ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 79 พลอยได้รับประโยชน์ไปด้วย ตอนที่ 80 เคยเป็นคุณชายน้อยมาก่อน
- Home
- ทะลุมิติทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 79 พลอยได้รับประโยชน์ไปด้วย ตอนที่ 80 เคยเป็นคุณชายน้อยมาก่อน
ตอนที่ 79 พลอยได้รับประโยชน์ไปด้วย
ล้อเกวียนเพิ่งเคลื่อนที่ พวกคุณยายทั้งหลายต่างก็ร้องตะโกน “โอ้ น้ำของข้า เบาๆหน่อย ขับให้มันนิ่งๆ หน่อย!”
พวกนางแทบอยากจะวิ่งกลับไปที่แม่น้ำอีกรอบเพื่อเติมน้ำให้เต็มหลังจากที่น้ำกระฉอกออกมา ไม่อยากให้น้ำที่เหลืออยู่ต้องเสียไปอีก
ความต้องการนี้ดูช่างไร้เหตุผล จะทำให้รถไม่สะเทือนได้อย่างไรกัน
นอกจากใช้คนในการเข็นรถที่ต้องพยายามระวังมากแล้ว พวกเขายังต้องคอยหลบพวกก้อนหินใหญ่น้อย เวลาเข็นไปก็ต้องมีบางมุมบ้างที่เอนเอียง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกล่อ วัวควาย ที่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหล่านั้น
ล่อ วัวควาย เพิ่งกินอิ่มและเพิ่งอาบน้ำให้เนื้อตัวสดชื่น
หนึ่ง พวกมันอยู่ไม่นิ่ง
สอง เมื่อเดินอย่างเพลิดเพลิน บางครั้งจะชอบสะบัดหัวและร่างกายไปมา
ตอนนี้น้ำที่อยู่ในถังไม้กับอ่างล้างหน้า ผิวน้ำกลายเป็นระลอกคลื่นสั่นไหวไปมาตามแรงขยับของรถเข็นกับเกวียน
ส่วนทุกคนตอนนี้อยู่ในสภาพปล่อยผมเผ้าสยายรุงรัง
ผมของแต่ละคนเปียกชื้น คงช่วยให้เย็นสบายได้สักพักหนึ่ง เหงื่อที่ไหลย้อยหยดลงบนผ้าซับเหงื่อที่พาดอยู่บนคอของตนเอง
เมื่อผ้าซับเหงื่อที่พาดอยู่บนคอโดนอากาศร้อนพัดผ่านเข้ามา จึงไม่มีความเย็นเหลือ ชั่วพริบตา หยดน้ำที่อยู่บนผ้าซับเหงื่อก็ระเหยแห้งไป
ทุกคนสวมใส่เสื้อผ้าอย่างเรียบร้อย
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะสวมใส่ผ้าป่านเนื้อหยาบ เป็นเนื้อผ้าที่แข็งและซักยาก หน้าหนาวก็ไม่ช่วยให้ความอบอุ่น หน้าร้อนก็ไม่ดูดซับเหงื่อ แต่นั่นก็เป็นเสื้อผ้าที่พวกเขาเก็บไว้ใต้หีบเพราะอดเสียดายไม่ได้ จึงไม่นำมาสวมใส่
มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะสวมเสื้อที่เป็นผ้าฝ้าย ต้องเป็นคนในชนบทที่พอจะมีฐานะเท่านั้นถึงจะสามารถทำได้
แต่ในนี้ ที่มองสะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นลูกสะใภ้ทั้งสามคนของหม่าเหล่าไท่
เหอซื่อกับจูซื่อพลอยได้รับประโยชน์จากเฉียนเพ่ยอิงไปด้วย เป็นครั้งแรกที่ได้สวมเสื้อผ้าสดใสเช่นนี้ สีของผ้าฝ้ายก็ไม่หมองคล้ำ มองดูเป็นสีฟ้า สีเขียวจริงๆ ก่อนออกเดินทางก็วิ่งไปชำระล้างร่างกายในลำธารเล็กๆ มาก่อน มองดูยิ่งสะอาดตา ใครไม่รู้คงคิดว่าไม่ใช่พวกลี้ภัยมา พวกนางเดินไปก็ลูบคลำเสื้อผ้าไปอย่างทะนุถนอม
ส่วนซ่งอิ๋นเฟิ่งพี่สาวคนโตของซ่งฝูเซิง เถาฮวา ต้ายาและเอ้อร์ยาที่เดินอยู่ข้างเหอซื่อกับจูซื่อ กลับมองดูแล้วทรุดโทรมมากเพราะพวกนางสวมเสื้อผ้าของตนเอง เฉียนเพ่ยอิงมีชุดให้อย่างจำกัด รูปร่างก็ไม่เหมือนกันเพราะพวกนางสวมเสื้อตัวใหญ่ไม่ได้
แต่เสื้อผ้าที่คนพวกนี้สวมใส่ ในสายตาของซ่งฝูหลิง เมื่อรวมกันแล้วมูลค่ายังเทียบเท่ากับเสื้อแขนสั้นสีน้ำเงินที่สวมบนตัวของซื่อจ้วงไม่ได้เลย เพราะนั่นคือเสื้อยี่ห้ออาร์มานีของพ่อนาง
เดิมทีซื่อจ้วงก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บนตัวของตนเองนั้นแปลกประหลาด ถึงแม้เสื้อผ้าจะประหลาด เผยให้เห็นท่อนแขน แต่มันก็ทำให้รู้สึกเย็นสบายดี
ก่อนหน้านั้นคุณหนูได้กำชับกับเขามาก่อน “ซื่อจ้วง เจ้าอย่าสวมเสื้อทับด้านนอกอีกเลย อากาศร้อนขนาดนี้ แผลของเจ้าไม่สามารถปิดตลอดไป”
หนิวจั่งกุ้ยอิจฉาเขาบอกว่า “คุณหนูยังสั่งกำชับเขาเป็นพิเศษ เขายังสามารถสวมเสื้อของนายท่าน นี่ถือว่าเป็นการให้เกียรติ เป็นโชคชะตาของเขา”
อืม หนิวจั่งกุ้ยพูดได้ถูกต้อง ซื่อจ้วงก็รู้สึกเช่นเดียวกัน มีเจ้านายอย่างนายท่านกับคุณหนูถือเป็นโชคชะตา จะต้องรู้จักพอบ้างแล้ว
ขบวนเคลื่อนเดินอย่างช้าๆ เพิ่งจะเดินไปไม่กี่ลี้ เนื่องจากซ่งฝูเซิงสวมเสื้อกล้ามกับใส่กางเกงขาสั้นเดิน ซื่อจ้วงก็ใส่เสื้อผ้าที่เผยท่อนแขนออกมา ชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหลังต่างก็จ้องตาเป็นมัน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็สัมผัสได้เลยว่าสองคนนั้นคงรู้สึกเย็นสบาย
พวกเขาก็อยากถอดเสื้อผ้าออกเหมือนกัน จะต้องรักษาหน้าตาทำไมกัน ร้อนจะตายอยู่แล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มีหน้ามีตายิ่งใหญ่ไปกว่าบัณฑิตคนนั้นที่เคยสอบอั้นโส่วเสียหน่อย
เป็นที่รู้กันดีว่าในแต่ละวัน ช่วงเวลากลางวันจนถึงช่วงบ่ายสองจะเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด ร้อนจนคนหายใจเหนื่อยหอบ
หวังจงอวี้หยุดเข็นรถ เขาส่งต่อให้ภรรยาของเขาจับรถเข็นไว้ ส่วนตัวเขาใช้ผ้าซับเหงื่อที่อยู่บนคอเช็ดเหงื่อบนใบหน้า เขาตัดสินใจเปิดเสื้อด้านหน้าที่ตอนกลางวันสวมทับไว้ออก
ภรรยาของเขาพูดขึ้น “โอ้ ท่านพี่ ท่านทำแบบนี้มันน่าเกลียดนะ”
“น่าเกลียดอะไร ข้าไม่สนใจหรอก!”
ตอนที่ 80 เคยเป็นคุณชายน้อยมาก่อน
การเปลื้องผ้าของหวังจงอวี้ในครั้งนี้ มีอิทธิพลมากกว่าซ่งฝูเซิงมากนัก
เนื่องจากสมาชิกสามคนของครอบครัวซ่งฝูเซิงนั้น ตั้งแต่ได้พบหน้ากันครั้งนี้ก็ชอบแต่งตัวประหลาดๆ ซ่งฝูเซิงเมื่อรู้สึกร้อนก็เปลื้องผ้าออก จึงทำให้ทุกคนเกิดความเคยชินแล้ว ไม่เหมือนกับหวังจงอวี้
เกาเถี่ยโถวใช้ปลายเสื้อซับเหงื่อตรงหน้าผาก เขาหันหน้ากลับไปมองตรงที่เถาฮวาอยู่ซึ่งอยู่ห่างจากเขา ไม่สนใจแล้ว เขาก็จะเปลื้องผ้าเช่นกัน
พี่น้องครอบครัวตระกูลเกาถอดเสื้อพาดไว้บนรถเข็นกันหมด หลังจากนั้นเด็กหนุ่มอีกหลายคนก็เริ่มถอดเสื้อกันมากขึ้น
หูจือ ต้าหลัง เอ้อร์หลัง เป็นต้น
เป็นเรื่องจริงที่ยืนยันได้ว่ามนุษย์ไม่ค่อยชอบสวมเสื้อผ้านัก
เหมือนเป็นการพันธนาการมากเกินไป
เดิมทีซ่งฝูเซิงก็อยากจะโน้มน้าวพี่ใหญ่กับพี่รองและพี่เขยให้ถอดบ้าง จะได้เย็นสบาย แต่ซ่งฝูไฉเป็นพี่ชายคนโต เมื่อเหล่มองน้องสะใภ้รองกับน้องสะใภ้สาม ก็ล้มเลิกความคิดไป เป็นพี่ชาย จะร้อนอย่างไรก็ต้องรักษาหน้าตาเสียหน่อย
ซ่งฝูสี่ เมื่อเห็นพี่ชายใหญ่ไม่ถอด เขาก็ไม่ถอดเช่นกันเพราะเขาก็มีศักดิ์เป็นพี่ชายรองของเฉียนเพ่ยอิง
เถียนสี่ฟายังกังวลกับเถาฮวา บุตรสาวโตขนาดนี้แล้ว เขาซึ่งเป็นพ่อถอดเสื้อเปลือยแขนมันจะดูไม่เหมาะนัก แม้จะอยู่ในช่วงเวลาแห่งการลี้ภัย เขาก็ควรเป็นแบบอย่างของพ่อที่ดีในสายตาของบุตรสาว ส่วนหูจือนั้น ถ้าอยากจะถอดก็ให้เขาถอดไปเถอะ
ส่วนพวกผู้หญิงกลับทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่เพียงแค่ต้องอดทนกับเหงื่อที่ไหลลงมาตามใบหน้า พวกนางยังต้องก้มหน้าทำงานฝีมือไม่หยุด ทั้งที่กำลังเร่งรีบเดินทาง
งานฝีมืออะไร?
ของเหล่านี้คือพวกเสื้อผ้ากับสัมภาระที่พวกผู้หญิงไม่กล้าทิ้ง ก่อนออกเดินทาง ซ่งฝูหลิงจึงได้เสนอแนะว่า
“ตัดเสื้อผ้าให้เป็นผืนผ้าขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง ทำเป็นช่องสองช่องบนผืนผ้าที่อยู่ในตำแหน่งที่ตาสามารถมองออกไปได้ ถ้าจะทำช่องให้จมูก ก็ทำเปิดเป็นอีกช่องหนึ่ง…
…เมื่อถึงช่วงบ่ายยุงจะเยอะ เราสามารถนำสิ่งนี้มาสวมใส่บนหน้าได้ ส่วนตรงคอก็ใช้เชือกรัดดึงผ้าคลุมหัวให้กระชับ…
…นี่ก็ไม่ต่างกับหน้ากากของข้า…
…ทุกคนจะได้มีเครื่องกำบังหน้า หากมีลมพัดพาเศษทรายมาก็สามารถช่วยป้องกันได้…
…หนึ่งคนต่อผ้าหนึ่งผืน คงใช้เนื้อผ้าไม่เยอะมาก หากตอนนี้ไม่ได้นำมาใช้ ก็นำมันมารองก้นตะกร้าหรือใช้เป็นผ้าซับเหงื่อบนใบหน้าได้”
ซ่งฝูหลิงพูดเสนอแนะออกไปเรื่อยเปื่อย ไม่คาดคิดว่าผู้หญิงพวกนี้จะนำไปทำกันจริงๆ
ใครมีกรรไกรก็ก้มหน้าตัดผ้าเก่าให้เป็นช่องพร้อมกับเดินไปด้วย
ซ่งฝูเซิงเดินอยู่หน้าขบวน ขณะที่เขาเดินอยู่ก็ต้องหยุดชะงักในทันที เพราะมีน้ำอุ่นๆ ไหลมาจากด้านหลัง
ตอนนี้เขาสะพายกระเป๋าเดินทางไว้ด้านหน้า ด้านหลังแบกตะกร้าใบใหญ่ ด้านล่างของตะกร้าวางแผ่นรองกันชื้นที่พับหลายชั้นกับเสื้อคลุมของเขาตลอดจนสิ่งของจิปาถะ ส่วนด้านบนมีเฉียนหมี่โซ่วนั่งอยู่
ตั้งแต่เฉียนหมี่โซ่วกินยาก็เริ่มรู้สึกสะลึมสะลือ แม้แต่ตอนออกเดินทางเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว เขานอนหลับอยู่ในตะกร้า บนหัวมีผ้าขนหนูขนาดใหญ่ของซ่งฝูหลิงคลุมศีรษะบังแดดไว้ คาดว่าคงนอนหลับสนิทหรือไม่ก็ดื่มน้ำซุปไข่ไก่มากจนเกินไปถึงได้ฉี่ออกมา
ซ่งฝูเซิงถึงกับหลังแข็งแบกรับโชคไป
เพิ่งไปอาบน้ำริมแม่น้ำมาแท้ๆ และเพิ่งกางเกงขาสั้นที่มีกลิ่นฉุนของฉี่ไปแล้ว ทำให้ตนเองดูสะอาดดูดีขึ้นมาหน่อย แต่เจ้าเด็กนี่ก็ดันปล่อยฉี่ออกมา ทำให้ร่างกายมีกลิ่นฉุนขึ้นมาอีกจนได้
ที่น่าโมโหที่สุดก็คือ เมื่อเฉียนหมี่โซ่วสร้างปัญหาแล้วก็ตื่นขึ้นมา มือน้อยๆ ของเขาขยี้ตา ก่อนจะโน้มตัวมากอดคอซ่งฝูเซิง กล่าวด้วยเสียงอ่อนหวาน “แย่แล้ว ข้าฉี่ราดแล้ว”
ซ่งฝูเซิงกล่าวอย่างยอมรับชะตากรรม “ฉี่ไปแล้วก็ไม่เป็นไร ดีขึ้นบ้างรึยัง?”
“เอ่อ ท่านลุง ข้ากระหายน้ำ”
ซ่งฝูเซิงปลดถุงน้ำออกมายื่นให้เฉียนหมี่โซ่ว ก่อนจะเปิดฝาก็ได้เขย่าก่อนแล้วค่อยยื่นส่งไปด้านหลัง
เฉียนหมี่โซ่วรับมา เพิ่งดื่มไปอึกหนึ่งก็ถึงกับนิ่งงัน
เด็กน้อยที่เดิมทีต้องการจะพูดอะไรออกมาด้วยความประหลาดใจ ก็รีบเอามือเล็กๆ ปิดปากทันที ทำตัวเหมือนขโมย ทำตัวลับๆ ล่อๆ ก็ไม่ปาน เขาหันไปมองบริเวณโดยรอบ ก่อนจะโน้มตัวพูดข้างหูซ่งฝูเซิง “รสหวาน ท่านลุง มันมีรสหวาน”
ซ่งฝูเซิงยิ้มออกมา “ยังไม่เคยดื่มใช่ไหมล่ะ?”
“เอ่อ เคยดื่มแล้ว” เฉียนหมี่โซ่วเอ่ยขึ้นแบบไม่มั่นใจ “เป็นนมวัวใช่ไหม?”
อ๊าห์ ซ่งฝูเซิงลืมไปว่าเด็กน้อยที่นั่งอยู่ในตะกร้าด้านหลังของเขาเคยเป็นเด็กที่อยู่ในตระกูลที่มั่งคั่งมาก่อน มีคนรับใช้ เคยดื่มนม เฮ้อ แต่มันก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว
ช่วงที่เขากำลังนิ่งคิดอยู่นั้น เจ้าเด็กน้อยก็รีบโบกมือและตะโกนเรียก “พี่สาว ท่านป้า” จากนั้นเขาก็นำถุงน้ำยื่นยัดเยียดให้ซ่งฝูเซิงดื่ม “ท่านลุงดื่ม ท่านรีบดื่มซะ รสชาติหอมหวาน หมี่โซ่วดื่มไม่ไหวแล้ว”
ทำให้ซ่งฝูเซิงตกใจรีบส่งเสียง “ซวี!”
ดื่มไม่ลงอย่างไรกัน อุตส่าห์ให้เจ้าแอบดื่มแล้วก็รีบดื่มเสีย มัวแต่เป็นห่วงคนอื่นไปได้
เขานำนมผงออกมาไม่มาก แต่ก็ไม่พอให้เด็กๆ ในครอบครัวดื่มได้ทั้งหมด
กำลังจะกำชับเด็กน้อยสองสามประโยค อย่าส่งเสียงดัง อย่าพูดให้คนอื่นฟัง เกาเถี่ยโถวที่อยู่ด้านหน้าสุดก็ตะโกนบอกเขา
“อาสาม ท่านรีบดูนั่นสิ นั่นเป็นรถม้าที่ท่านใช้สิ่งของล้ำค่าส่องเห็นใช่หรือไม่? รถม้านี้ช่างโอ่อ่า แต่ว่าทำไมรถถึงไม่เคลื่อนที่ไปไหนเลย? สิ่งของล้ำค่าของท่านช่างน่าอัศจรรย์ใจมาก พวกเราเดินมาตั้งไกลกว่าเจอนะเนี่ย”