CatNovel
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
Advanced
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
  • โดจิน
  • นิยายทั้งหมด
  • จบแล้ว
  • นิยายวาย Yaoi
ตอนก่อน
ตอนต่อไป
สล็อตเว็บตรง

ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 182

  1. Home
  2. ทะลุมิติทั้งครอบครัว
  3. ตอนที่ 182
ตอนก่อน
ตอนต่อไป

“ท่านลุง ข้าเดินเองได้”

“ท้องฟ้ายังมืดอยู่ เดี๋ยวเจ้ามองทางไม่ชัด”

“ข้าจะจับมือท่านเดิน”

ซ่งฝูเซิงอุ้มเฉียนหมี่โซ่วออกจากตะกร้า

“ท่านป้า ท่านกินของว่างแล้วหรือยัง?”

“กินแล้ว เจ้ารีบกินของเจ้าเถอะ ในกระบอกน้ำของพี่สาวเจ้ายังมีน้ำอุ่นอยู่ พวกเรากินเสร็จแล้วก็ดื่มน้ำอุ่น”

“พี่สาว พี่สาว”

“ข้าก็กินแล้ว เจ้าช่างเป็นห่วงเป็นใยเสียจริง”

เฉียนหมี่โซ่วกินขนมที่อยู่ในมือ ส่วนมืออีกข้างของเขาก็จับมือซ่งฝูเซิงไว้แน่น เขาก้มศีรษะไม่รู้ว่ากําลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ใบหน้าเล็กๆ ของเขาแลดูมีความสุข

เฉียนเพ่ยอิงเดินพูดคุยกับซ่งฝูเซิง “เข้าเมืองแล้ว คงต้องหาเวลาไปซื้อผ้าบ้าง เลือกผ้าหลายผืนหน่อย ครั้งนี้จะให้พี่สาวทําเสื้อกันหนาวให้ท่านไว้คลุมภายนอก”

“ของข้าไม่ต้องหรอก ทำงานทุกวันใส่เสื้อชุดนั้นแหละ พวกเจ้าซื้อใส่กันเองเถอะ”

เอ๊ะ เจ้าคนนี้โง่หรืออย่างไร? ไม่ทำเสื้อสวมทับไว้ด้านนอกอีกชั้น เช่นนั้นจะปกปิดเสื้อกันหนาวขนสัตว์ได้อย่างไร

เฉียนเพ่ยอิงคิดไว้แล้วว่านางจะทำเสื้อคลุมให้กับเหล่าซ่งและลูกสาวคนละชุด

ชุดกันหนาวที่ลูกสาวสวมอยู่ในตอนนี้ คือชุดที่ได้รับบริจาคมา เป็นเสื้อผ้าเก่าที่สวมใส่มาแล้วหลายปี ฝ้ายด้านในจับกันเป็นก้อนและเสื้อตัวค่อนข้างใหญ่ เมื่อสวมใส่ก็ไม่พอดีตัว มองดูไม่สวย งามและยังไม่ช่วยให้ความอบอุ่น

หลังจากนั้นต้องนำเสื้อขนสัตว์ของบ้านพวกนางออกมา ทำเสื้อทับคลุมเสื้อขนสัตว์ไว้ด้านในอีกที จะได้อบอุ่นและไม่เป็นที่สะดุดตา

เสื้อกันหนาวขนสัตว์ของลูกสาวจำเป็นต้องแก้ไข เอาส่วนที่เป็นหมวกคลุมออกมา ทำหมวกขนสัตว์ที่ไม่เป็นที่สะดุดสายตาคน ความยาวของเสื้อก็ต้องให้พอดีกับตัว

ถ้ามีใครลูบคลำเสื้อแล้วถามว่าอะไร?

ใครจะถามหรือ

อย่างน้อยก็มีท่านย่าหม่าคนหนึ่งล่ะที่ชอบมาลูบๆ คลำๆ เมื่อถึงตอนนั้นก็บอกกับนางว่า ได้ซื้อฝ้ายเปลี่ยนใส้ในมาจากเมืองเฟิ่งเทียน อย่างน้อยยังมีเหล่าซ่งคอยช่วยพูดโกหก

เหล่าซ่งสามารถพูดโกหกได้ทุกวันอยู่แล้ว

“ข้าบอกให้ซื้อก็ซื้อเถอะ ซื้อผ้าเนื้อหนาสีเข้มหน่อย มันสามารถกันลมและใช้ได้นาน”

ซ่งฝูหลิงอยากเลือกเอาผ้าสีน้ำเงินกับสีดำ

ท่านพ่อท่านแม่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน “เลือกสีนั้นได้ยังไง”

ซ่งฝูเซิงบอกว่าลูกของเขาควรเลือกผ้าสีแดงที่มีลายดอกไม้เล็กๆ ใส่สีแบบนี้ถึงจะดูมีสีสันหน่อย

“อืม ตอนไปเลือกค่อยดูกันอีกทีก็แล้วกัน” เฉียนเพ่ยอิงพูดเสริม “ถ้าเป็นสีแดงเข้ม มีลายดอกไม้เล็กๆ ก็ดีเหมือนกัน อายุยังน้อยควรใส่สีแบบนี้หลายครั้งหน่อย สีแดงเข้มก็ดูไม่ค่อยเปื้อนง่ายเท่าไหร่นัก”

ซ่งฝูหลิง “…” เชยจัง ถ้ามัดผมเป็นโดนัททั้งสองข้างแล้วผูกด้วยด้ายแดง ยามหน้าหนาวแก้มทั้งสองข้างแดงก่ำคงจะน่ามองสินะ

ซ่งฝูเซิงอุ้มเฉียนหมี่โซ่วใส่ลงไปในตะกร้าอีกครั้ง พาเขาเดินหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้วก็ต้องอุ้มใส่ตะกร้าแบกหลังไปอีกสักพัก

เด็กน้อยเดินไม่ไหวก็ไม่ยอมบอก หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาซูบผอมลงไปมาก เมื่อเห็นแขนและขาของเขาลีบเล็กเช่นนี้ ก็เริ่มกังวลว่าขาทั้งสองของเขาจะไม่แข็งแรง

ตั้งแต่วันนี้ไปต้องหาวิธีการให้เขาได้กินข้าวจนอิ่ม และแอบหาของกินดีๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายให้หมี่โซ่วได้กินมากหน่อย

“ต้องซื้อรองเท้าผ้าฝ้ายให้หมี่โซ่วคู่หนึ่ง ซื้อแบบสำเร็จรูปและพอดีเท้า ไม่ต้องรอให้พี่สาวทำ อย่างมากก็ใช้เงินไม่เท่าไร ทุกครั้งที่เขาวิ่งมาหาข้า รองเท้าก็ชอบหลุดกลางทาง”

เฉียนเพ่ยอิงพูดขึ้น “ได้สิ ซื้อรองเท้ามาสักหนึ่งคู่แล้วค่อยไปเลือกผ้า ถ้าพี่สาวไม่มีเวลาว่างทำ ข้าก็จะเย็บเสื้อผ้าให้กับหมี่โซ่วเอง เด็กตัวแค่นี้ ทำเสื้อผ้าให้อบอุ่นและสวมใส่สบายก็พอ ไม่ต้องกังวลกับรูปแบบมากนัก”

นางครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนพูดเสริมขึ้นมาอีก “ซื่อจ้วงกับหนิวจั่งกุ้ยก็ไม่ต้องตัดเสื้อผ้าเพิ่มแล้วเพราะเสื้อผ้าที่เอามาจากท่านก็ยังสวมใส่ได้พอดีตัว แต่ลูกชายคนที่สองของพี่ใหญ่ เสื้อกันหนาวดูจะบางเกินไป ต้ายากับเอ้อร์ยาก็เหมือนกัน เสื้อผ้ามีแค่ชั้นเดียวด้านในก็ไม่ใช่ผ้าฝ้าย เฮ้อ มองเด็กสาวสองคนนี้หนาวจนตัวสั่น พวกเราควรจะซื้อให้ดีไหม?”

ซ่งฝูเซิงถลึงตาใส่ “พ่อแม่ของเขายังอยู่ไม่ใช่หรือ? อย่าทำแบบนี้ให้คนอื่นเกิดความเคยชิน ถ้าวันหนึ่งเจ้าไม่ให้แล้ว เดี๋ยวก็เกิดเรื่อง หาปัญหามาให้เจ้า น่าสงสารหรือ? พ่อแม่ยังทนมองดูได้ เจ้าจะอดทนไว้บ้างไม่ได้หรืออย่างไร นั่นเป็นลูกสาวของเจ้าหรือไง?”

“ข้ารู้แล้ว”

ที่ซ่งฝูเซิงพูดออกมาไม่ใช่ว่าเขาใจดำ พวกเขาทั้งหมดร่วมเดินทางกันมามีทั้งที่เป็นญาติและไม่ได้เป็นญาติกัน แต่ก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ต่อไปยังต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอีก จะเลือกช่วยเหลือใครคนใดคนหนึ่งก็ไม่ได้

ถ้าสิบสี่ครอบครัวต่างลำบาก เขาทำงานได้เงินมากที่สุดก็ต้องให้ความช่วยเหลือทุกคนทั้งหมดเลยหรือ? ไม่จำเป็นต้องทำให้เกิดความเคยชินจนเป็นนิสัย ถ้าเป็นเขารับรองไม่มีทาง ทำเช่นนั้น

แต่สามารถรอจนแบ่งงานกันทำแล้ว อย่างเช่นบ้านไหนที่เดือดร้อนเรื่องอะไร ยกบ้านซ่งฝูกุ้ยเป็นตัวอย่าง ครอบครัวเขามีคนเยอะ ซ่งฝูกุ้ยไม่มีเงินซื้อผ้ามาทำผ้าห่มก็สามารถยืมเงินได้ ยืมเงินก่อนแล้วค่อยมาใช้แรงงานทำงานทดแทนเงินในภายหลัง

ในความคิดของซ่งฝูเซิง ถ้าต้องการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก็ต้องรู้จักขยันทำงาน ไม่ใช่บอกให้ใครต้องเข้ามาช่วย ตนเองไม่ขยันทำงานจะมาหวังพึ่งพาคนอื่นให้ช่วยได้อย่างไร เพราะพวกเขาก็ไม่ได้ติดค้างอะไรกันกับเจ้า

“พอแล้ว รู้แล้วน่า พูดมากเสียจริง เจ้ายังต้องซื้อใบยาสูบให้กับลุงซ่งอีกนะ”

“นั่นมันคนละเรื่องกัน นี่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว ข้าพอใจ นี่แล้วพวกเราจะซื้ออะไรให้ท่านแม่ดีล่ะ ครอบครัวของพี่ใหญ่กับพี่รองไม่เกี่ยวกับเรา แต่ข้าต้องมีความกตัญญูต่อท่านแม่”

ซ่งฝูหลิงบอกกับพ่อของนาง ท่านย่าของนางชอบเงิน นางให้เงินท่านย่าไปครึ่งพวง ท่านพ่อก็ไม่ต้องกังวลแล้ว

ซ่งฝูเซิงเข้าใจในทันที ลูกสาวของเขาแอบเก็บเห็ดมัตสึตาเกะดอกใหญ่ไว้หลายดอกในพื้นที่พิเศษ ในส่วนนั้นไม่นับรวมว่าเป็นของส่วนกลาง เขาให้ลูกสาวเก็บไว้ เมื่อขายเป็นเงินจะได้มีเงินไว้ใช้ส่วนตัว ลูกสาวมีอำนาจในการตัดสินใจเอง

ทำเป็นล้อเล่นไป แม้ภายในครอบครัวจะยากลำบากอย่างไร แต่ก็ไม่เคยให้เงินลูกใช้จนขาดมือ นางโตเป็นสาวแล้ว ถ้าไม่มีเงินเวลาออกไปข้างนอกก็ขาดความมั่นใจ เขาจะไม่ทำให้ลูกสาวของเขาเป็นเช่นนั้นเป็นอันขาด

ส่วนเรื่องที่เห็ดมัตสึตาเกะที่มีราคาสูงนั้น สามารถขายได้ราคาดีหรือไม่และเมื่อเข้าเมืองไปแล้วจะขายได้ที่ไหนนั้น?

เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในความคิดของคนทั้งสาม

คนส่วนใหญ่อาจจะกังวลใจ แต่ทั้งสามคนนี้กลับมีความคิดเห็นเหมือนกัน

พวกเขาคิดว่า เจ้าไม่ซื้อในราคาที่ข้าตั้งไว้ ข้าก็ยังไม่ขาย

เพราะพวกเขาคิดว่า เงินสิบถึงยี่สิบตำลึงนั้น มันยากที่จะซื้อสิ่งของหายากแบบนี้

เงินเพียงแค่สิบถึงยี่สิบตำลึง พวกเราต้องทนลำบากตั้งแต่เช้าจรดเย็น แต่ของพวกนี้เป็นสิ่ง ของหายาก พวกเรามีโอกาสได้เจอ เจ้าจะไม่ให้ราคาสูงหน่อยหรือ? ถ้าเช่นนั้นพวกเราสู้เก็บไว้กินเองไม่ดีกว่าหรือ สามารถกินบำรุงร่างกายได้ ร่างกายแข็งแรงก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

อีกอย่างพวกเขาก็มีพื้นที่พิเศษที่สามารถคงสภาพความสดใหม่เอาไว้ได้ พวกเขาจะไปกลัวอะไร อย่างมากก็กลับไปแล้วควักเงินส่วนของตนเองออกมาเพื่อซื้อเก็บไว้เป็นเห็ดของตนเองเลย

เฉียนหมี่โซ่วถูกวางลงในตะกร้าเป็นครั้งที่สี่ โดยมีลุงของเขาเป็นคนแบก เมื่อมาถึงเมืองเฟิ่งเทียนท้องฟ้าก็สว่างพอดี

พวกเขาทั้งสี่แหงนหน้ามองกำแพงเมือง

“เหมือนเมื่อปีก่อนไหม?” ซ่งฝูเซิงกระซิบถามเฉียนเพ่ยอิง

เฉียนเพ่ยอิงหันมามองหมี่โซ่ว นางรู้ว่าสามีของนางไม่ค่อยสะดวกพูดออกมาเท่าไรนักสามีของนางอยากจะถามว่า เหมือนเมื่อปีก่อนตอนอยู่ในยุคปัจจุบันไหม ที่พวกเขาเคยผ่านประสบ การณ์มา

เหมือนสิ

ตอนนั้นพวกเขาสองคนออกจากเมืองไปเปิดร้านขายของกินเล็กๆ ในเขตอำเภอ โดยเช่าพื้นที่เปิดร้านอาหารเล็กๆ

ครั้งแรกที่ย้ายบ้าน เมื่อเห็นคำว่า “อำเภอฮว่าหนานยินดีต้อนรับ” ซ่งฝูเซิงพูดกับนาง ทำงานสักสองถึงสามปีแล้ว พวกเราจะมาซื้อที่เปิดร้านกันอยู่ที่นี่ จะได้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าที่แพงขึ้น และลูกสาวจะได้มีโอกาสเข้าเรียนโรงเรียนประถมในเขตอำเภอ

ผ่านไปเพียงไม่กี่ปี พวกเราก็ได้ย้ายบ้าน หอบสัมภาระทั้งใหญ่และเล็กนั่งรถประจำทางไปยังเขตอำเภอ ป้ายบนถนนทางด่วนก็เขียนว่า อำเภอนี้ยินดีต้อนรับ

ซ่งฝูเซิงพูดกับนาง ทำงานสักสองสามปี ข้าจะต้องมาซื้อบ้านอยู่ที่นี่ให้ได้ ซื้อบ้านอยู่ที่นี่แล้วก็สามารถมีสิทธิ์ที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนดังๆ ของพื้นที่เขตนี้

ถึงแม้ผู้ชายคนนี้จะเป็นคนค่อนข้างจู้จี้จุกจิกมาก คนอื่นกลับไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นคนขี้บ่นและเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย

มองดูภายนอกเหมือนเป็นคนใจกว้าง แต่ยามอยู่บ้านกลับมีนิสัยยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก สามารถบ่นเรื่องการส่งของขวัญให้นางฟังได้ไม่หยุด เหล่าจางนั่นคบเป็นเพื่อนสนิทไม่ได้แล้ว อะไรกัน พวกเราครั้งแรกให้ไปห้าร้อย เขาให้พวกเรากลับมาแค่สองร้อย? ยามที่เขานึกได้ก็จะบ่นให้นางฟังตลอด

ผู้ชายคนนี้ถึงจะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่สำหรับนางแล้ว เขาเป็นคนที่มีเสน่ห์น่าดึงดูด

เพราะเหล่าซ่งพูดให้สัญญากับนางเรื่องไหน เขาก็มักจะทำได้ทุกครั้ง เขาบอกว่าจะซื้อบ้านก็ซื้อได้ บอกว่าต่อไปจะทำอะไร เขาก็ต้องทำให้ได้

เหล่าซ่งอาจไม่รู้ตัวว่า แท้จริงแล้วความตั้งใจจริงของเขาในการลงมือทำสิ่งใดก็มักทุ่มเททำจนเต็มที่นั้น เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจนางมากที่สุด

เมื่อเฉียนเพ่ยอิงได้ฟังก็อดยิ้มไม่ได้ เหล่าซ่งเริ่มให้คำมั่นสัญญากับประตูเมืองแล้ว

“ถึงแม้พวกเราต้องมาเริ่มต้นใหม่ ก็ไม่เป็นไร ขอให้มีความตั้งใจ ต้องทำความฝันให้เป็นจริงได้แน่นอน…

…ภรรยา เจ้าจดจำไว้ อีกไม่นานข้าจะต้องซื้อบ้านหลังใหญ่อยู่ในเมืองเฟิ่งเทียนให้ได้ บ้านที่อยู่ในหมู่บ้านเหรินจยาเป็นบ้านที่อยู่อาศัยของพวกเรา ส่วนบ้านหลังใหญ่ที่นี่ให้เป็นบ้านพักตากอากาศ…

…พวกเราเข้าเมืองไปสำรวจพื้นที่กันก่อนแล้วค่อยพัก…

…ข้าจะเอาบ้านหลังใหญ่ในเมืองนี้ ตอนนี้ข้ายังไม่อยู่ ให้คนอื่นอิจฉากันไปก่อน”

ซ่งฝูเซิงพูดเสร็จก็หัวเราะออกมา “ไปกันเถอะ ไปกินเกี๊ยวกัน เรื่องอะไรก็ไม่ใหญ่เท่ากับเรื่องกิน”

เฉียนหมี่โซ่วกอดคอลุงของเขาเอาไว้แน่น เขายืนอยู่ในตะกร้าใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ “ไปเถอะ ไปกันเถอะ!”

ทำให้ผู้คนที่เดินไปมาแถวประตูเมืองหลายคนหันมามอง

พวกเขามีความสุขกันมาก ผมเปียทั้งสองข้างของซ่งฝูหลิงสะบัดไปมา มีใบหน้ายิ้มแย้ม

ในขณะเดียวกัน เริ่นหลี่เจิ้งก็กลับมาถึงหมู่บ้านเหรินจยาแล้ว

เมื่อเขาเข้ามาในบ้านก็ได้ยินลูกชายคนที่สองพูดถึงเรื่องวุ่นวายของเมื่อวาน เขาโมโหมาก

ได้ กล้าแข็งข้อกับเขาหรือ?

ไม่ได้สิ เขาจะยอมรับไม่ได้ เขาจะรอดูพวกนี้ว่าจะทำอะไรกับเขาได้

ตอนนี้เป็นเรื่องที่จะให้เสบียงอาหารหรือไม่ เขาสามารถให้ได้ แต่ก็จะไม่ให้ เขาจะทำให้คนพวกนี้ยอมอ่อนข้อเชื่อฟังเขา

จะได้รู้กันว่าที่นี่เป็นถิ่นของใคร ไอ้พวกที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง

กล้าหาเรื่องต่อหน้าคนในหมู่บ้านทำให้เขาต้องเสียหน้า นี่คงอยากให้คนในหมู่บ้านนินทาเขาลับหลังใช่ไหม? ดี ช่างกล้าดีจริงๆ เลย

เริ่นหลี่เจิ้งบอก สะพานนั้นที่อยู่ในหมู่บ้านของเขาสร้างมานานแล้วก็คงจะถึงเวลาผุพังแล้ว รอฤดูใบไม้ผลิที่คนในหมู่บ้านต้องขึ้นเขาไปเก็บฟืนค่อยซ่อมก็แล้วกัน

ลูกชายคนที่สาม เริ่นจื่อเฮ่า ของเขาฟังไม่เข้าใจ ลูกชายคนที่สอง เริ่นจื่อจิ่ว ก็บอกกับพ่อของเขา ได้ ท่านพ่อ สะพานผุพัง ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้

เมื่อพวกต้าหลังกลับมาจากการไปซื้อของกักตุนช่วงหน้าหนาวในตลาดถงเหยา ก็พบว่าสะพานขาดแล้ว รถเข็นแต่ละคันที่บรรทุกผักกาดขาวจนเต็มคันรถจะข้ามไปได้อย่างไร? ระดับความลึกของแม่น้ำ นี่ไม่ต้องพูดถึงว่าจะทำให้คนจมน้ำตายหรือไม่ แค่เดินลงแม่น้ำไปก็อาจจะหนาวตายก่อนแล้ว

เหล่าซิ่วไฉยืนถอนหายใจอยู่ในบริเวณหน้าบ้านของตนเอง เขากวักมือเรียกลูกชายที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องนักให้ออกไปเดินนำทางให้

เริ่นคนโตพูดกับพวกต้าหลัง “มาเถอะ เดินตามข้ามา”

พวกเขาต้องเดินอ้อมถนนมาไกล ต้องเดินอ้อมหลังหมู่บ้านมาตามแถบถนนตีนเขาถึงเดินกลับไป

เดิมทีมีสะพานข้าม แค่ใช้เวลาในการเดินยี่สิบนาทีก็ถึงบ้านแล้ว ตอนนี้เป็นเพราะสะพานขาด จำเป็นต้องเดินอ้อมเขาลูกนั้นกลับมาและยังต้องเข็นรถที่บรรทุกผักกาดขาวอีก จึงต้องใช้เวลาเดินสองชั่วยาม ถ้าเทียบกับเวลาในปัจจุบันก็เป็นเวลาสี่ชั่วโมง ตอนกลางวันเข็นรถกลับมาถึงหมู่บ้าน ตอนเย็นถึงจะเดินกลับถึงบ้าน

ทำให้เกาถูฮู่ที่ยังอยู่ซื้อของในตลาดถงเหยาถึงกับรู้สึกงุนงง เพราะให้คนพวกนี้ขนของกลับไปก่อนแล้วให้รีบกลับมาขนของอีกรอบหนึ่ง แต่คนล่ะ ทำไมกลับไปแล้วยังไม่กลับมาอีกนะ

ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ความคิดเห็นทั้งหมดของ "ตอนที่ 182"

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*

*

  • อ่านนิยาย
  • แทงหวย24

© 2020 cat-novel.com
เว็บอ่านนิยาย นิยาย pdf เว็บ “cat-novel.com” เว็บอ่านนิยายสนุกๆ เพลิดเพลินไปกับนิยายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นิยายวาย, นิยายจีน, นิยายรัก, แฟนตาซี, กำลังภายใน, ผจญภัย สุดยอดวิชากำลังภายใน อัพเดททุกวัน พร้อมรองรับการอ่านบนมือถือ คอมพิวเตอร์ ไอแพด หรือแท็บเล็ต อ่านได้ตลอดเวลา ไม่มีโฆษณา อ่านนิยายฟรีต้อง เว็บ ”cat-novel.com”
นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์