ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 160
ครุ่นคิดทั้งวันจึงเก็บไปฝันยามดึก
ค่ำคืนนี้ซ่งฝูหลิงก็นอนฝัน
คำพูดที่แม่ของนางพูดออกมาในตอนนั้น กลายเป็นเรื่องจริงในความฝัน
บนเตาแก๊สมีปลาตัวใหญ่อยู่ในหม้อตุ๋น เนื้อของเหงือกปลานั้นหนานุ่มมาก เมื่อใช้ไม้พายสัมผัสปลา น้ำมันก็กระเด็นขึ้นมา
ส่วนในกระทะอีกใบหนึ่งกำลังผัดเนื้อรมควันกับต้นหอม อีกด้านหนึ่งของโต๊ะทำอาหาร มีจานที่ใส่ผัดหมูสามชั้นกับถั่วฝักยาววางอยู่
ส่วนพ่อของนางกำลังนำหม้อที่มีสันเนื้อตุ๋นลูกพลับไปวางบนโต๊ะ ร้อนจนลวกมือถึงขนาดต้องรีบยกมือไปแตะติ่งหู
ส่วนแม่ของนางก็กำชับให้วางแผ่นรองกันความร้อนและด่าพ่อของนางไปด้วยว่า เจ้าโง่หรือเปล่า? ใช้มือเปล่าๆ จับแบบนั้น สักครู่ก็ตะโกนเรียกนาง ฝูหลิง เจ้าช่วยข้าทำงานหน่อยได้ไหม อย่ามัวแต่เดินวนไปวนมา ไปตักข้าวใส่จานไป
เมื่อเปิดดูหม้อหุงข้าวในบ้านของนาง เห็นข้าวเม็ดใหญ่ที่กำลังมีไอร้อนลอยขึ้นมา ทำให้บานหน้าต่างใกล้เคียงพลอยเปื้อนไอน้ำไปด้วย
เนื้อตุ๋นลูกพลับกับข้าวสวย ตักกินผัดเนื้อรมควันกับต้นหอมใส่ปาก นางกินถั่วฝักยาวจนน้ำมันเยิ้มริมฝีปาก นางใช้ตะเกียบคีบทั้งไวและแม่นยำ และหยิบปลาโดยเลือกส่วนที่มีเนื้อเยอะที่สุดมาใส่ในชามตนเอง พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นท่านพ่อกำลังกินผักดอง ส่วนท่านแม่ก็มองแต่นาง ไม่ค่อยจะกินเท่าไร
“ท่านแม่ ทำไมท่านไม่กินล่ะ?”
“ข้าลดน้ำหนักอยู่”
ซ่งฝูหลิงร้อนใจ ท่านแม่ก็รู้ว่าทุกวันนี้จะสามารถนั่งกินอาหารดีๆ อยู่ตรงนี้ได้ มันยากลำบากแค่ไหน ท่าน…
ซ่งฝูหลิงร้อนรนจนตื่นขึ้นมา
หลังจากตื่นนอน นางก็ใช้มือเช็ดปากก่อนแล้วลุกขึ้นนั่งในอาการงุนงง หรี่ตามองออกไปข้างนอก ท้องฟ้าเพิ่งจะเริ่มสว่าง
เมื่อมีสติก็แทบอยากจะร้องไห้ออกมา ทั้งหมดล้วนเป็นของปลอม ของปลอมทั้งสิ้น อย่าฝันแบบนั้นเลยดีกว่า เพราะเมื่อตื่นจากฝันจะทำให้ใจหาย
นี่เป็นครั้งแรกที่นางตื่นนอนก่อนใครทั้งหมด นางนำผ้าห่มไปคลุมตัวให้กับหมี่โซ่วและท่านย่า จากนั้นก็เริ่มดึงร่างท่านแม่และบีบจมูกท่านพ่อกับแม่ของนาง
ซ่งฝูเซิงรีบลืมตาขึ้นทันที เขาหงุดหงิดอยากจะด่า แต่เมื่อหันมาก็เห็นเป็นลูกสาวกำลังชูนิ้วชี้ขึ้น เพื่อเตือนไม่ให้เขาส่งเสียงดัง
ส่วนภรรยาก็ลุกขึ้นมานั่งแล้วเช่นกัน
ทั้งสามคนต่างมองหน้ากัน ก่อนจะพากันสวมรองเท้าและเดินออกจากห้องอย่างเงียบๆ
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาตีสามกว่าๆ เมื่อเทียบกับเวลาปัจจุบัน ประตูรั้วของเรือนสวียังคงปิดอยู่ พวกเขาทั้งสามคนไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ดังนั้นพวกเขาจึงหามุมที่อยู่ห่างไกลออกไปที่สุด ตรงข้างกองฟืนของครอบครัวสวี
ซ่งฝูเซิงไม่รอช้า เขารีบเข้าไปในพื้นที่พิเศษเพื่อเอาของกินออกมา
บางเรื่องก็เป็นเช่นนี้ คนอื่นบอกกับเจ้าว่าของฟรี เจ้ากินเท่าไรก็ชดเชยให้เท่านั้น ถ้าเจ้าไม่กินหลายรอบ ก็ต้องรู้สึกว่าขาดทุนแล้ว
เมื่อซ่งฝูเซิงเอาของกินออกมาแล้ว ซ่งฝูหลิงก็เปิดฝากระติกน้ำร้อนเทนมผงลงไปเจ็ดซอง
ท่านแม่พูดขึ้น “พอแล้ว พอแล้ว เดิมทีมันเป็นน้ำค้างคืน ไม่ค่อยจะร้อนแล้ว แล้วนี่จะละลายไหม?”
ท่านพ่อพูดขึ้น “ลูกสาวข้าฉลาดจริงๆ ตอนเช้ารู้จักหาน้ำร้อนใส่กระติกน้ำมาด้วย ถ้าไม่กินตอนเช้า ท้องคงจะเย็น ใส่เพิ่มอีกถุงให้เข้มข้นหน่อยจะได้ไม่หิว”
ทั้งสามคนก็เริ่มลงมือกินเหมือนดังเช่นเมื่อวาน
เฉียนเพ่ยอิงแค่เข้าไปในพื้นที่พิเศษเพื่อเติมสิ่งของก็ยังต้องเข้าไปถึงสี่รอบ ไม่มีวิธีการอื่นอีกแล้ว เพราะมีเค้กน้อยและมีซอสเนื้อวัวน้อยลง ก่อนจะทะลุมิติเวลามา ในตู้เย็นเหลือเนื้อชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง ตั้งใจจะหั่นเป็นแผ่นแล้วจิ้มกับซอสกิน ตอนนี้ยังจะจิ้มอะไร? กินเปล่าๆ
ซ่งฝูหลิง หลังจากกินเสร็จแล้ว รับผิดชอบนำถุงที่ห่อหุ้มอาหารโยนเข้าไปในพื้นที่พิเศษ
สุดท้ายทั้งสามคนก็กินผลไม้ ซ่งฝูเซิงเทน้ำแร่ลงในกระติกเก็บความร้อนและเขย่าให้นมผงที่ติดอยู่ก้นกระติกละลายออกมา ก่อนจะยกขึ้นดื่ม
ซ่งฝูหลิงรับกระติกเปล่ามาแล้วเทเกลือกับน้ำตาลลงไป พวกนี้เหลือเพียงแค่ก้นถุงเพราะถูกหักออกไปเนื่องจากคนอื่นใช้ เหลือแค่ก้นถุงก็ไม่เป็นไร ถ้าสามคนนี้กินเองก็สามารถเปลี่ยนกลับมาได้
ครู่ต่อมาก็เทน้ำเดือดลงในกระติกน้ำร้อน นี่เหมือนเป็นน้ำเกลือแร่ สามารถเติมพลังงานได้โดยไม่มีกลิ่นเวลาพูด ไม่เหมือนกับการดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง และสีไม่เข้มเหมือนโคล่า ท่านย่ากับหมี่โซ่วจะได้มองไม่เห็นความแตกต่าง
“เข้าไปเติมของเถอะ ท่านแม่”
เมื่อท่านแม่เข้าไปเติมของออกมาแล้ว จึงพูดขึ้น “พื้นที่พิเศษช่างฉลาดหลักแหลมมาก ของสิ่งอื่นเปลี่ยนกลับมาเติมจำนวนหมดแล้ว แต่น้ำตาลกับเกลือยังไม่กลับคืนมา คาดว่าคงรอ รอดูน้ำในกระติกของเจ้าว่าเอาให้คนอื่นดื่มหรือไม่”
ซ่งฝูเซิงบ่นขึ้นมา “ถ้างั้นก็เหมือนร้านบุฟเฟต์น่ะสิ ที่พวกเราสามคนกินอะไรก็ได้ แต่ห้ามเหลือ ถ้าเหลือก็ต้องจ่ายเงิน และพวกเราไม่สามารถเอาออกไปให้คนอื่นกินได้”
ซ่งฝูหลิงยิ้ม “เหมือนกับที่พวกเราไปกินที่ร้านบุฟเฟต์ ธรรมดาเสียเงินกับร้านอาหารอื่นไปเท่าไรก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่เวลาไปร้านบุฟเฟต์ แม้ว่าคนเดียวจะใช้เงินไม่มาก แต่ก็ต้องกินให้เยอะ มิเช่นนั้นไม่คุ้มกับเงินที่สูญเสียไป”
“ท่านพ่อ เข้าไปเถอะ เอาครีมล้างหน้ามาให้ข้าด้วย อาศัยช่วงที่พวกเขายังไม่ตื่นนอน พวกเรารีบต้มน้ำอาบกัน”
เฉียนเพ่ยอิงกังวล ไม่อยากให้ใครเห็น
“ท่านแม่ ข้าบีบครีมให้พวกท่าน พวกท่านใช้เสร็จแล้วก็เอามาให้ข้า ข้าได้จะได้ส่งกลับคืนไปในพื้นที่พิเศษ ต่อไปพวกเราจะต้องฝึกการร่วมมือกันทำงานนะ”
ซ่งฝูเซิงพูดขึ้น “น้ำสบู่ที่พวกเราใช้แล้วสามารถให้คนอื่นใช้ได้ไหม?”
ซ่งฝูหลิงก็รู้สึกเช่นกัน โอ้ว นี่ดูเหมือนน่าจะเป็นช่องโหว่
ต้องลอง
ซ่งฝูหลิงบีบยาสีฟันใส่แปรงจนเต็ม นางกับแม่นั่งยองๆ แปรงฟันอยู่ข้างบ่อน้ำ
ซ่งฝูเซิงไปหอบเอาฟืนมาก่อไฟต้มน้ำ
เมื่อซ่งฝูหลิงกับแม่ของนางแปรงฟันเสร็จก็มารับหน้าที่ก่อไฟต้มน้ำต่อ ให้ซ่งฝูเซิงไปแปรงฟัน
การแปรงฟันถือเป็นเรื่องปกติในยุคปัจจุบัน แต่ซ่งฝูเซิงไม่ได้แปรงฟันมาเกือบเดือนแล้ว
ในยุคโบราณก็มีผงยาไว้สำหรับใช้แปรงฟัน แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงอพยพลี้ภัย จะมีใครหอบเอาผงยาสีฟันหลบหนีไปด้วย? ยาสีฟัน ก่อนหน้านั้นก็ให้แต่ภรรยากับลูกสาวใช้ แต่ก็ต้องแอบๆ แปรงฟันและไม่กล้าบีบมาใช้มากนัก ในตอนนั้นไม่รู้ว่าเฉียนเพ่ยอิงมีความสามารถในการเติมสิ่งของ คิดว่าต้องประหยัดอย่างเดียว จึงให้ภรรยากับลูกสาวได้ใช้ก่อน
วันนี้ซ่งฝูเซิงไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว เขาสามารถแปรงสีฟันได้อย่างสบายใจ
น้ำในหม้ออุณหภูมิกำลังอุ่นพอดี พวกเขาจึงรีบนำมาล้างหน้า ล้างคอ ล้างมือ ล้างแขน หนึ่งคนต่อหนึ่งอ่าง เมื่อล้างเสร็จก็ไปเรียกคนที่อยู่ในห้อง
เฉียนเพ่ยอิงอุ้มเฉียนหมี่โซ่วที่กำลังนอนหลับอยู่ออกมา นางใช้น้ำที่นางล้างหน้าแล้ว มาอาบให้เฉียนหมี่โซ่วอีกรอบหนึ่ง
ซ่งฝูหลิงเปิดผ้าห่มของท่านย่าหม่าและเรียกพวกพี่สาวที่ค่อนข้างรักสวยรักงาม พวกนางหันกลับมาถามว่ามีเรื่องอะไร นางจึงบอกให้ตื่นขึ้นมาล้างหน้าได้แล้ว พวกเถาฮวา “…”
ท่านย่าหม่า เด็กคนนี้กำลังหิวแล้วรึเปล่า? ถึงปลุกให้นางตื่น คงจะให้นางลุกขึ้นมานึ่งอาหารแห้งแน่เลย
ซ่งฝูเซิงดึงเด็กทีละคนออกมา
มือของเด็กๆ ต่างเปื้อนดินโคลน ต้องแช่น้ำร้อนถึงจะทำให้ดินที่ติดอยู่ในซอกเล็บหลุดออกมาได้ พวกเขาไม่เหมือนพวกผู้ใหญ่ ท้องไส้อ่อนแอ ตอนนี้ต้องล้างทำความสะอาดจะได้ไม่ใช้มือที่สกปรกจับกินอาหารอะไร เดี๋ยวจะทำให้ท้องเสียได้
ซ่งฝูเซิงเหมือนกับผู้ปกครองของเด็กๆ เขายืนหน้าเคร่งขรึมต่อหน้าเด็กหลายคนที่กำลังง่วงนอนอยากงอแง “ไปอาบน้ำ ต้องอาบให้สะอาด”
จากอ่างล้างหน้าธรรมดา สุดท้ายก็ต้องใช้อ่างใบใหญ่ใส่น้ำ เพราะต้องคอยเติมน้ำร้อนเพิ่มอุณหูมิเข้าไป
โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่ได้ยินว่านี่เป็นสบู่ เป็นน้ำที่พั่งยาเอาสบู่ก้อนที่คนเมืองใช้กันสุดท้าย มิน่าถึงมีกลิ่นหอม พวกนางเริ่มล้างหน้า
น้ำล้างหน้า เมื่อใช้ล้างครั้งสุดท้ายก็ไม่มีฟองแล้ว
น้ำในตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว แต่พวกผู้ชายก็ยังใช้ล้างหน้าต่อ เพราะรู้สึกว่าใช้น้ำนี้ล้างจะสะอาดมากขึ้นกว่าเดิมหน่อย
ดูสิ ทุกคนรู้จักที่จะใช้ชีวิตกันแล้ว
แม่นางสวีเดินมาดู นางคิดว่าคนพวกนี้อาจจะกลัดกลุ้มเรื่องเห็ดอยู่ ปรากฏว่าพวกเขาแต่ละคนกลับลุกขึ้นมาล้างหน้าและนึ่งอาหารแห้ง ทุกคนต่างก็ยุ่งกันหมด
ซ่งฝูหลิงแอบเอาวัววัวโถวในส่วนของนางแบ่งให้ท่านย่ากับซ่งจินเป่า ยังเหลืออีกส่วนหนึ่งนางไว้กินเอง ถ้านางไม่กิน ท่านย่าของนางคงจะโมโหมาก
เฉียนเพ่ยอิงแอบนำวัววัวโถวในส่วนของนางมาให้หมี่โซ่วกิน และแบ่งครึ่งหนึ่งให้กับซื่อจ้วง
ในสายตาของ นางซื่อจ้วงยังเป็นเด็กอยู่ อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี แต่มีความสามารถมาก คนอื่นเข็นถั่วเมล็ดสนได้ห้าสิบกิโล แต่เขาเข็นได้หนึ่งร้อยกิโล
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าประตูเมืองในตอนนั้น นางเห็นอย่างชัดเจน พวกหลี่เจิ้งตะโกนให้ซ่งฝูเซิงหนีไปก่อน แต่ซื่อจ้วงยังคงยืนอยู่ข้างกายพวกนาง ความหมายของซื่อจ้วงชัดเจนมาก ถ้าต้องหนีไปสามารถปกป้องเหล่าซ่งได้ แต่ต้องพาพวกนางและหมี่โซ่วไปด้วย มิเช่นนั้นเขาจะไม่ไปอารักขา
ซื่อจ้วงไม่ยอมกิน เฉียนเพ่ยอิงไม่กล้าบอกว่านางแบ่งในส่วนของนางมาให้ นางได้แต่บอกว่าเอามาจากในหม้อมาเยอะหน่อย ซื่อจ้วงถึงจะยอมกิน
ซ่งฝูเซิงเป็นคนวางตัวดี เขาเรียกต้าหลังกับเอ้อร์หลังออกมา “กินซะ”
“ลุงสาม?”
หลังจากนั้นชายหนุ่มสองคนก็ไปบอกซ่งฝูไฉ
เขารักลูกชายทั้งสอง แต่ก็เป็นห่วงว่าน้องสามจะกินไม่อิ่ม เขายังไม่ทันได้พูดอะไร ซ่งฝูเซิงก็รีบชิงพูดขึ้นมา “พี่ใหญ่ ให้หลานสองคน อย่าพูดอะไรอีกเลย และอย่าให้คนอื่นรับรู้ ข้าไม่ได้ให้หมี่โซ่วและข้าก็ไม่ได้ให้พี่รองด้วย ถ้าพวกเขาได้ยินจะไม่ดี”
เขาพูดจบก็เดินจากไป
ซ่งฝูไฉได้ฟังก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก ดูแล้วน้องสามสนิทกับเขามากที่สุด
พี่สะใภ้ใหญ่เหอซื่อก็รับรู้ ลูกชายคนโตต้าหลังเข็นรถคันหนึ่งคนเดียว ดังนั้นนางจึงได้แต่กำชับลูกชายคนที่สองเอ้อร์หลัง “เจ้าช่วยลุงสามเข็นรถหน่อย ลุงสามของเจ้าเป็นบัณฑิต ร่างกายอ่อนแอ แล้วก็เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยนะ อย่าให้ลุงสองของเจ้ารู้ ต่อไปถ้าลุงสามเอามาให้อีก เจ้าก็อย่ารับมา เฮ้อ เขาเพิ่งได้รับอาหารแห้งมาไม่มาก”
ซ่งฝูไฉยิ้มให้กับภรรยา
โดยปกติเขาไม่ค่อยจะยิ้มให้กับภรรยา
……
“ขอบคุณมาก เก็บเงินไว้ให้ดี”
แม่นางสวียืนอยู่ปากทางถนน นางดึงแขนท่านย่าหม่าเพื่อพูดคุย “ท่านป้า นี่เป็นเงินค่ายาสมุนไพร”
ท่านย่าหม่า “ใช่แล้ว เจ้าเป็นคนมีน้ำใจ พวกเราได้อาศัยพวกเจ้าคอยช่วยเหลือ อยู่ต่างถิ่นก็ต้องพึ่งพาคนบ้านเดียวกัน คำพูดนี้พูดไว้ไม่มีผิด ต้องขอบคุณพวกเจ้ามาก”
หลังจากร่ำลากันเสร็จแล้ว ยังไม่ทันได้ออกจากเมือง ท่านย่าหม่าก็บ่นพึมพำให้ซ่งฝูหลิงฟัง “พั่งยา ทำไมถึงราคาแปดตำลึงนะ นี่ก็แพงเกินไป ย่าโดนคนหลอกหรือเปล่าเนี่ย?”
แปดตำลึง ซ่งฝูหลิงคิดมูลค่าของจำนวนเงินอาจจะไม่ชัดเจน แต่เมื่อเปรียบเทียบมูลค่ากับเงินยุคปัจจุบันก็เทียบ น่าจะเท่ากับแปดพันกว่าหยวน
“ท่านย่า พวกเราต้องมีเหตุผลหน่อย คนอื่นเขาจะหลอกท่านทำไมกัน พวกเรามีกันสองร้อยกว่าคนที่มาอยู่อาศัยบ้านเขา แม้แต่เด็กก็รวมอยู่ในนั้นแล้วและยังตรวจคนป่วยอีกหลายสิบคน แค่ใช้เวลาจับชีพจรก็ถึงครึ่งคืนแล้ว…
…ตามที่ข้าพูด ถ้าพวกเขาไม่เห็นแก่คนบ้านเดียวกัน ธรรมดาตรวจคนป่วยหนึ่งคนก็ราคาสามถึงห้าตำลึงแล้ว ท่านก็พูดเองว่าพวกเขาไม่คิดเงินค่าอาหารกับพวกเราและยังช่วยไปทำธุระแทนให้ แล้วท่านมาพูดลับหลังอย่างนี้ ทำให้คนอื่นเสียใจได้…
…ถ้าข้าเป็นแม่นางสวีผู้นั้นแล้วรู้ว่าท่านมีความคิดเช่นนี้ ต่อไปก็คงไม่ใจดีด้วยแล้ว บนโลกใบนี้มีคนจิตใจดีมากมาย แต่หลังจากถูกทำร้ายจิตใจแล้ว พวกเขาถึงกลายเป็นคนเฉยเมย ไม่อยากยื่นมือเข้าช่วยอีก”
……
เจ้าแบกของ ข้าเข็นรถ ท้องฟ้าเริ่มมีหิมะโปรยปราย
ตอนที่พวกเขาเดินทางจากบ้านเกิดมาคือช่วงฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร เมื่อเดินมาทางภาคเหนือ ก็เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลที่หิมะเริ่มตก
ในระหว่างทาง เงินที่เก็บออมมาครึ่งชีวิตเพื่อซื้อสัตว์มาใช้แรงงาน ก็ต้องมาทิ้งพวกมันกลางทาง เสื้อผ้าบางส่วนก็ต้องทิ้งไว้ตามทาง รวมถึงเครื่องใช้ในครัวเรือนตลอดจนเครื่องมือการเกษตรก็ต้องทิ้งไปไม่น้อย
ทุกวันเดินกันวันละหลายหมื่นก้าว
ตลอดการเดินทางนี้ไม่มีเรื่องราวอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะได้ผ่านเหตุการณ์ในแต่ละครั้งมาแล้ว และร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือกันเต็มที่ สามัคคีเดินหน้าสู้ต่อไปไม่ท้อถอย
วันนี้พวกเขาก็ได้ใช้ครีมล้างหน้าน้ำนมล้างหน้าจนสะอาด ในการอพยพลี้ภัยครั้งนี้ถือว่าทุกคนมีสภาพที่ดีที่สุด พร้อมมุ่งหน้าสู่เมืองเฟิ่งเทียน
การเดินทางใช้เวลาไปแปดชั่วโมง
บนถนนหน้าประตูเมืองเฟิ่งเทียน มีขบวนหนึ่ง คนจำนวนสองร้อยกว่าคนถือป้ายสีแดงสดกำลังเดินเข้าไปในเมือง
พวกเขาก้าวเดินอย่างมีพลังและเป็นระเบียบ ทุกคนต่างดูมีชีวิตชีวา ในสายตาของพวกเขาแต่ละคนเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังที่สวยงาม
“ฮือๆ ไม่ได้ ไม่ได้ ทำไมถึงมีแค่สองสามครอบครัวอยู่ด้วยกัน ใต้เท้าได้โปรดพิจารณาใหม่ด้วยเถอะ”
พวกเขามีความมั่นใจต่ออนาคตอย่างเต็มเปี่ยม แต่เมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้ คำพูดของใต้เท้าเสิ่นก็ทำให้ซ่งหลี่เจิ้งร้องไห้ออกมา
ทำให้พวกเด็กๆ ร้องไห้ตาม “ไม่อยากแยกจากพี่พั่งยา ไม่อยากอยู่ห่างจากพี่พั่งยา”
ใต้เท้าเสิ่นยังไม่ทันได้พูดอะไรอีก เขาก็ถึงกับตกตะลึงเพราะเห็นคนกลุ่มนี้ทะเลาะกันเอง
“ข้าเป็นลุงใหญ่ของซ่งฝูเซิง ถ้าต้องโทษประหารเก้าชั่วโคตร ก็ต้องประหารบ้านข้าก่อน ข้าจะหนีก็หนีไปไหนไม่ได้ ทำไมครอบครัวของข้าจะอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับซ่งฝูเซิงไม่ได้?”
เกาถูฮู่ “เสี่ยวซาน เจ้าจะเลือกใคร? ไม่สิ เจ้ารอสักครู่ก่อน ลุงเกาถูกไหม? เถี่ยโถวครอบครัวข้าใช่หรือไม่ ตอนนี้เขาไม่ฟังข้า เขาฟังเจ้า”
ท่านยายหวังดึงมือท่านย่าหม่ามากุม “เจ้าต้องเลือกบ้านข้า ข้ายังอยากอยู่กับเจ้า”
ซ่งหลี่เจิ้งพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฝูเซิง ข้าอยู่ห่างจากเจ้าไม่ได้ ฝูเซิงของข้า”
เริ่มใช้ความสัมพันธ์เพื่อให้มีผลประโยชน์ต่อตนเองและนำแต่ละเรื่องมาพูดอย่างมีเหตุผล สถานการณ์ในตอนนี้ดูชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด
ใต้เท้าเสิ่นแกล้งกระแอมออกมา เขาโบกมือห้ามปราม แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผล
นายทหารทั้งหลายยิ่งโมโห นี่คือหน้าหอคอย วันหนึ่งมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายท่านเดินผ่านไปมามากมาย ช่วยกันรักษาภาพพจน์หน่อยได้ไหม?