ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 161
ประตูเมือง ซ่งฝูเซิงรู้สึกมีเสียงดังเซ็งแซ่อยู่ข้างหู แขนทั้งสองข้างก็มีคนจับไว้
คนที่สมองกระทบกระเทือนคนนั้นก็แซ่ซ่ง ซ่งฝูกุ้ย
เขาป่วยและมีอาการเรื้อรังที่เป็นผลมาจากสมองกระทบกระเทือน แค่ครู่เดียวก็ถูกเบียดออกมาแล้ว ไม่ได้อยู่ใกล้กับซ่งฝูเซิง เขาอยู่ด้านนอก ส่งเสียงออกมาอย่างกระวนกระวายใจ
ซ่งฝูกุ้ยบอกให้ลุงหลี่เจิ้งรีบพูดออกมาเพราะลุงหลี่เจิ้งเป็นคนที่ยุติธรรมมากที่สุด พวกเราต่างก็ฟังเขา ให้เขาพูดมาว่าครอบครัวไหนมีสิทธิ์ที่จะไปด้วยกันกับซ่งฝูเซิง
“ถ้าพูดอย่างยุติธรรม แน่นอนว่าต้องเป็นครอบครัวของข้า”
ซ่งฝูกุ้ยไม่คาดคิดว่าในตอนนี้ท่านลุงจะเห็นแก่ตัว เขาโมโหมาก ถ้ารู้ตั้งแต่แรกเขาก็ไม่มาถามแล้ว
“ท่านลุง ท่านทำแบบนี้ไม่ค่อยใจกว้างเลย ครอบครัวของข้ามีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ พวกข้าเป็นครอบครัวที่จนที่สุดในบรรดาครอบครัวที่อยู่ตรงนี้ ข้าตัดสินใจแล้วว่าต่อไปจะติดตามฝูเซิงพี่น้องคนนี้ไป เกิดก็เป็นคนของเขา ตายก็จะเป็นผีของเขา”
“เจ้าจะทำให้ใครตกใจกลัวและยังจะกลายเป็นผีอีก ใครอยากได้ผียากจนเช่นเจ้ากัน เจ้าอย่ามาเพิ่มความวุ่นวายให้กับฝูเซิงของพวกข้า เจ้าจนแล้วใช้เป็นเหตุผลหรือไง?” ซ่งหลี่เจิ้งด่าเสียงดัง
ทางฝั่งซ่งฝูเซิงยังไม่ได้นับว่าวุ่นวายมากที่สุด แต่เป็นฝั่งทางท่านย่าหม่าต่างหากที่ใกล้จะลงไม้ลงมือกันแล้ว
ท่านยายหวังจับมือท่านย่าหม่า “ข้ายังอยู่กับเจ้าได้ไม่นานเลย พวกเราสองพี่น้องควรจะอยู่ด้วยกันต่อไป” พูดจบนางก็เริ่มปาดน้ำตา
กัวคนโตเห็นท่าไม่ดี ท่านยายหวังเป็นคนเจ้าคารม นางรู้จักหาประโยชน์ให้ตนเองก่อน ดังนั้นเขาต้องรีบส่งแม่ของเขาออกไปเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับท่านย่าหม่า
ตอนนี้ท่านยายกัวไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือเท่าไร นางยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ในขณะนี้ หูของนางก็ไม่ค่อยดี ถูกลูกชายคนโตดันเข้ามาอยู่ในด่านหน้า นางยังหันมาถาม “สามารถไปกับครอบครัวของซ่งฝูเซิงได้กี่ครอบครัว?”
“ท่านแม่ อย่างมากก็ได้แค่สามครอบครัว” กัวคนโตพูดอย่างร้อนรน
สามครอบครัว? ท่านยายกัวรีบกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
ครอบครัวของหลี่เจิ้ง ครอบครัวของลุงใหญ่ของฝูเซิง นี่ถ้านับครอบครัวของท่านยายหวังอีกก็ครบสามครอบครัวแล้ว “น้องหม่า พี่สาวยังอยากอยู่กับเจ้าอีกนะ!”
“เจ้าออกไปนะ อย่ามาพูดเรื่องนั้น พวกเราสองคนอยู่ในถ้ำด้วยกัน ไข่เค็ม?”
“เจ้าควรจะออกไป เมื่อก่อนข้ากับน้องหม่าเคยพูดคุยกันตอนอยู่ในหมู่บ้าน ไม่เหมือนกับเจ้า ต่อหน้าอีกอย่าง ลับหลังอีกอย่าง”
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนดีมานานแล้ว”
“ยายหวัง ถึงข้าไม่ดีอย่างไร แต่ก็ดีกว่าเจ้าเยอะ ตอนนั้นที่เจ้าขายของในหมู่บ้าน เจ้าใจจืดใจดำมาก สามารถพูดจากดำไปเป็นขาวได้ น้องหม่าของข้าจะเลือกเจ้าหรือ?”
“เจ้าพูดถึงใคร? ลูกใหญ่ ลูกรอง ลูกสามมานี่หน่อย นางว่าครอบครัวหวังของเรา!”
ท่านยายกัวครุ่นคิด นางอาศัยลูกชายมาช่วยจะมาอวดใคร “ลูกใหญ่ ลูกรอง ลูกสามมานี่หน่อย นางกล้าว่าครอบครัวกัวของเรา!”
ป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงเข้ามาห้ามปราม “นี่ทำอะไรกัน พวกเจ้าอย่าได้ทะเลาะกันอีกเลย เจ้าดูสีหน้าของใต้เท้าที่มองดูพวกเราทะเลาะกันสิ อย่าทำให้หลานชายของข้าเสียหน้า”
“โอ้” ท่านยายกัวถลึงตาใส่ป้าใหญ่ของฝูเซิง
“เจ้าว่าใครเสียหน้า….โอ้ว?” ท่านยายหวังเพิ่งนึกขึ้นได้ นางก็ถึงอุทานออกมา
หลังจากนั้น ท่านยายหวังกับท่านยายกัวก็ร่วมมือกัน พวกนางจะทะเลาะกันเองไปทำไม ความสามารถใกล้เคียงกัน ยากที่จะตัดสินได้ แต่ถ้ามาช่วยกันดันป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงออกไปก็จะมีพื้นที่ว่างเพิ่ม
ท่านยายหวังบอกว่า “พี่หม่า ท่านก็ไม่ค่อยถูกกับครอบครัวนั้นอยู่แล้ว แยกบ้านอยู่กันมานานแล้ว ทำไมจะต้องพาพวกนางไปอยู่ด้วย”
ท่านยายกัว “น้องหม่า เจ้าลืมไปแล้วหรือ? ว่านางทำเรื่องอะไรไปบ้าง ข้ายังรู้สึกน้อยใจแทนเจ้า เมื่อวานนางยังทะเลาะกับเจ้าอยู่เลย เจ้าต้องเจอหน้านางทุกวันไม่รู้สึกอึดอัดใจบ้างเลยหรือ?”
แค่พูดมาเพียงแค่นี้ ใครได้ยินก็อยากจะข่วนหน้า ป้าใหญ่โมโหมาก นางด่าทอไปด้วย “ข้ากับน้องสะใภ้ยังดีกันอยู่” เมื่อพูดจบนางก็ยกมือทำท่าจะพุ่งไปข้างหน้า
ขุนนางซื่อสัตย์ยากจะตัดสินเรื่องในบ้าน ใต้เท้าเสิ่นก็ถึงกับถอนหายใจ
เขาก็อึดอัดใจอย่างมาก พวกเจ้าเป็นผู้อพยพลี้ภัยเพิ่งจะมาถึง รู้ตัวกันบ้างไหม? มาทะเลาะกันอยู่หน้าประตูเมือง แต่ละคนดูเหมือนมีหลักคุณธรรมมากกว่าคนในท้องถิ่นนี้เสียอีก
แย่งผู้หญิงกันก็ว่าไปอย่าง นี่แย่งผู้ชายแย่งจนจะตีกันหัวแตกแล้ว
อย่าว่าแต่ใต้เท้าเสิ่นเลย แม้แต่ทหารที่คอยเฝ้ารักษาประตูเมืองก็แทบจะเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่
คงไม่สามารถจะเอาดาบทิ่มแทงพวกเขาได้?
พวกผู้ชายยังดี ตวาดไปไม่กี่ทีก็หยุดแล้ว
แต่ผู้หญิงพวกนี้ ถ้าเกิดระเบิดอารมณ์ขึ้นมาก็ทะเลาะกันอย่างดุเดือด พวกนางไม่ฟังใคร มัวแต่ทะเลาะกันโดยไม่สนใจว่ากำลังอยู่ตรงประตูเมือง
แต่ทุกคนทะเลาะกันโดยไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ว่าเป็นคนบ้านเดียวกันหรือเป็นเพื่อนร่วมอพยพลี้ภัย เพราะพวกเขาไม่มีวิธีการอื่นแล้ว พวกเขารู้สึกว่าถ้าทะเลาะกันไม่ชนะ ก็ยิ่งไม่มีโอกาส นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่จะสามารถแย่งมาได้
พวกเขาไม่อยากแยกจากกัน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ พวกเขาไม่อยากแยกจากซ่งฝูเซิง
พวกเขาเป็นคนในหมู่บ้าน เมื่อมีคนนอกเข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน คนท้องถิ่นในหมู่บ้านมักจะจะรังแกและไม่ค่อยให้การต้อนรับเท่าไรนัก
ดูเกาถูฮู่เป็นตัวอย่าง ตอนที่ครอบครัวเกาเพิ่งย้ายเข้ามาในหมู่บ้านใหม่ๆ ในการใช้ชีวิตเริ่มแรกนั้นไม่ค่อยจะดีเท่าไร ต้องอาศัยวันเวลาผ่านไปและให้คนในชุมชนได้รับประโยชน์บ้าง พวกเขาถึงจะค่อยๆ เห็นพวกเขาเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน
แต่ถ้าสามารถไปอยู่กับซ่งฝูเซิงได้ ด้านหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาคุ้นเคยที่จะฟังคำสั่งของฝูเซิงและเขาเป็นบัณฑิตที่มีความสามารถ สติปัญญาเฉลียวฉลาด ถ้าได้อยู่กับคนแบบนี้อาจจะมีชีวิตดีขึ้น แม้ว่าจะลำบากก็ยอมรับ เพราะฝูเซิงเป็นคนมีความคิดสามารถ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้
อีกด้านหนึ่งเพราะซ่งฝูเซิงเป็นบัณฑิต ต่อไปถ้าพวกเขาถูกรังแกจะได้มีบัณฑิตที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันคอยช่วยพูดช่วยให้
มิเช่นนั้น พวกเขาพูดไปเองก็ไม่ค่อยมีใครฟัง หน่วยงานราชการของที่นี่ก็คอยช่วยเหลือดูแลเรื่องราวของบัณฑิต
อย่ามองว่าเป็นแค่เรื่องเล็ก มีคนบางชุมชนไม่มีน้ำใจ เมื่อมีการเกณฑ์ทหาร พวกเขาจะจับกลุ่มรังแกคนนอกที่เข้ามา ส่งรายชื่อคนนอกไปเกณฑ์ทหารก่อน โดยเฉพาะคนในครอบครัวที่อยู่ในวัยฉกรรจ์ที่อยากให้ออกไปเป็นทหารทั้งหมด หลังจากนั้นค่อยให้คนในชุมชนมาเสริมในจำนวนที่ขาด
พวกเขาไม่รู้หนังสือ ถ้าเกิดเจอคนรังแกขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าจะไปฟ้องร้องที่ไหน จะสู้ก็สู้ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นฝูเซิงจะไม่เหมือนกัน อย่างน้อยเขาก็จะไปฟ้องร้องที่ศาล คำพูดของเขาก็ยังพอมีน้ำหนักมากกว่าพวกเขา
เช่นนั้นจะไม่ให้คนพวกนี้ร้อนใจได้อย่างไร หากจัดสรรเรียบร้อยแล้ว มันมีผลเกี่ยวพันทั้งชีวิต ลูกหลาน ว่าจะอยู่ที่ไหน ต่อไปจะมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือไม่ เมื่อเจอเรื่องใหญ่เช่นนี้จึงไม่มีใครยอมใคร
“พวกเจ้าหุบปากซะ!”
“อย่าทะเลาะกันอีกเลย!”
ซ่งฝูเซิงกับใต้เท้าเสิ่นพูดออกมาพร้อมกัน
เงียบทันที
ใต้เท้าเสิ่นรู้สึกสงสัยว่าทุกคนเงียบไม่ได้เงียบเพราะเขา คนพวกนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างเขาอยู่ในสายตา
เขาไม่อยากพูดคุยให้เสียเวลา รีบให้พวกเขาจากไปดีกว่า เขาใช้พู่กันเขียนเป็นรุปวงกลม “จะไม่แยกจากกันใช่ไหม พวกเจ้ามา พาคนพวกนี้ไปตำบลถงเหยา หมู่บ้านเหรินจยา”
ปฏิกิริยาแรกของซ่งหลี่เจิ้ง เขาคิดว่าฟังผิดไป
แต่ละคนต่างก็มองหน้ากัน ไม่กล้าเชื่อว่าจะเป็นความจริง
ซ่งฝูเซิงบอกว่า ไปสิ? ไปอยู่ด้วยกันทั้งหมด
‘อยู่ด้วยกันทั้งหมด’ คำพูดนี้ทำให้แววตาของทุกคนลุกวาวประกาย พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันแล้ว
ทุกคนได้ยินกันแล้วใช่ไหม? พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม? พวกเราได้อยู่ด้วยกันแล้ว!
เกาถูฮู่รีบตะโกนออกมาอย่างดีใจ “ไป ไปกันเถอะ”
กัวคนโตกับซ่งฝูกุ้ยโค้งคำนับให้กับใต้เท้าเสิ่นหลายรอบ
ซ่งฝูกุ้ยโค้งคำนับเยอะไป เกิดอาการจากสมองกระทบกระเทือนขึ้นมาอีก หัวของเขาซุกเข้าไปยังอกของใต้เท้าเสิ่น จนทำให้ถ้วยน้ำชาของเขาหก
ซ่งหลี่เจิ้งรีบใช้สองมือโบกออกคำสั่ง “เร็ว พวกเร็วเข้า” เขากลัวว่าใต้เท้าจะเปลี่ยนใจ
หญิงชราหลายคนถึงกับนิ่งงัน โอ้ว แม่เจ้าเป็นเพราะรำคาญที่พวกเราทะเลาะกันแน่เลย ถึงได้จัดให้พวกเรามาอยู่ด้วยกัน?
เด็กทั้งหลายที่นั่งอยู่บนรถเข็น “พี่พั่งยา พี่พั่งยา”
“มีอะไรหรือ?”
“เมืองนี้ใหญ่มากเลย”
“เมืองเฟิ่งเทียน เฟิ่งเทียนจะไม่ให้ใหญ่ได้อย่างไร”
“พี่พั่งยา พี่พั่งยา”
“มีอะไรอีกละ?”
“พวกเราไปที่ไหนกัน? บ้านใหม่ของพวกเราเรียกว่าอะไร”
“ตำบลถงเหยา หมู่บ้านเหรินจยา ถงเหยา ฟังดูเพราะไหม? ข้าคิดว่าที่นั่นก็คงจะดีมาก”
คนนำขบวนได้ยินคำพูดของซ่งฝูหลิงจึงเหลือบมองนาง