ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 59 แย่แล้ว แย่แล้ว
สีหน้าภายใต้หน้ากากของซ่งฝูเซิงซีดเผือด
พบเจอเหตุการณ์ตื่นเต้นแบบไม่ทันตั้งตัว
คนอื่นเดินทาง เขาก็เดินตามหลัง ทั้งที่เดินเส้นทางเดียวกัน
คนอื่นค้ำไม้เท้าสะดุดล้ม เขาก็สะดุดล้ม แต่ล้มมาอยู่ข้างกายจ้าวฝูกุ้ย
คนอื่นเดินผ่านมาไม่กลับเห็น เขาแค่เงยหน้าขึ้นก็มองเห็นแล้ว
ปุ๊บปั๊บรับโชคจริงๆ
ฝนตกอย่างต่อเนื่อง ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนสวมงอบจีนบนหัว มีฝนตกลงมากระทบงอบจีนเป็นระยะ
พวกเขามองสภาพสุดอนาถของจ้าวฝูกุ้ย
นี่เป็นคนแรกในหมู่บ้านที่ต้องตายจากไปหลังจากเริ่มลี้ภัยไม่นาน
เถียนสี่ฟาถอนหายใจ ก้มตัวเตรียมตรวจดูว่าจ้าวฝูกุ้ยถูกสัตว์อะไรกัด ซ่งฝูเซิงก็รีบเข้าไปห้ามเขา “พี่เขย อย่าแตะต้อง”
“ข้าแค่อยากดูว่าเขาถูกอะไรกัด ทำไมถึงกัดแค่เพียงครึ่งเดียวน่ะ”
เนื้อบนใบหน้าจ้าวฝูกุ้ยถูกกัดไปชิ้นหนึ่ง ส่วนที่โดนกัดอย่างหนักคือบริเวณช่วงแขนและขา ส่วนเนื้อตรงช่วงท้องไม่ค่อยได้ถูกแตะต้อง
ซ่งฝูเซิงคิ้วขมวด พี่เขยเขานั้นนับว่าดีหมดทุกอย่าง แต่ค่อนข้างซื่อบื้อเกินไปหน่อย
แม้พี่เขยจะเป็นคนซื่อ แต่ก็อย่ามามีอิทธิพลกับเขาก็พอ ยังไงพวกเขาก็ยังต้องกินข้าวหม้อเดียวกัน
“ห้ามแตะต้อง เขาตายไปแล้ว จะถูกตัวอะไรกัดมันสำคัญนักหรือ ถ้าท่านแตะต้องตัวเขา ท่านไม่รู้ว่าร่างกายของเขามีเชื้อแบคทีเรียหรือโรคติดต่ออะไรไหม เขาโดนน้ำฝนมาเป็นเวลาสามวัน ถึงแม้จะไม่มีโรคติดต่อแต่ก็เน่าเปื่อยแล้ว ท่านไม่อยากเก็บมือตัวเองไว้ใช้ในวันหน้าหรือยังไง!”
ซ่งฝูเซิงคิดไม่ถึงว่านอกจากจะต้องห้ามปรามเถียนสี่ฟาไม่ให้แตะต้องคนตายแล้ว ยังต้องห้ามพรรคพวกไม่ให้แบกศพกลับไปอีก
พวกเขาบอกว่า ต้องแบกศพกลับไปให้ภรรยาของจ้าวฝูกุ้ยเห็นหน่อย
ซ่งฝูเซิงไม่เข้าใจว่ายังมีอะไรให้ดูอีก หากนางไม่ทำเรื่องวุ่นวาย เขาจะตายแบบนี้หรือ? แบกศพเขากลับไปก็รังแต่จะทำให้พวกผู้ใหญ่กับเด็กๆ ตกใจเสียเปล่าๆ นางสำคัญ หรือพ่อแม่พวกเจ้าสำคัญกว่ากันแน่?
พวกเขาบอกว่า ถ้าเช่นนั้นก็ต้องแบกศพกลับไป ไม่สามารถทิ้งไว้แบบนี้ได้อยู่ดี เหมือนคำพูดที่ว่า ‘ฝังดินเพื่อไปสู่สุคติ’
ซ่งฝูเซิงจึงพูด บนภูเขาก็ไม่ใช่บ้าน แบกศพกลับขึ้นไปบนเขากับอยู่ตรงนี้ไม่แตกต่างกัน สามารถไปสู่สุคติได้ หากไม่สามารถฝังลงดินลึกๆ ได้ก็ไปสู่สุคติไม่ได้งั้นหรือ ทำไม? พวกเจ้าจะแบกเขากลับไปที่หมู่บ้านหรือ? ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็แบกกันไปเถอะ
ทุกคนเงียบกริบ หากกลับไปได้คงกลับไปก่อนแล้ว
หวังจงอวี้ถามซ่งฝูเซิง “พี่สาม ถ้างั้นท่านบอกมาว่าจะเอาอย่างไร พวกเราจะฟังท่าน”
ซ่งฝูเซิงขมวดคิ้ว “ขุดหลุมฝังเขาไว้ที่นี่”
ทุกคนต่างช่วยกัน รวมถึงซ่งฝูเซิง เขาให้ทุกคนใช้ไม้เท้าที่อยู่ในมือดันร่างของจ้าวฝูกุ้ยลงไปในหลุมที่ขุดขึ้นมาใหม่ ไม่ให้ใช้มือยกร่าง
ทันทีที่ขยับร่างกายของจ้าวฝูกุ้ย นอกจากร่างกายส่วนบนแล้ว ศีรษะก็หลุดออกมา แขนขาก็ทยอยหลุดออกมา แขนขาและลำคอไม่มีเลือด ดูเหมือนถูกสัตว์ดูดกินไปจนแห้ง
ทุกคนใช้อุปกรณ์ไม้กับเคียวช่วยกันผลักกระดูกให้ร่วงหล่นลงไปในหลุม
เมื่อทุกคนหันหลังจะเดินออกไป ซ่งฝูเซิงก็หันมามองเนินดินที่เพิ่งฝังใหม่ๆ
เขารู้สึกว่า แต่เดิมเขาก็ไม่ใช่คนจิตใจดีมีเมตตาอะไรนัก ฝนตกหนักขนาดนี้ยิ่งไม่มีความจำเป็น หากอยู่ที่นี่อีกสักพักเขาคงรู้สึกไม่สบายใจ และเขาก็ไม่ได้สนิทสนมกับจ้าวฝูกุ้ย
แต่เขาก็อดที่จะพูดออกมาไม่ได้ “พี่เขย ท่านมองหาท่อนไม้แห้งที่อยู่บริเวณโดยรอบที เหลาไม้ด้านนอกให้หน่อย ข้าจะสลักชื่อของเขาและเสียบไว้บนหลุมฝังศพ”
เรื่องนี้มีเพียงเขาที่ทำได้ เพราะคนอื่นก็ไม่รู้หนังสือ
เพราะประโยคนี้ การเดินทางลงเขาของพวกเขาจึงล่าช้าไปเล็กน้อย
ในช่วงแรกที่รีบเดินทางไม่มีใครเอ่ยปากพูด เพราะเรื่องนี้ทำให้เกิดความเคร่งเครียด
ในภายหลัง ลูกชายคนโตของครอบครัวตระกูลกัวกับเถียนสี่ฟาที่เดินนำขบวน เริ่มพูดคุยกัน “น้องสามของเจ้าเป็นคนมีเมตตานะ”
เถียนสี่ฟาพยักหน้า “เดิมทีเขาก็เป็นอยู่แล้ว ปากแข็งแต่ใจอ่อน”
การสนทนาของทั้งสอง ซ่งฝูเซิงไม่ได้ยิน คนอื่นก็ไม่ได้ยินเช่นกัน
เกาเถี่ยโถ่วอยู่ใกล้กับซ่งฟู่เฉิงรีบพูดออกมา “อาสาม เมื่อครู่ ตอนหัวของเขาตกลงมา ข้ากลัวมากเลย”
ซ่งฝูเซิงคิด เจ้าแค่กลัวหรือ? ข้านี่ขนหัวลุกจนฉี่ราดแล้ว ดีที่บนร่างกายยังมีกลิ่นน้ำส้มสายชูกลบไว้ กลับไปข้าไม่รู้จะอธิบายยังไงกับเฉียนเพ่ยอิง ช่างน่าอับอายจริง
เมื่อทุกคนเดินทางมาถึงตีนเขา ยังไม่ถึงชายเขาดี ซ่งฝูเซิงก็หยุดไม่เดินหน้าต่อ
เพราะเขาสามารถส่องดูผ่านกล้องส่องทางไกล เห็นสถานการณ์บนเส้นทางถนนสายเล็กหน้าภูเขาได้
ซ่งฝูเซิงดูเสร็จก็ยื่นส่งให้เกาเถี่ยโถ่วที่อยู่ด้านข้าง เขาไม่หวงของแล้ว
เกาเถี่ยโถ่วรับมาอย่างระมัดระวัง รู้สึกได้รับความไว้วางใจ แต่ยังไม่ทันจะบอกถึงความมหัศจรรย์ของ “สิ่งของล้ำค่า” นี้ ก็ถูกภาพที่เห็นในกล้องส่องทางไกลทำให้พูดไม่ออก
ยื่นส่งกล้องส่องทางไกลดูกันเป็นทอดๆ สิบกว่าคน เมื่อทุกคนดูเสร็จต่างก็มีความเห็นตรงกัน
เสร็จแน่ แย่แล้ว แย่แล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนสวมเสื้อผ้ามอมแมมปรากฏตัวรีบร้อนเดินทางกันมากมายขนาดนี้ ท่ามกลางฝนที่ตกหนัก
สองสามวันก่อนตอนพวกเขาเดินทางออกจากหมู่บ้าน ถนนเส้นนี้ไม่มีใครเลย ตอนนี้กลับมีคนมากมายเต็มไปหมด
หากสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว ใครจะฝ่าสายฝนตกหนักรีบร้อนเดินทางเช่นนี้?
ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนเริ่มทำอะไรไม่ถูก พวกเขาหันไปมองซ่งฝูเซิง “พวกเราต้องลงเขาไปข้างล่างอีกไหม?”
ซ่งฝูเซิงพยักหน้า ในสถานการณ์ตอนนี้จำเป็นต้องลงไป
ในเมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว อย่างน้อยก็ควรถามเพื่อนบ้านว่าเกิดเหตุการณ์อะไร เป็นเพราะโดนเกณฑ์ทหารถึงต้องหนี หรือว่ามีเหตุการณ์อื่น
นี่มันเกี่ยวข้องกับการวางแผนการว่าพวกเขาว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปด้วย
ถ้าเป็นเพราะการเกณฑ์ทหาร อาจจะเสี่ยงอันตรายหน่อย ควรหลบซ่อนตัวอยู่บนเขาต่อไป
หนึ่ง เพราะต้องหลบฝน ฝนตกหนักขนาดนี้ไม่สามารถเดินทางได้สะดวก ลงจากเขาก็ลำบาก พวกสัตว์ที่ต้องชักลากสิ่งของก็ต้องใช้เรี่ยวแรงเยอะ
สอง เป็นการเดิมพันว่าทหารเฝ้าประตูเมืองต้องการเกณฑ์ทหารเป็นการเร่งด่วน หากเกณฑ์พวกชายฉกรรจ์เสร็จแล้วก็ไป ส่วนพวกที่ลี้ภัย เป็นเพราะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ถึงออกมา พวกทหารไม่มาเสียเวลาค้นหาพวกเขาบนภูเขาเพราะไม่มีความจำเป็น
แต่ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเกณฑ์ทหาร จะเป็นเพราะ?
ซ่งฝูเซิงไม่กล้าคิด อาจเป็นเพราะประตูเมืองแตกแล้ว ถึงได้มีพวกลี้ภัยจำนวนมากทะลักเข้าเมืองมาในเวลาไม่กี่วันนี้
ไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกลี้ภัยได้เข้ามาลักวิ่งชิงปล้นสิ่งของ ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้คิดว่าจะอพยพก็กลายเป็นผู้ลี้ภัย พวกเขาถูกรวมเข้าไปอยู่ในขบวนแห่งการลี้ภัยในที่สุด
เพราะพวกเขาใช้ชีวิตต่อไปในเมืองไม่ได้แล้ว ถึงได้มีคนมากมายหลบหนีออกมาท่ามกลางสายฝน
ลูกชายคนโตของครอบครัวกัวหันมามองซ่งฝูเซิง “น้องสาม พวกเราต้องลงไปตอนนี้ใช่ไหม?”
ซ่งฝูเซิงหยุดคิดสักพักก่อนตอบ
“อย่าเพิ่ง พวกเราควรรอสักพัก รอจนฟ้ามืดกว่านี้หน่อย…
…เจ้าดูพวกเรา ใส่เสื้อผ้าหนา ใส่เสื้อซัวอี มีอาวุธรพร้อมมือ อยู่ๆ ก็ปรากฏกายบนถนน มันช่างดึงดูดสายตา…
…คนลี้ภัยมากมายขนาดนี้ เจ้าต้องรู้ว่าในนั้นมีกลุ่มลี้ภัยมาด้วยกันหรือไม่?…
…ในขบวนคนเยอะมาก พวกเขาอดอยาก คงใจกล้าบ้าบิ่นแม้จะต้องเสี่ยงชีวิต…
…อย่าให้คนอื่นสังเกตเห็นได้ และเปลี่ยนเส้นทางตามขึ้นเขามาเมื่อพวกเขาเห็นว่าพวกเราลงมาจากบนเขา”
หวังจงอวี้พยักหน้าเห็นด้วยกับที่ซ่งฝูเซิงวิเคราะห์ “ใช่ พวกเราต้องฟังพี่สาม ลำพังพวกเราไม่ค่อยเท่าไร แต่บนเขามีพ่อแม่และพวกเด็กๆ ไม่ควรปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นได้”
ฝนตกอย่างหนัก ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนรอจนครบหนึ่งชั่วยามถึงลงไปข้างล่างเขา
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม
พวกเขาลงมา ถึงได้รู้แน่ชัดว่า เดิมที่มองเห็นคนลี้ภัยจากกล้องส่องทางไกลนั้น ถือว่าน้อยแล้ว เมื่อก่อนถนนสายนี้มีผู้คนผ่านไปผ่านมากันน้อยมาก แต่ตอนนี้มองไปไกลระยะหลายร้อยเมตร ก็ยังเห็นครอบครัวมากมายเดินทางอพยพหลบหนีกัน
ซ่งฝูเซิงเลือกเข้าขวางคนลี้ภัยที่ดูมีสภาพดีกว่าครอบครัวอื่น
ในตอนนี้เซิ่งฝูเซิงเชื่อมั่นว่าคนรวยไม่มีอันตรายกับเขา เพราะคนรวยน่าจะกลัวถูกเขาปล้นมากกว่า
ยิ่งคนยากจนมากเท่าไรก็ยิ่งน่ากลัว หากบอกว่าจะเอาชีวิตก็ทำตามนั้นได้จริง
ซ่งฝูเซิงทำความเคารพ เขาอธิบายกับเหล่าฮั่นว่า พวกเขามาไม่ได้มีเจตนาอื่น ไม่ต้องกลัว แค่อยากจะสอบถามสถานการณ์ในเมืองกับหมู่บ้านแถวนี้
เหล่าฮั่นบอกว่า “ดูเหมือนเมืองจะแตกแล้ว พวกเราเพิ่งได้ท่านอ๋องคนใหม่”
ตอนนี้เป็นใครนั้น เขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งก็ไม่อาจรู้ได้ รู้แต่เพียงว่าเกิดเหตุการณ์เลวร้ายในชั่วพริบตา ก่อนหน้านั้นก็ไม่มีข่าวคราวอะไรและไม่เคยได้ยินข่าวอะไรมาก่อน
หลังจากนั้นก็มีพวกลี้ภัยมาจากทั่วทิศ บุกเข้ามาในตัวเมืองที่เขาอาศัยอยู่
ทหารในตัวเมืองถูกฆ่าตายแล้วโยนศพทิ้งไว้บนถนน ศีรษะของนายอำเภอถูกแขวนไว้บนกำแพงเมืองเพื่อเป็นการประกาศศักดา
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนจึงได้แต่พากันหลบหนี เพราะพวกลี้ภัยพังประตูเข้ามาปล้นสะดม เมื่อไม่มีคนปกป้องฝดูแล ปล้นธรรมดาไม่ได้ก็ใช้มีดจี้ขู่กรรโชก
หากถามเขาว่าสถานการณ์ในหมู่บ้านแถวนี้เป็นอย่างไรบ้าง เขาก็ไม่ใช่คนในหมู่บ้านแถวนี้เหมือนกัน
ก่อนที่เหล่าฮั่นจะจากไป ได้กล่าวเสริมว่า “หมู่บ้านที่อยู่ใกล้กันก็เกรงว่าคงได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน”
เพื่อเป็นการแสดงการขอบคุณ ซ่งฝูเซิงได้ทำความเคารพอีกครั้งและยังเตือนเหล่าฮั่นว่า การทางเดินข้างหน้ายังอีกยาวไกล เสื้อผ้าที่ท่านสวมใส่อยู่นั้นดูดีเกินไป ควรเปลี่ยนเสียเถิด
Related