ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 42 ภูมิปัญญาคนโบราณ
ทะลุมิติทั้งครอบครัว ตอนที่ 42 ภูมิปัญญาคนโบราณ
ตอนที่ 42 ภูมิปัญญาคนโบราณ
ไม่ว่าคนอื่นจะชื่นชมมีดของซ่งฝูเซิงอย่างไร ชมว่าเขามีของดีเช่นนี้ บ้างก็บอกว่าเขามีสติปัญญาหลักแหลม เขาก็ยังถ่อมตนอยู่
ขนาดซ่งหลี่เจิ้งบอกเป็นนัยให้เขาออกหน้า เขาก็จะหลีกเลี่ยง
คนโบราณเหล่านี้ ในสายตาของเขาช่างมีความสามารถ มีทักษะการใช้ชีวิตมากมาย ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งวันเขาก็เรียนรู้ได้หลายสิ่ง
ความต้องการสําหรับตัวเขาเองคือ ขอเพียงรักษาชีวิตคนในครอบครัวสามคนไว้ให้ได้ อย่าเป็นตัวถ่วงของขบวน แต่จะให้เป็นหัวหน้า? อย่าล้อเล่นเลยน่า เป็นหัวหน้าต้องใช้ทั้งแรงกายแรงใจ ไม่ไหวหรอก
ซ่งฝูเซิงถ่อมตัว แต่ท่านย่าหม่ากลับภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ นางเชิดคอตั้งตรงต่อหน้าหญิงสูงวัยรุ่นราวคราวเดียวกันทั้งหลาย
นางเริ่มสบายใจขึ้นแล้ว ลูกสามของข้าเป็นบัณฑิต มีคุณค่า สติปัญญาเฉลียวฉลาด อย่าเห็นว่าไม่มีพ่อตาของลูกสามแล้ว แม้เขาจะเสียชีวิตไป แต่ก็ได้รับผลประโยชน์ตกทอดมา พวกเจ้าเคยเห็นหน้ากากแบบนี้ไหม? เคยเห็นมีดแบบนี้ไหม? เขามีของดีมากมายเลยนะ
หลังจากนั้น เถียนสี่ฟาก็ยังทําให้ท่านย่าหม่าสามารถเชิดหน้าต่อได้อีก
เถียนสี่ฟาพูดกับทุกคน “ที่อยู่อาศัยตอนนี้สร้างเกือบเสร็จหมดแล้ว ขอคนมากับข้าสักสามสี่คนก่อน ข้าจะลองวางกับดักหลายอย่างเพื่อดูว่าสามารถจะจับสัตว์อะไรมาได้บ้างไหม พวกเราทำกับดักไว้หลายอันหน่อย หาพวกกิ่งไม้มีหนามแหลมมาล้อมรอบทำเป็นรั้ว โดยทั่วไปสัตว์ป่าตัวใหญ่จะไม่ค่อยตกใจเมื่อเห็นมีสิ่งกีดขวางอยู่ตรงหน้า มันมักจะเดินไปตามทางที่ไร้สิ่งกีดขวาง ไม่เดินมาทางที่พวกเราอยู่”
เมื่อเถียนสี่ฟาออกคําสั่งจบก็มีคนเดินตามเขาไปสิบกว่าคน
ท่านย่าหม่าคิดในใจ เจ้าดูสิ โดยปกติพวกเจ้าก็ไม่ชอบลูกเขยของข้า รังเกียจที่เขามีอาชีพเป็นพรานป่าอยู่บนเขา บอกว่าลูกเขยของนางใช้ชีวิตเสี่ยงอันตราย ไม่แน่ว่าวันไหนเจอหมาป่าเข้า ลูกเขยข้าก็คงสิ้นชีพ พวกเจ้านั่นแหละที่ตาบอด พวกเจ้าควรจะเจอหมาป่าแล้วโดนมาป่าคาบไปมากกว่า
สําหรับท่านย่าหม่าแล้ว สิ่งที่ทําให้นางประหลาดใจมากที่สุดก็คือหลานสาวคนเล็ก ซ่งฝูหลิง
ซ่งฝูหลิงไม่ใช่ว่าจะไม่ถ่อมตน แต่เป็นเพราะทีมเล็กๆ ทั้งหลายของนางที่อึกทึกจนไม่สามารถจะถ่อมตนได้
เด็กหลายกลุ่ม สามสี่ห้าคนวิ่งไปมา ส่งเสียงดังจนทำงานเสร็จ ใบหน้าและตามตัวต่างสกปรกมอมแมม พร้อมตะโกน “รายงาน”
หญิงสาวต่างพากันสอบถามขึ้น “นี่ทำอะไรกัน”
ซ่งฝูหลิงไม่มีเวลาตอบ นางสั่งการพี่ชายให้รีบใช้ไม้ไผ่ที่ผ่าออก ล้อมรอบหลุมสี่เหลี่ยมกว้างและยาวหนึ่งเมตร สั่งให้ปักไม้ไผ่ลึกลงหน่อยและล้อมให้แน่นหนาขึ้น เหลือไว้เพียงแค่ช่องเล็กๆ ที่ไม้ไผ่เล็กในมือนางสามารถสอดเข้าไปได้ หลังจากนั้นก็ใช้เส้นเถาวัลย์มัดพวกมันไว้อย่างแน่นหนาอีกรอบ
เมื่อทำโครงสร้างพื้นฐานเสร็จแล้ว ซ่งฝูหลิงก็หยิบหินก้อนใหญ่ที่ทีมเด็กๆ เก็บมา วางเรียงไว้ข้างใน
เถาฮวาเห็นซ่งฝูหลิงวางก้อนหิน นางจึงเข้าไปช่วย สองคนช่วยกันใช้ก้อนหินวางไว้ชั้นล่างอย่างหนาแน่น
“คราวนี้ก็เทหินก้อนเล็กๆ ลงไป”
พี่ชายคนโตซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง รับตะกร้าหินก้อนเล็กมาและเทลงไป ซ่งฝูหลิงตรวจสอบชั้นที่ปูด้วยหินก้อนเล็กนี้อีกที
“เททรายหยาบ ทุบทรายอัดให้แน่น หลังจากอัดทรายเสร็จแล้ว พี่รองกับพี่ใหญ่ค่อยๆ นำไม้ไผ่มาล้อมให้รอบด้านอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ทำเหมือนตอนยาแนวกําแพงเพื่อกันไม่ให้น้ำไหลออกจากช่องว่างระหว่างต้นไผ่ ต้ายา เอ้อร์ยา พี่สองคนไปหาดินกับโคลนให้พวกเขา หาจากตรงไหนก็ได้”
ซ่งฝูหลิงพูดจบก็วิ่งออกไปหาหินที่มีขนาดเล็กใหญ่ตามลักษณะที่เหมาะสม นางต้องหาหินขนาดพอดีๆ หลายก้อนที่จะสามารถปิดท่อน้ำได้
ขณะที่นางกำลังหาก้อนหิน ไกลออกไปก็มีเด็กหลายคนตะโกนถาม“พี่พั่งยา ต้องทำอะไรต่อไปอีก?”
ซ่งฝูหลิงรีบเร่งฝีเท้าวิ่งกลับไป ก่อนใช้หินปิดปากท่อน้ำไหล หลังจากนั้นนางจึงออกคําสั่ง “ตอนนี้เททรายละเอียดที่พวกเจ้าขุดขึ้นมาจากลำธารลงไปให้หมด ทำเสร็จแล้วรอข้าสักครู่”
ท่านย่าหม่าจ้องมองหลานสาวคนเล็กของนางที่วิ่งไปแบกถุงถ่านครึ่งถุงมา “เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้น พั่งยาหยุดเดี๋ยวนี้!”
ท่านย่าหม่าร้อนรนแล้ว จะเล่นโคลน ไม้ไผ่ หินทราย จะเล่นอะไรก็ได้ไม่มีใครว่า แต่ต้องไม่ใช่ถ่าน
เพราะรู้ดีว่าอยู่ในระหว่างการเดินทาง โดยเฉพาะช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง อากาศก็ยิ่งหนาวเย็นลง ไม่มีใครรู้ว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร ถ่านแค่เพียงครึ่งถุงก็จะไม่พอใช้แล้ว
ก่อนที่ย่าของนางจะตามมาทัน ซ่งฝูหลิงก็ได้เทถ่านครึ่งถุงลงไป พร้อมส่งสายตาให้พี่เถาฮวาที่กำลังตื่นตระหนกเททรายที่ถืออยู่ในมือลงไปด้วย
ใต้ถ่านเป็นโคลนและน้ำ ด้านบนมีทรายละเอียดที่เปียกชื้น นี่ยังจะใช้ได้อยู่อีกหรือ? ถ้าเอาออกมาใช้มันจะติดไฟได้อย่างไร
ใบหน้าของท่านย่าหม่าแดงก่ำด้วยความโมโห มือข้างหนึ่งเล็งจะตบไปที่หลังของซ่งฝูหลิงและเถาฮวาไปคนละที
ซ่งฝูเซิงมาได้ทันเวลา ในจังหวะที่ท่านย่าหม่ากำลังโน้มตัวไปคว้าถ่านจนเกือบสะดุดหน้าคะมำลงไปนั้น เขารีบจับตัวท่านแม่ไว้ได้ทันและห้ามปรามท่านแม่ไม่ให้ด่าทอและตีลูกของเขา
“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านฟังข้านะ พวกท่านไม่เข้าใจ แต่ข้าเข้าใจ ลูกสาวข้าต้องการทำที่กรองน้ำและก็ทำเพื่อทุกคนอยู่นะ”
“กรองน้ำอะไรกัน ในลำธารก็มีน้ำ!”
ซ่งฝูหลิงลูบแขนที่โดนตีจนเจ็บพร้อมกับตอบคำถามท่านย่า
“ท่านย่า น้ำนั่นไม่สามารถดื่มได้ ท่านไม่เห็นสีเหลืองๆ นั่นหรือ? มันไม่สามารถใช้ทำอาหารได้นะ…
…ข้าสังเกตดูแล้ว มันเป็นน้ำบนผิวดิน ไม่ใช่น้ำใต้ดิน บนภูเขาสามารถแบ่งน้ำได้เป็นหลายประเภท ไม่ใช่ทุกชนิดที่ต้มจนเดือดแล้วจะสามารถดื่มกินได้เลย ข้างในอาจมีพวกปรสิตจุลินทรีย์จํานวนมาก…
…พวกเราไม่รู้แน่ชัดว่ามันไหลมาจากที่ไหน ในนั้นอาจมีสัตว์มาดื่มกินหรือมาฉี่ใส่ไว้ นอกเหนือจากนั้น พวกมันอาจมาตายอยู่ในแหล่งน้ำนี้ ท่านลองคิดดู หากพวกมันตายในนั้นยังจะดื่มได้หรือ? มันน่ากลัวมากนะ…
…ถ้าพวกเราอยู่ที่นี่ เด็กคนไหนกระเพาะลำไส้อ่อนแอเกิดเป็นโรคบิดขึ้นมาจนปวดท้อง พวกเราไม่มีแม้แต่หมอ โรคเหล่านั้นมีอันตรายมาก สามารถทำให้ถึงแก่ชีวิตได้”
เมื่อซ่งฝูหลิงพูดจบ ทุกคนถึงกับอึ้ง
ก่อนหน้านี้ไม่เห็นด้วย แต่เมื่อได้ยินว่าพวกเด็กๆ อาจดื่มน้ำจนเสียชีวิตได้ สีหน้าของแต่ละคนก็เปลี่ยนไป คนที่ดื่มน้ำดิบก่อนหน้านี้ก็ถึงกับใช้มือลูบท้องตัวเอง
สีหน้าของท่านย่าหม่าแสดงอารมณ์ประมาณว่า อย่าพูดจาเหลวไหล “เจ้าสิ่งนี้มีทั้งโคลน ก้อนหินและทราย ข้าว่าน้ำกรองของเจ้ามากกว่าที่จะทำให้ท้องเสีย”
หญิงสูงวัยกับหญิงอีกหลายคนต่างเห็นด้วย “ใช่”
ซ่งฝูหลิงกรอกตาใส่ ไม่พูดพร่ำทำเพลง นางให้พี่ชายทั้งหลายรีบนำท่อน้ำที่ทําจากไม้ไผ่มาต่อกันเพื่อรับน้ำจากลำธาร จากนั้นนางก็วิ่งไปสั่งการถึงที่
นางวิ่งหนีไป พ่อของนางก็ต้องคอยพูดให้เกิดความสมานฉันท์กัน ซ่งฝูเซิงโน้มน้าว “ท่านแม่ นี่คือการกรองน้ำ เมื่อก่อนข้าอ่านเจอในหนังสือ หลังอ่านจบก็เล่าให้ลูกสาวฟัง ไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะจำได้หมดและนำวิธีมาใช้ในตอนนี้ ท่านดูสิ หลานสาวท่านฉลาดมีไหวพริบขนาดไหน”
เฉียนเพ่ยอิงเอ่ยถามหญิงหลายคนด้วยความอยากรู้ “เมื่อก่อนพวกเจ้าขึ้นเขา เจอน้ำก็เอามาดื่มเลยมิใช่หรือ? เมื่อครู่ น้ำสีออกเหลืองก็ยังเอามาทําอาหารได้เลย? แต่ครอบครัวของข้าต้องเอามาต้มให้สุกเสียก่อน ขนาดต้มสุกแล้วข้าก็ยังไม่วางใจเท่าไรนัก”
ผู้หญิงหลายคนต่างพากันบอกเฉียนเพ่ยอิง
ปกติที่บ้านดื่มน้ำจากบ่อน้ำ เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกเรื่องการดื่มน้ำที่มีขั้นตอนเยอะขนาดนี้
ต่างก็เป็นน้ำแร่ภูเขาธรรมชาติไม่ใช่หรือ รสชาติหวาน มองดูไม่ค่อยสะอาดนัก แต่เจ้าสามารถเลือกตักเอาแต่น้ำที่อยู่ด้านบนได้นะ
นอกจากนี้ คนในหมู่บ้านยังมีประสบการณ์การใช้ชีวิตของตัวเอง นั่นคือการหาแหล่งน้ำ หากยังไม่รู้ว่าน้ำนั่นสามารถใช้ดื่มได้หรือไม่ ให้ถ่มน้ำลายลงไปในน้ำ ถ้าน้ำลายละลายตัวทันที แสดงว่าน้ำนั้นสามารถดื่มกินได้ หากน้ำลายไม่ละลายตัวออกจากกัน นั่นแสดงว่าน้ำนั่นไม่สามารถดื่มได้
เฉียนเพ่ยอิงถึงกับเบิกตากว้างใส่ซ่งฝูเซิง
อาจเป็นเพราะการแสดงอารมณ์ตกตะลึงมากเกินไปของเฉียนเพ่ยอิง ทำให้ผู้หญิงบางคนคิดว่านางไม่เชื่อ “เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ? ถ้าไม่เชื่อ รอพี่เขยของเจ้ากลับมาแล้วถามเขาดู เขาล่าสัตว์บนภูเขา รวมทั้งวิธีการเลี้ยงแพะแบบปล่อยบนภูเขา เขาก็เป็นคนบอกพวกเราเอง”
ความรู้สึกหลังจากที่ซ่งฝูเซิงฟังจบคือ เขาไม่เสียดายถ่านครึ่งถุงนั้นแล้ว
หากแม้ว่าครอบครัวของเขาดื่มน้ำกรองเพียงครอบครัวเดียว และไม่ได้นำถ่านออกมาทั้งหมด
แต่ทุกคนออกไปตักน้ำมาทุกวัน ในแต่ละวันก็ต้องตักน้ำหลายครั้ง ถ้ามีใครถ่มน้ำลายลงไปในลําธาร โอ้สวรรค์ ถึงจะกรองน้ำอย่างไรเขาก็ยังคงรู้สึกสะอิดสะเอียนอยู่ดี
Related