า? ตลอดทางที่ผ่านมาข้าไม่ได้โวยวายเลย เจ้าลองถามคนอื่นได้ มีใครที่พูดจากับพี่สะใภ้แบบนี้กัน”
“ข้าถามใคร พวกนางมีพี่สะใภ้ที่ไหนกัน ถ้ามีก็ไม่ได้ตามมาด้วย อีกอย่าง เจ้าพูดออกมาแบบนั้นก็เหมือนตดออกมา อย่าว่าแต่เจ้าเลย ต่อให้พ่อสามีโผล่ออกมาจากหลุมดิน ข้าก็กล้าพูดต่อหน้าเขา”
“เจ้า?”
“เจ้าจะทำไม?” ท่านย่าหม่าตะโกนแหกปาก
“ซื่อจ้วงของบ้านข้าเป็นคนหาเห็ดหูหวังจวิน ส่วนเห็ดมัตสึตาเกะก็เป็นเพราะหลานสาวคนเล็กกับหมี่โซ่วที่เป็นคนหามาได้ ลูกสามของข้าเห็นแก่ทุกคน ตั้งแต่หาของพวกนี้ได้ก็บอกกับทุกคนว่า ไม่ว่าขายได้เงินมาเท่าไร ทุกคนต้องมีเงินไว้ติดตัว ให้แบ่งเท่ากันหมดเหมือนถั่วเมล็ดสน…
…เห็ดทั้งหมดนี่ก็เป็นคนในครอบครัวข้าหามาได้ ข้าจะไม่แบ่งก็ได้…
…เจ้าอย่าทำเป็นไม่ยอมรับ ถ้าเป็นเจ้าละ เจ้าก็คงไม่แบ่ง ข้าพูดผิดไหม? ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะหาเรื่องไปทั่ว…
…เจ้าพูดจาแดกดัน อย่าว่าแต่เห็ดหูหวังจวินเลย ข้าจะไปเอาเห็ดมัตสึตาเกะมาต้มกิน ใครก็ว่าพวกข้าไม่ได้…
…มีเจ้า? เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาว่าหลานสาวคนเล็กของข้า เจ้าไม่ได้เป็นคนเก็บ มีหน้ามาจากไหน!
หญิงชราหลายคนที่นอนอยู่ต่างก็ลุกขึ้นมา
พวกนางมาช่วยห้ามปรามไม่ให้ทั้งคู่ทะเลาะกัน พวกเรามาจากหมู่บ้านเดียวกัน เหลือกันอยู่แค่นี้ เหลือเพียงความสามัคคีกับถั่วเมล็ดสนแล้ว
อีกด้านก็คอยห้ามปรามอีกฝ่ายหนึ่งให้เบาๆ การพูดจาลง จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันต่อไป อีกอย่าง ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเจ้าสองคนก็อยู่ด้วยกันได้ไม่ใช่หรือ?
“ใครจะไปอยู่กับนางได้” ท่านย่าหม่าใช้มือดึงเส้นผม “พั่งยาของข้าหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง นี่ก็หยิบของที่ดีที่สุดแพงที่สุด ถ้าเป็นพวกเจ้า ลองมีของมาอยู่ตรงหน้าก็เลือกไม่เป็น ข้าจะคอยดูว่ามีใครกล้าพูดอะไรไหม?”
ท่านป้าของซ่งฝูเซิงร้องไห้พร้อมกับตีที่นอนไปด้วย เมื่อก่อนนางจะเรียกให้สามีหรือลูกมาเป็นคนตัดสิน ตอนนี้นางปาดน้ำตาพร้อมกับตะโกนเรียกซ่งฝูเซิง “หลานสาม เจ้ารีบมาดูแม่ของเจ้าสิ เจ้าไม่มาคุมแม่ของเจ้า? ข้าแค่พูดไปประโยคเดียว นางก็ไม่ยอมคน ข้าก็ไม่ได้พูดไปอย่างอื่นเลย”
ซ่งฝูเซิงได้ยินเสียงทะเลาะมาตั้งแต่ต้นแล้ว เมื่อครู่ภรรยาของเขาให้เขาเข้าไปดูเหตุการณ์หน่อย
ดูอะไรกัน เขาตั้งใจทำเป็นไม่ได้ยินก็เพื่อยืมใช้คำพูดแม่ของเขาให้ทุกคนได้ยิน ทำอะไรต้องรู้จักคิด
ตอนนี้โดนเรียกชื่อแล้ว เขาถึงได้ตะโกนบอก “อย่าทะเลาะกันเลย มีประโยคหนึ่งพูดว่า เมื่อหมดไปแล้วก็อาจจะมีใหม่กลับมาได้เช่นกัน”
หมายถึงอะไร?
“สิ่งที่ถูกกำหนดให้มีในชีวิต ถึงยังไงมันก็จะมี และถ้าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ถูกกำหนดให้มีในชีวิต ก็ไม่สามารถบังคับให้มีได้”
ซ่งฝูหลิง “…”
แม้นางนางเริ่มชินกับการใช้คำพูดของท่านพ่อที่ชอบพูดส่งเดชไปเรื่อย แต่เมื่อเอามันมารวมๆ กัน ก็ดูมีเหตุผลเหมือนกันนะ
ทุกคน หมายถึงอะไร
ช่างเถอะ เสียเวลาแบบนี้ พูดออกมาเป็นภาษาพูดเลยดีกว่า
พวกเราไม่ได้มีชีวิตแบบนั้น นั่นเป็นโชคชะตาชีวิตที่ลิขิตไว้แล้ว ถ้าพวกเราไม่ได้กินเห็ดพวกนั้นแต่เอาไปขายหารายได้ พวกเจ้าอาจจะไม่ค่อยเชื่อกัน ถ้ามันไม่ใช่ของของเจ้า แต่เจ้าได้มันมา ไม่แน่ว่าเงินที่หามาได้อาจจะต้องเสียไปกับเรื่องที่ไม่ดี เป็นค่ารักษา เข้าคุก เป็นเรื่องที่พูดยาก และอาจจะต้องขาดทุนเสียเงินไปมากกว่าที่ได้มาอีก นี่อาจจะเรียกว่า ‘การเอาคืนจากสวรรค์’”
โอ้ว สวรรค์ ตอนนี้ซ่งหลี่เจิ้งอารมณ์ดีขึ้นมาก เขาตกใจเมื่อได้ยินว่าต้องเข้าคุก “ต้องมองไปข้างหน้า มองไปข้างหน้า ใครก็อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก”
ไม่ว่าเห็ดจะแพงแค่ไหน พวกเขามีตาหามีแววไม่ กินกันไปเท่าไร ชีวิตก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป ดื่มน้ำข้าวรองท้องเสียยังดีกว่า
แต่ว่า?
ซ่งฝูหลิงนำน้ำข้าวของตนให้ท่านย่าหม่า นางเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ท่านย่า ข้าให้ท่าน”
ท่านย่าหม่าคิดว่าคงเหลือแค่เศษเล็กน้อยจึงยื่นมือไปรับมา แต่กลายเป็นเหลือเศษข้าวอยู่เยอะ “ทำไมเจ้าถึงไม่กิน?”
ซ่งฝูหลิงบอกว่า นางไม่หิว อยากเก็บให้ท่านย่ากินทั้งหมด เมื่อพูดจบนางก็เผลอเรอออกมา
เฮ้อ ดูหลานสาวคนเล็กสิ นางคงจะตกใจ ท่านย่าหม่าครุ่นคิด ทำให้หลานสาวตกใจ หิวก็ไม่กล้าบอกว่าหิว ตกใจจนสะอึกไม่หยุด คงกลัวว่าจะโดนด่า ไม่ด่าแล้ว มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดได้
“ถ้ากินไม่อิ่ม เดี๋ยวตอนบ่ายเจ้าก็นอนหลับไม่สบายแล้วจะมาถีบข้าอีก”
“ไม่หรอก ท่านย่า ท่านกินเถอะ ถ้าท่านไม่กิน ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจ”
ในช่วงเวลาเดียวกัน เฉียนเพ่ยอิงก็อุ้มหมี่โซ่วไปยังอีกด้านหนึ่ง นางนำส่วนของตนเองไปให้หมี่โซ่ว นางคอยป้อนอาหารให้เด็กน้อยกิน
หมี่โซ่วกระซิบบอก “ข้ากินแอปเปิ้ลไปแล้วไม่ใช่หรือ? ท่านป้าควรจะกินเยอะๆ หน่อยนะ”
ซ่งฝูเซิงดื่มน้ำซุปแล้วนำข้าวต้มในส่วนของเขาเทลงในชามของซ่งหลี่เจิ้ง